บทที่ 243 ไม้แข็ง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 243 ไม้แข็ง
ฮ่องเต้ทรงกำลังประชุมปรึกษาอยู่กับคณะทูต

แคว้นเจาและแคว้นเฉินต่างบอบช้ำจากการทำสงคราม สถานะการเงินในพระคลังนับว่าเข้าใกล้วิกฤต แคว้นเหลียงออกจะยิ่งใหญ่ปานนั้น คงไม่มาเหลียวแลแคว้นเล็กๆ อย่างากแคว้นเจาอยู่แล้ว

การเจรจาครั้งนี้ ท่าทีของแคว้นเหลียงดูแข็งกร้าวกว่าครั้งไหนๆ อีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะประนีประนอมให้แต่อย่างใด

ฮ่องเต้และขุนนางคนอื่นๆ ถึงกับฉุนเฉียว

แต่ทันใดนั้นเอง อวี้ชินอ๋องก็ได้ส่งสาส์นมาว่าแคว้นเหลียงจะยอมประนีประนอมให้ หากพวกเขาได้เด็กคนนั้นไป

“เด็กที่ว่านั่น ใครหรือ” ฮ่องเต้เอ่ยถาม

หนึ่งในทูตจากแคว้นเหลียงเอ่ยขึ้น “เป็นเด็กกำพร้าขอรับ ท่านอ๋องและอ๋องเฟยถูกพระทัยเด็กคนนั้นเอามากๆ ทรงอยากรับเลี้ยงไว้ และเพื่อเป็นการตอบแทน พวกเราจะยอมถอยให้ขอรับ”

“ถอยให้…มากน้อยเท่าใดรึ” ราชครูจวงเอ่ยถาม

ทูตแคว้นเลี้ยงทำหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา

เว่ยกงกงเดินเข้าไปหยิบกระดาษนั้นแล้วมอบให้ฮ่องเต้

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรกระดาษแผ่นนั้นเสร็จก็ส่งต่อให้กับขุนนางคนอื่นๆ

ทั้งราชครูจวง ราชเลขาหยวน และขุนนางอาวุโสคนอื่นๆ พอได้อ่านก็พากันทำตาโต

เรื่องจริงหรือนี่!

เงื่อนไขการเจรจาเดิมคือ ทั้งสองแคว้นจะทำการแลกเปลี่ยนสิ่งประดิษฐ์กัน คือปูนขาวของแคว้นเหลียง แลกกับเครื่องสูบลมและปูนข้าวเหนียวของแคว้นเจา อีกทั้งจะต้องมีการเปิดตลาดร่วมกันที่ชายแดนระหว่างสองแคว้น โดยแคว้นเหลียงจะนำงานฝีมือราคาถูกเพื่อแลกเปลี่ยนกับผ้าไหมและใบชาชั้นยอดของแคว้นเจา

แต่ตอนนี้ แคว้นเหลียงกลับเพิ่มสิ่งประดิษฐ์การหลอมแก้วเข้าไปในข้อแลกเปลี่ยนด้วย การหลอมแก้ว้นั้นเป็นงานหัตถกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของแคว้นเหลียง มีความวิจิตรงดงามและหายาก ในบรรดาหกอาณาจักร มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ครอบครองเครื่องแก้วต่างๆ

ช่างเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าดึงดูดใจยิ่งนัก

อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของแคว้นเหลียงที่อยากจะค้าขายด้วย

ว่ากันว่าเมื่อก่อนแคว้นเยี่ยนเองก็อยากจะซื้อสิ่งประดิษฐ์นี้เช่นกัน แต่กลับถูกแคว้นเหลียงปฏิเสธ

แคว้นเยี่ยนถือว่ามีสถานะที่เหนือกว่าแคว้นเหลียงด้วยซ้ำ แต่แคว้นเหลียงกลับไม่ตกลงให้พวกแคว้นเยี่ยนแลกเปลี่ยนสิ่งประดิษฐ์ และดันเลือกแคว้นเจาแทนเสียอย่างนั้น นี่เป็นการสร้างความร้าวฉานระหว่างแคว้นเยี่ยนและแคว้นเหลียงอย่างแน่นอน

