หลี่จื้อมองแผ่นหลังที่กำลังเดินไกลออกไป บีบจอกสุราในมือจนแตกเป็นผุยผง โลหิตสดๆ ไหลหยดออกมาจากฝ่ามือ เขาไม่เคยรู้สึกท้อแท้ใจเพียงนี้มาก่อน ตั้งแต่เล็กจนโต เขามักเป็นจุดศูนย์รวมของทุกคน ทำศึกทำสงครามมานานปี เป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือชีวิตยิ่งใหญ่อีกมากมาย จะอย่างไรเขาก็เป็นอ๋องที่อยู่เหนือผู้อื่น ทหารยอมฝากชีวิตอย่างภักดี ราษฎรรักใคร่เทิดทูน ขุนนางให้ความเคารพ ราชนิกุลให้ความเลื่อมใส
ทว่าหลายครั้งที่เขาทำได้เพียงคารวะผู้มากสามารถด้วยใจเคารพ หมั่นสร้างความปลื้มปีติแก่คนเหล่านั้น หลายครั้งที่เขาทำสิ่งเล็กน้อยอย่างวางตัวเป็นกันเองทำให้ภาพลักษณ์ดูเข้าถึงง่าย เป็นเช่นนี้ไปทีละน้อย สุดท้ายทำให้เขาเริ่มคุ้นชินกับการใช้อำนาจอ๋องของตนพิชิตผู้อื่น ใช้ความถ่อมตนและความสงบพิชิตใจผู้อื่น ทว่าวันนี้เขากลับพบความล้มเหลวอย่างน่าอนาถจริงๆ ไม่ว่าตนจะปฏิบัติเช่นไร สุดท้ายคนผู้นั้นก็ทำเพียงแย้มยิ้มพรายแล้วจากไป ใช่แล้ว ตนรั้งเขาไว้เป็นขุนนางข้างกายได้ แต่จะใช้ประโยชน์อันใดได้เล่า หากตนมิอาจพิชิตคนผู้นั้นได้ หากมิได้ความภักดีของเขา
ตอนนี้หลี่จื้อได้สัมผัสกับรสชาติของความล้มเหลวอย่างแท้จริงแล้ว ที่ผ่านมาแม้สงครามจะทำให้เกิดความสูญเสียเพียงใด แม้จะพบความอัปยศในราชสำนักเพียงใด แต่หลี่จื้อก็ไม่เคยผิดหวังและเจ็บใจถึงเพียงนี้
ขณะที่หลี่จื้อกำลังดำดิ่งอยู่กับอารมณ์ของตน ข้างหูพลันมีเสียงดนตรีไพเราะดังแว่วมา เสียงนั้นค่อยๆ ลอยล่องไปไกล ฟังดูอบอุ่นและเที่ยงตรงยิ่ง หลี่จื้อใจสั่น อารมณ์ค่อยๆ สงบลง
เขามองไปยังสายตากังวลของเหล่าที่ปรึกษาข้างกาย มองไปยังหลี่จวิ้นที่คล้ายถูกทำให้ตกใจ สุดท้ายจึงกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าล้าแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด” กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป
สืออวี้และคนอื่นๆ มองดูแผ่นหลังของเขา เมื่อสัมผัสได้ถึงความปวดร้าวและเปล่าเปลี่ยวของหลี่จื้อ ก็พานให้รู้สึกหนักอึ้งตามไปด้วย แม้พวกเขามิอาจเข้าใจความคิดของหลี่จื้อ ทว่าต่างรู้ดีว่าหลี่จื้อได้รับความกระทบกระเทือนเช่นไร ต่งจื้อเห็นอีกฝ่ายกลับไปแล้วจึงพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองว่า “เจียงสุยอวิ๋นก็ทำเกินไปจริงๆ องค์ชายปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ เขากลับไร้ไมตรีปานนั้น”
กวนซิวกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ไม่ว่าเขาจะทำเกินไปอย่างไร พวกเราก็มิอาจตำหนิเขาได้ กล่าวกันว่าขุนนางภักดีไม่รับใช้สองนาย เขาไม่ยอมรับใช้ฝ่าบาทก็ไม่มีอะไรแปลก”
