ในขณะที่สืออวี้กำลังขจัดคลื่นลมเล็กๆ นี้ ข้าก็กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง จิบชาหอมขจัดฤทธิ์สุราพลางย้อนคิดถึงยามชมหิมะในวันนี้ ตั้งแต่เพียวเซียงตาย ใจข้ามักหดหู่และทุกข์ตรม การรวมตัววันนี้ทำให้ข้าอารมณ์ดีขึ้นชั่วขณะ หากมิใช่ว่าข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เกรงว่าคงตอบรับยงอ๋องไปแล้วกระมัง
เมื่อย้อนคิดไปถึงยามเผชิญหน้ากับยงอ๋องในค่ายทหารแดนสู่อีกครั้ง ยามนั้นข้ายังรู้สึกระแวงอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้ข้าไร้ซึ่งพันธะใดจึงลดความระแวงที่มีต่อยงอ๋องไปได้ไม่น้อย ข้าไม่อาจไม่ยอมรับว่ายงอ๋องมีบุคลิกไม่ธรรมดา หากเป็นข้า เกรงว่าคงสังหารเจ้าคนไร้มารยาทเช่นตนเองไปนานแล้ว
เพียงแต่ข้าเสียดายนัก ไม่ว่าจะอย่างไรก็เปลี่ยนแปลงความคิดข้าไม่ได้ เมื่อก่อนข้าเจียงสุยอวิ๋นเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ตามแต่ใจ คอยให้คำปรึกษาผู้อื่นตามแต่ใจ ทว่าตอนนี้กลับเสียดายอิสรภาพของตน ในขณะที่ข้ายังโอบกอดชีวิตของตนอยู่ได้ จะไม่ยอมมอบความภักดีให้แก่ผู้ใดอีก ข้าแย้มยิ้มบางเบา แม้ดูเหมือนว่าแต่ไหนแต่ไรข้าจะมิเคยมีความซื่อสัตย์ภักดีอันแท้จริงก็ตาม
ก่อนนอนข้าคิดไปถึงหลี่จวิ้นผู้เป็นซื่อจื่อของยงอ๋องอีกครั้ง น่าเสียดายเด็กน้อยน่ารักไร้เดียงสาผู้นั้นจริงๆ จากความรู้ในด้านการดูโหงวเฮ้งของข้า ผู้เผยความฉลาดมักตายเร็ว เกรงว่าเด็กคนนี้คงไม่มีวาสนาเป็นจักรพรรดิแล้ว เมื่อย้อนคิดดูอีกครั้งข้าก็ยิ้มออกมา แม้เด็กคนนี้จะมีวาสนาน้อยแต่นิสัยไม่เลว ทั้งยังมีบารมีของยงอ๋องคอยคุ้มครอง อย่างน้อยคงไม่ชีวิตสั้นเกินไปกระมัง นอกจากนี้ข้าจะเสียดายสิ่งใดแทนเขาได้อีก พระราชนัดดาผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ยังมีอะไรให้เสียดายอีกเล่า
ท่ามกลางความสะลึมสะลือ ข้ารู้สึกพิศวงอยู่บ้าง ในความคิดของข้า ยงอ๋องมิใช่คนช่างเซ้าซี้พัวพัน เหตุใดคราวนี้จึงทำตัวผิดปกติเช่นนี้ ประหนึ่งต้องการข้าเป็นขุนนางของเขาเสียให้ได้ นี่ไม่สมเหตุสมผลจริงๆ
ทางด้านยงอ๋องหลี่จื้อ หลังสงบใจลงได้ไม่ทันไรก็ถูกข่าวการมาเยือนของหลี่เสี่ยนทำเอาไม่สมอารมณ์ไปโดยพลัน หลี่เสี่ยนกล่าวต่อหน้าเขาด้วยท่าทียกยอกึ่งข่มขู่ว่า “เสด็จพี่รอง ท่านให้ข้าพบใต้เท้าเจียงหน่อยเถิด ยามข้าอยู่หนานฉู่ก็ได้รู้จักเขาแล้ว เสด็จพ่อทรงตรัสว่าจะให้เขาเป็นขุนนาง มิใช่ว่าท่านจับกุมเขามาแล้วหรือ” ด้วยความสิ้นไร้หนทาง หลี่จื้อจึงทำได้เพียงอนุญาตให้หลี่เสี่ยนเข้าพบเจียงเจ๋อ
เมื่อชีเฟิ่งซวนและหลี่เสี่ยนเดินมาถึงที่พำนักของเจียงเจ๋อก็ตะโกนร้องออกไปว่า “สุยอวิ๋น สุยอวิ๋น ท่าทางพี่รองปฏิบัติต่อท่านไม่เลวทีเดียว เรือนหานเหมยแห่งนี้เป็นเรือนที่พี่รองรักที่สุด ถึงกับมอบให้ท่านอาศัยอยู่เชียวหรือ”
ข้ากำลังวางหมากอยู่กับเสี่ยวซุ่นจื่อ ฝีมือการวางหมากของข้าอยู่ในระดับธรรมดา ส่วนเสี่ยวซุ่นจื่อกลับวางได้ไม่เลวนัก จากคำพูดของเขา การวางหมากมีส่วนช่วยในการฝึกวรยุทธ์ หากมิใช่ว่าข้ามองภาพรวมได้ดีและมักใช้กระบวนท่าพิสดารเป็นบางครั้ง เกรงว่าคงพ่ายแพ้อย่างอเนจอนาถไปแล้ว ดังนั้นยามที่หลี่เสี่ยนเดินเข้ามาพลางร้องตะโกนไปด้วย ข้าก็กำลังขมวดคิ้วใคร่ครวญถึงหมากตาต่อไป เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นหลี่เสี่ยนเดินเข้ามาจึงลุกขึ้นยืนคารวะ “บ่าวถวายพระพรฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นจึงดันข้าเบาๆ