นี่อวี้ชินอ๋องทรงรู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป

บุตรชายของเจ้าแคว้นเหลียงเอาแต่ใจถึงเพียงนี้เชียวรึ

“นี่เรื่องจริงหรือ” ขุนนางอาวุโสเอ่ยถามขึ้น

ทูตแคว้นเหลียงหัวเราะพลางเอ่ยอย่างประชดประชัน “ท่านเหนือหัวของพวกเราตรัสแล้วไม่คืนคำ ไใยต้องมาพูดปดกับคนอย่างพวกท่านด้วย”

แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือนี่

ช้างจะขยี้แมลง ยื่นเท้าเหยียบนิดเดียวแมลงก็ตายแล้ว จะต้องมาหลอกล่อทำให้มันมึนงงหลงกลเตือนมันให้ระวังตัว ทำให้มันรู้ตัว เพื่ออะไรกัน

ทุกคนมองเช่นนี้

เพราะเด็กคนนั้นคนเดียวเนี่ยนะ

ทุกคนต่างไม่เข้าใจท่าทีของอวี้ชินอ๋อง

แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ไม่เข้าใจ เขาจึงไม่รีบถามต่อ ทั้งมองว่าเรื่องนี้ต้องมีที่มาที่ไปอย่างแน่นอน จึงให้พวกทูตของแคว้นเจากลับกันไปก่อน

“ไฉนอวี้ชินอ๋องถึงได้โปรดเด็กกำพร้าของแคว้นเจาได้เล่า” ฮ่องเต้เปิดประเด็นถามพวกทูตของแคว้นเหลียง

“ฝ่าบาททรงยังจำครั้งที่อวี้ชินอ๋องและอ๋องเฟยเสด็จประพาสเมื่อห้าปีก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” พวกทูตของแคว้นเหลียงมิได้มีท่าทีเกรงกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ความจริงแล้วจะตุกติก เพราะฮ่องเต้แคว้นเจาเองก็มิใช่คนที่พวกเขาจะหลอกกันง่ายๆ พวกเขาจึงถ่ายทอดคำพูดของอวี้ชินอ๋องออกไป

ฮ่องเต้พยักหน้า “จำได้สิ”

ทูตแคว้นเหลียงเล่าต่อ “ตอนนั้น อวี้ชินอ๋องเฟยทรงตั้งครรภ์ พระองค์อยู่เลี้ยงครรภ์ที่แคว้นเจาจนกระทั่งถึงคลอดออกมา จึงเสด็จกลับไปยังแคว้นเหลียงพ่ะย่ะค่ะ”

“ได้ยินมาว่าเป็นครรภ์ไม่สมบูรณ์ ข้าได้ข่าวก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง” ฮ่องเต้เอ่ย พลางเลิกคิ้ว “หรือว่า เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้น”

ทูตแคว้นเหลียงยิ้มให้หนึ่งที ก่อนเอ่ยต่อ “พระองค์เพิ่งมาค้นพบเมื่อไม่นานว่าเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นอาจมีคนมาช่วยขุดเด็กคนนั้นจากหลุมศพแล้วเลี้ยงไว้ ทรงเห็นว่าคนของแคว้นเจาช่วยดูแลพระโอรสของพระองค์ให้เป็นอย่างดี และเพื่อเป็นการตอบแทน จึงได้ยื่นข้อเสนอเหล่านี้มาให้พ่ะย่ะค่ะ”

หากเรื่องราวเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็พอจะเข้าใจได้อยู่

ฮ่องเต้พยักหน้า ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “แล้วเด็กนั่นเป็นโอรสของอวี้ชินอ๋องจริงๆ รึ”

ทูตแคว้นเหลียง “หากเด็กคนนั้นไม่ใช่บุตรของพระองค์ ก็คงไม่ทำถึงขนาดนี้หรอกพะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เองก็มองเช่นนั้น แล้วถามต่อ “เด็กคนนั้นเป็นใครกัน พำนักอยู่ไหน”

ทูตแคว้นเหลียงเอ่ยตอบ “อยู่ในความดูแลของหมอหญิงคนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

พอได้ยินคำว่าหมอหญิง ความคิดแรกที่พุ่งเข้ามาก็คือ “อย่าบอกนะว่า หมอหญิงแห่งโรงหมอหุยชุนถัง”

ทูตแคว้นเหลียงหัวเราะ ก่อนเอ่ยตอบ “เอ่อ ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ เมี่ยวโส่วถังพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เริ่มหน้าถอดสี