ต่งจื้อสวนอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ที่เรียกว่าขุนนางภักดีนั้นหากมิใช่ไม่ยอมจำนนก็คือยอมตายไม่ยอมรับความอัปยศ เห็นได้ว่าเขาไม่ใช่คนเช่นนั้น แต่กลับไม่ยอมมอบความภักดีต่อองค์ชาย อัจฉริยะผู้นี้มิยอมมารับใช้ฝ่ายเรา หรือจะไปเข้ากับฝ่ายหลี่อันแล้ว”
สืออวี้กล่าวด้วยท่าทางครุ่นคิด “ข้ากลับกังวลว่าองค์ชายจะมีใจคิดสังหารเขาเสียมากกว่า หากสังหารคนผู้นี้ไป ไม่เพียงแต่แผ่นดินจะมีอัจฉริยะลดลงหนึ่งคน ทั้งยังจะทำให้ชื่อเสียงขององค์ชายเสียหายด้วย ทว่าสิ่งที่องค์ชายกังวลก็นับว่ามีเหตุผล จะปล่อยให้อัจฉริยะเช่นนี้ถูกผู้อื่นใช้งานได้อย่างไร หลายวันมานี้เขารู้เรื่ององค์ชายมากมาย ต่อให้องค์ชายวางใจ พวกเราก็มิอาจสงบใจ”
ทว่าโก่วเหลียนกลับพูดว่า “ข้ากลับคิดว่าคนผู้นี้ใช่จะไร้ใจต่อองค์ชายเสียทีเดียว เพียงแต่คงมีอุปสรรคบางอย่างที่พวกเรามิอาจเข้าใจเท่านั้น”
สายตาสามคู่พลันมองมายังร่างของโก่วเหลียน การที่โก่วเหลียนเป็นทูตออกไปเจรจาทั่วทุกสารทิศได้เช่นนี้ นอกจากจะมีฝีปากอันยอดเยี่ยมแล้ว ความสามารถในการสังเกตของเขาก็มิอาจดูเบาเช่นกัน ในเมื่อเขากล่าวเช่นนี้ย่อมมั่นใจได้หลายส่วน
จู่ๆ โก่วเหลียนก็หัวเราะ พบว่ามีบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามาแต่ไกล เมื่อถึงเบื้องหน้าคนทั้งสี่ก็กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ท่านโก่ว ผู้น้อยถามบ่าวที่ไปส่งท่านเจียงกลับห้องมาแล้วขอรับ เขาบอกว่าระหว่างทาง จู่ๆ ท่านเจียงก็หยิบใบไผ่ขึ้นมาเป่าเป็นทำนอง”
โก่วเหลียนโบกมือให้บ่าวถอยไปพลางมองไปยังคนทั้งสาม ต่งจื้อกล่าวด้วยท่าทีใคร่ครวญว่า “ท่านจะบอกว่าทำนองเมื่อครู่นี้ ท่านเจียงเป็นคนเป่าหรือ”
โก่วเหลียนตอบอย่างเรียบเฉย “เมื่อครู่ข้าฟังดูแล้ว ผู้บรรเลงมิได้มีทักษะทางดนตรีสูงส่งอันใด เพียงแต่ทำนองมีความสง่างามเที่ยงตรงคล้ายออกมาจากหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเพียงเสียงจากใบไผ่ ข้าจึงส่งคนไปดูเสียหน่อย พบว่าท่านเจียงเป็นคนเป่าจริงๆ คนผู้นี้เดาได้ว่าองค์ชายจะทรงกริ้วจนคุมสติไม่อยู่ ด้วยความอัจฉริยะของเขาจึงเป่าใบไผ่เพื่อสงบใจองค์ชาย แต่เขากลับไม่แยแสองค์ชาย ดังนั้นข้าจึงกล่าวว่าเขาจะต้องมีอุปสรรคชิ้นใหญ่บางอย่างที่ทำให้มิยอมรับใช้องค์ชายเป็นแน่”
สืออวี้พูดขึ้นว่า “เพียงแต่ปัญหาอยู่ที่ใดเล่า องค์ชายมากเมตตามากน้ำใจ ทั้งยังเป็นผู้เก่งกาจมากบารมีในแผ่นดิน หากต้องการเกียรติยศหรือความมั่งคั่ง ขอเพียงองค์ชายตรัสคำเดียวก็ได้แล้ว หากมีความยากลำบากอันใด องค์ชายก็สกำจัดอุปสรรคแทนเขาได้ องค์ชายปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้จะสู้เต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ยแห่งหนานฉู่มิได้เชียวหรือ”
ต่งจื้อกล่าวเสียงเรียบ “หากพวกเราไม่อาจคลายความกังวลให้องค์ชายได้ จะยังมีหน้ารั้งอยู่ที่จวนอีกหรือ องค์ชายให้ความสำคัญกับเขาเพียงนี้ พวกเราจะสู้เขามิได้เชียวหรือ”