สิ้นสุดชั้นเรียนคาบบ่าย ก็ถึงเวลาเลิกเรียนของเสี่ยวจิ้งคง วันนี้กู้เจียวมารอรับเขาที่หน้ากั๋วจื่อเจียน

เสี่ยวจิ้งคงที่ไม่รู้ว่าวันนี้กู้เจียวจะมารับและนึกว่าจะเป็นลุงหลิวมารับเหมือนครั้งก่อนๆ ก็เลยจงใจเดินให้ช้าลง พลางถอนหายใจเซ็ง พอเดินมาถึงหน้าประตู เมื่อเจอกับกู้เจียวที่ยืนรออยู่ เขารู้สึกผิดอย่างมาก

ถ้ารู้ว่าวันนี้เจียวเจียวจะมารับเขาคงรีบเดินออกมาตั้งแต่แรกแล้ว !

“เจียวเจียว เจียวเจียว!”

เสี่ยวจิ้งคงขยับขาสั้นป้อม ของเข้าแล้ววิ่งเตาะแตะเข้าไปหากู้เจียว

กู้เจียวย่อตัวลง ก่อนจะเช็ดเหงื่อให้เจ้าตัวเล็ก

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อย ตอนเช้ากับตอนกลางคืนอุณหภูมิต่ำ แต่กลางวันกลับพุ่งสูง ทำเอาเสี่ยวจิ้งคงเหงื่อแตกพลั่ก

กู้เจียวเอามือลูบที่หลังของเขา อืม แฉะเชียว

“เล่นวิ่งแข่งมาหรือ ” กู้เจียวเอ่ยถาม

“วันนี้ข้าไม่ได้วิ่งแข่ง” เสี่ยวจิ้งคงส่ายหัว “วันนี้อาจารย์สอนพวกเราเล่นตะกร้อต่างหาก”

“สนุกไหม” กู้เจียวเอ่ยถาม

“สนุกมากเลยล่ะ!” เสี่ยวจิ้งคงเพิ่งเคยเล่นตะกร้อเป็นครั้งแรก เลยรู้สึกแปลกใหม่ “บางคนเล่นเก่งกว่าข้าอีก เพราะพวกเขาเคยเล่นมาก่อน”

เสี่ยวจิ้งคงไม่ใช่เด็กที่ชอบแข่งขัน เพราะทุกคนย่อมมีครั้งแรกเสมอ ถ้าเขาทำไม่ได้ เขาจะไม่หดหู่นานเกินไป โดยเฉพาะเรื่องที่เขาไม่ถนัด เขาจะศึกษามันด้วยใจที่เปิดกว้าง

นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาแตกต่างจากเซียวลิ่วหลัง แต่ความรู้ที่เซียวลิ่วหลังสอน เสี่ยวจิ้งคงมักจะซึมซับเหมือนกับฟองน้ำ

กู้เจียวพาเขาไปที่โรงหมอ

“แม่นางกู้ คนไข้มาถึงแล้วขอรับ” เสี่ยวซานจื่อรีบมาตามกู้เจียว

กู้เจียวเพิ่งจะหาเสื้อผ้าให้เสี่ยวจิ้งคงเจอ

เสี่ยวจิ้งคงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยกับเจียวเจียวว่า “เจ้าไปทำงานเถอะ ข้าเปลี่ยนชุดเองได้”

“ข้าอาจไปนานหน่อยนะ” กู้เจียวเอ่ย

เสี่ยวจิ้งคงทำท่ายืดอกแล้วเอามือตบๆ “ไม่เป็นไรน่า ข้าดูแลตัวเองได้! เปลี่ยนชุดเสร็จข้าก็จะไปทำการบ้านต่อ!”

เด็กอะไรเชื่อฟังปานนี้

กู้เจียวยิ้มให้เจ้าตัวเล็กแล้วเอามือลูบที่หัวกลมๆ ของเขา “ได้สิ บนโต๊ะมีขนมนะ หิวก็กินเสีย”

เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าอ้อน “ข้าจะรอกินกับเจียวเจียว!”