สืออวี้ทอดถอนใจยาว “ข้าและท่านทั้งหลายทำได้เพียงช่วยสร้างความสงบสุขแก่ราษฎรและช่วยด้านการศึกการทหารเท่านั้น แม้จะมีความสามารถในด้านปกครอง แต่ศัตรูตัวฉกาจขององค์ชายในยามนี้มิใช่คนที่พวกเราจะช่วยสู้ได้
หากจะถกถึงศัตรูขององค์ชายอย่างละเอียด รัชทายาทหลี่อันนั้น แม้ภายนอกแสดงท่าทีสัตย์ซื่อกตัญญูแต่ภายในโหดเหี้ยมยิ่ง อาศัยชื่อเสียงคุณธรรมบังหน้า จงใจปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำเรื่องเสื่อมถอยตามอำเภอใจ ทั้งมีคนของฝ่าบาทคอยรับใช้ช่วยเหลือ ศัตรูเช่นนี้ยากจะรับมือจริงๆ หลู่จิ้งจงผู้เป็นเส้าฟู่ของรัชทายาทเป็นคนอำมหิตมากแผนการ เป็นอัจฉริยะผู้ชาญฉลาด ดังนั้นจะอย่างไรองค์ชายก็มิอาจสั่นคลอนตำแหน่งของรัชทายาทได้
ส่วนฉีอ๋อง แม้ภายนอกจะมีท่าทีบุ่มบ่ามแต่ไม่เคยกระทำการเกินเลย เห็นได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่งเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการสู้ศึกทำสงครามอันเยี่ยมยอด นับเป็นฝ่ายหาญกล้าของรัชทายาท เมื่อมีฉีอ๋องคอยช่วยเหลือ รัชทายาทจึงตั้งสมาธิรับมือองค์ชายได้เต็มที่โดยไม่จำเป็นต้องกังวลว่าภายภาคหน้าต้ายงจะไม่มีขุนพลที่เหมาะสม
นอกจากนี้ยังมีฝ่าบาทอีกด้วย มิใช่ว่าข้าคิดติฉินนินทา แต่ฝ่าบาททรงริษยาความสามารถขององค์ชาย พ่อลูกระแวงกันมากขึ้นทุกวัน ยามสำคัญให้ความช่วยเหลือองค์ชาย ทว่ายามปกติกลับยินดีให้รัชทายาทกดข่มองค์ชาย ศัตรูเหล่านี้มีอำนาจอิทธิพลยิ่งใหญ่ หากอาศัยเพียงความสามารถขององค์ชาย แม้มีพวกเราช่วยเหลือ องค์ชายก็มีโอกาสชนะเพียงห้าส่วน
สุดท้ายศัตรูที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือสำนักเฟิงอี้ ข้าเคยมีวาสนาพบหัวหน้าสำนักเฟิงอี้แล้ว คนผู้นั้นบนเชี่ยวชาญดาราศาสตร์ ล่างกระจ่างแจ้งภูมิศาสตร์ อีกทั้งการวางแผนและการตัดสินใจก็มิอาจดูเบา แม้จะมีฐานะเป็นสตรีแต่มีความทะเยอทะยานที่จะทำให้แว่นแคว้นมั่นคงเป็นปึกแผ่น ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือนางรู้จักตนเองดี รู้ว่ามิอาจชิงใต้หล้าด้วยมือตนเอง ดังนั้นจึงทำทุกวิถีทางเพื่อควบคุมขุนนางและราษฎรต้ายงของพวกเรา ข้างกายฝ่าบาทมีจี้กุ้ยเฟย ข้างกายรัชทายาทมีชายารองเซียวหลาน ตำแหน่งพระชายาฉีอ๋องก็ตกอยู่ในมือลูกศิษย์แห่งสำนักเฟิงอี้แล้ว ในทางลับก็ไม่รู้ว่าพวกนางแฝงตัวเข้ามาอยู่ข้างกายพวกเรามากน้อยเพียงใด
พวกนางแสดงท่าทีช่วยเหลือแว่นแคว้นอย่างจริงใจ ทำให้ผู้คนเคารพเลื่อมใสในพฤติกรรมของพวกนางจนไม่คิดพะวงต่ออำนาจอิทธิพลของพวกนาง ตอนนี้พวกนางแสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าจะสนับสนุนรัชทายาท เมื่อมีพวกนางอยู่ ฝ่าบาท รัชทายาทและฉีอ๋องก็มิอาจแยกจากกัน เช่นนี้แล้วองค์ชายจะรับมือพวกนางได้อย่างไร”