เด็กหนอเด็ก

หัวใจของกู้เจียวแทบละลายเพราะความน่ารักของเขา

กู้เจียวเดินไปที่ห้องตรวจ

ทีแรกก็นึกว่าเป็นคนไข้จริงๆ ที่แท้ คนที่มารอนางอยู่คือเว่ยกงกง

เว่ยกงกงรู้เรื่องที่ฮ่องเต้ตกม้า แต่เขาไม่รู้ว่ากู้เจียวรู้เรื่องที่เขามารักษากับนางในนามคนไข้หลิ่ว

แน่นอนว่ากู้เจียวจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป

เว่ยกงกงฉีกยิ้มให้หนึ่งที ก่อนเอ่ยทัก “แม่นางกู้ ที่ข้ามาในวันนี้ ก็เพื่ออยากจะยืนยันอะไรบางอย่างกับท่าน”

“เรื่องอันใดรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม

เว่ยกงกงยิ้มเจื่อน “โรงหมอแห่งนี้…มีแค่ท่านที่เป็นหมอหญิงใช่หรือไม่”

“อืม” กู้เจียวพยักหน้า

เอาล่ะสิ เป็นอย่างที่ฝ่าบาททรงกลัวจริงๆ ด้วย แคว้นเจามีเด็กกำพร้าตั้งมากมาย ทำไมต้องเป็นเด็กคนนี้ของหมอเทวดาด้วยนะ

“มีเหตุผลอันใดรึถึงได้ถามเรื่องนี้” กู้เจียวเริ่มสังเกตเห็นสีหน้าที่ผิดแปลกไปของเว่ยกงกง

“คือว่า แม่นางกู้…เรื่องใหญ่แล้วล่ะ!” เว่ยกงกงถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา

เว่ยกงกงเล่าเรื่องที่อวี้ชินอ๋องประสงค์มาทวงพระโอรสคืนให้กับกู้เจียวได้ฟังอย่างไม่มีการใส่ไข่ใส่สี ด้วยความที่เรื่องนี้ใหญ่โตบานปลายมากพอแล้ว แทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้ใส่ไข่ใส่สีอะไรอีก

กู้เจียวถึงกับร้องอ๋อ “อย่างนี้นี่เอง” มิน่าล่ะสามีของฮูหยินคนนั้นถึงได้พูดจาแบบนั้น ที่แท้เขาก็คือท่านอ๋องแห่งแคว้นเจานี่เอง

เว่ยกงกงอธิบายต่อ “ฝ่าบาทเองก็ทรงลำบากพระทัย ไม่ใช่ว่าทรงเห็นแก่เงื่อนไขที่อีกฝ่ายเสนอแต่อย่างใด แต่จะให้พรากพ่อพรากลูกกันมันก็ไม่ถูกต้องใช่ไหมแม่นางกู้”

แววตาเด็กสาวเริ่มแข็งกร้าว “เขาบอกว่าใช่ก็คือใช่ลูกของเขาอย่างนั้นรึ”

เว่ยกงกงเอ่ยต่อ “ก็ตามนั้นแหละแม่นางกู้”

ระดับอวี้ชินอ๋อง จะชี้นกเป็นไม้ ชี้ม้าเป็นวัวก็ยังได้

เรื่องแบบนี้แทบจะไม่ต้องใช้หลักฐานอะไรเลยด้วยซ้ำ

หลักฐานที่ดูจะสมเหตุสมผลมากที่สุดก็คงจะเป็นข้อเสนอของแคว้นเหลียง ที่เป็นประโยชน์ต่อแคว้นเจา ใครล่ะจะกล้าปฏิเสธได้ลง

นี่สินะคือพลังของอำนาจ

เพราะเบื้องหลังอวี้ชินอ๋องก็คือแคว้นใหญ่มหาอำนาจทั้งแคว้น

เว่ยกงกงถอนหายใจ “แม่นางกู้อย่าได้ถือโทษโกรธฝ่าบาทเลย พระองค์เองก็จนพระทัย”

“ข้าทราบแล้ว” กู้เจียวผงกหัวเบาๆ ลุกขึ้นยืน ไม่เอ่ยอะไร ก่อนจะเดินออกจากห้องตรวจ

หลังจากที่เสี่ยวจิ้งคงเปลี่ยนชุดเสร็จก็กำลังนั่งทำการบ้านอยู่บนโต๊ะไม้เล็กๆ ในสวนหย่อม

เขานั่งหลังตรง สีหน้าตั้งอกตั้งใจ

ขนมพุทราอบที่วางอยู่บนโต๊ะส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั้งสวน ซึ่งเป็นของโปรดของเสี่ยวจิ้งคง

เขาตั้งหน้าตั้งตารอที่จะกินขนมด้วยกันกับเจียวเจียว