ทั้งสามได้ยินดังนั้นในใจพลันรู้สึกเคร่งเครียด เดินทีพวกเขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ของยงอ๋องจะย่ำแย่เพียงนี้ เพียงรู้คร่าวๆ ว่าองค์ชายปฏิเสธการร่วมมือกับสำนักเฟิงอี้ และด้วยเหตุผลต่างๆ นานา พวกเขาก็ต่อต้านเรื่องสำนักเฟิงอี้จะแผ่อำนาจอิทธิพลมาสู่ยงอ๋องเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะแตกต่างจากที่คิดโดยสิ้นเชิง ต่งจื้อสูดหายใจลึก กล่าวถามไปว่า “เช่นนั้นเรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องอันใดกับเจียงเจ๋อเล่า”
สืออวี้ทอดถอนใจ “แม้เจ้าสำนักเฟิงอี้จะเป็นอัจฉริยะบุคคล ทว่าก็ยังขาดสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่ง นั่นก็คือนางเป็นสตรี จะทำสิ่งใดย่อมมีความลังเลอย่างไม่อาจเลี่ยง บางครั้งก็ระมัดระวังจนเกินจำเป็น หากคิดเอาชนะคนผู้นี้จะต้องมีคนที่เคลื่อนไหวลำพังและต้องเป็นคนเฉลียวฉลาดลึกล้ำมาช่วยเหลือ ดังที่กล่าวกันว่าทัพพิสดารเอาชนะทัพสามัญได้
เจียงเจ๋อผู้นี้แม้ภายนอกจะแสดงออกอย่างเรียบง่ายสบายอุรา แต่ในใจกลับหยิ่งทระนง ความสามารถโดดเด่นเหนือผู้คน ภายนอกเห็นเขากระทำการเพื่อผู้อื่น แต่ความจริงกลับไร้ซึ่งความกังวล กระทำการลื่นไหลผันแปรมิอาจหยั่ง เมื่อพิศดูแผนการที่เขาใช้แต่ละอย่างล้วนแล้วแต่พิสดารแปลกใหม่ เหนือการคาดเดาของผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นยังวางแผนกว้างขวางลึกล้ำ คิดคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน กระทำการโหดเหี้ยมอำมหิต เชี่ยวชาญการคว้าชัยท่ามกลางความเสี่ยง องค์ชายเคยตรัสว่าคนผู้นี้เคยเผชิญหน้ากับองค์ชายหลายครั้งหลายครา ล้วนเป็นองค์ชายที่พ่ายแพ้ ทั้งยังไม่มีแรงจะต่อต้านแม้แต่น้อย
แผนการที่เขาบอกต่อองค์ชายเมื่อปีนั้น แม้จะรับประกันความปลอดภัยขององค์ชายได้ แต่ก็ทำให้องค์ชายและฝ่าบาทห่างเหินกันสำเร็จ และทั้งๆ ที่องค์ชายสังเกตเห็นเจตนาของเขาแล้ว แต่กลับมิอาจหยุดยั้ง ขอเพียงมีเจียงเจ๋อ เชื่อว่าจักต้องเอาชนะเจ้าสำนักเฟิงอี้ได้แน่ หากไม่ทำลายสำนักเฟิงอี้ มิใช่เพียงรากฐานขององค์ชายที่จะไม่ปลอดภัย แม้แต่ต้ายงของพวกเราจะช้าจะเร็วก็ต้องตกอยู่ในมือสตรีเช่นกัน ดังนั้นองค์ชายจึงได้ผิดหวังปานนั้น ขอทุกท่านเห็นแก่ความขมขื่นขององค์ชาย โปรดอย่าไม่พอใจความโปรดปรานที่องค์ชายมีต่อเจียงเจ๋อเลย”
ต่งจื้อกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ขอบคุณท่านจื่อโยวที่ชี้แนะ ข้ามิอาจคลายความกังวลให้ฝ่าบาทได้ แต่กลับมีใจริษยา ช่างเป็นการกระทำที่น่าละอายจริงๆ”
สืออวี้ยืดตัวขึ้น “พี่ต่งกล่าวหนักไปแล้ว พวกเราล้วนเป็นคนสนิทขององค์ชาย ย่อมต้องรับใช้องค์ชายอย่างซื่อสัตย์ภักดี”
ตอนต่อไป