หลี่เสี่ยนนั่งลงในตำแหน่งเสี่ยวซุ่นจื่อ เมื่อเห็นข้ากำลังใคร่ครวญก็กล่าวเจือเสียงหัวเราะ “ไม่ต้องคิดแล้ว ฝีมือการวางหมากของท่านข้าเคยประสบมาก่อน ย่ำแย่จนไม่อาจทนมองจริงๆ”
ข้อถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ เมื่อมองไปเห็นหลี่เสี่ยนนั่งอยู่ตรงข้ามก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนกล่าว “ฉีอ๋องมาได้อย่างไร”
หลี่เสี่ยนแสร้งเผยสีหน้ารวดร้าวสิ้นหวังออกมา “สวรรค์ หรือใต้เท้าเจียงเพิ่งมองเห็นร่างกายแกร่งกร้าวของข้า”
ข้าหัวเราะเสียงเบาพลางเก็บกระดานหมากให้โล่ง “เสี่ยวซุ่นจื่อ ไปนำชามาให้องค์ชาย”
เสี่ยวซุ่นจื่อยกจอกชาเข้ามา หลี่เสี่ยนรับไป จากนั้นจึงมองสำรวจเสี่ยวซุ่นจื่ออยู่พักใหญ่ก่อนกล่าว “เจ้าเป็นขันทีในจวนเสด็จพี่หรือ เหตุใดข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน เจ้ามาใหม่กระมัง เหตุใดจึงสวมอาภรณ์เช่นนี้”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบเสียงเรียบ “บ่าวเป็นคนจากหนานฉู่ เคยพบองค์ชายที่พระราชวังหนานฉู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทว่าองค์ชายคงจำบ่าวมิได้”
หลี่เสี่ยนชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงมองข้าพลางกล่าวว่า “เหตุใดข้างกายใต้เท้าเจียงจึงมีคนของพระราชวังหนานฉู่อยู่ด้วยเล่า”
ข้ายิ้มตอบ “เขาเป็นสหายเก่าของข้าเอง คราวนี้ต้ายงบุกทำลายเจี้ยนเย่ เขาจึงถือโอกาสที่สถานการณ์กำลังสับสนอลหม่านหลบออกจากวังมาแล้วไม่กลับไปอีก”
หลี่เสี่ยนกระจ่างแจ้งทันควัน “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้างกายใต้เท้าเจียงมีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่ด้วย ช่างมีวาสนาสูงส่งจริงๆ ทว่าใต้เท้าเลือกชื่อดีๆ ให้เขาใหม่เถิด หากผู้อื่นพบว่าท่านใช้ขันทีโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจมีความผิดได้”
ข้าแย้มยิ้มบาง “ผู้แซ่เจียงเป็นเพียงปุถุชน จะมีคนมาคอยสังเกตจับตามองได้อย่างไร อีกอย่างเสี่ยวซุ่นจื่อเป็นคนหนานฉู่ ต้ายงจะไม่อนุญาตให้เขาหาเส้นทางใหม่หลังจากแว่นแคว้นล่มสลายเชียวหรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นบรรยากาศกระอักกระอ่วนจึงรีบพูดว่า “คุณชายขอรับ องค์ชายเพียงปรารถนาดีเท่านั้น”
เช่นนี้สีหน้าของข้าจึงค่อยดีขึ้นบ้าง “วันนี้องค์ชายทรงเสด็จมาเยี่ยมกระหม่อมนับเป็นเกียรติของกระหม่อมแล้ว ทว่าหากไม่มีเรื่องใด องค์ชายคงมิเสด็จมาเป็นแน่ มิทราบว่ามีเรื่องใดต้องการใช้งานกระหม่อมหรือ”
สีหน้าหลี่เสี่ยนพลันแปรเปลี่ยนไปเป็หนักอึ้ง “ใต้เท้าเจียง ตั้งแต่ที่ข้าพบท่าน ข้าก็คิดว่าท่านเป็นคนที่ข้าหลี่เสี่ยนต้องการตัวเป็นที่สุด ไม่จำเป็นต้องถามว่าข้ารู้ได้อย่างไร แต่หากใต้เท้ายอมเป็นกุนซือให้ข้า ข้าหลี่เสี่ยนจะปฏิบัติต่อท่านประหนึ่งอาจารย์ เชื่อฟังแผนการของท่านทุกสิ่งอย่าง มิแปรเปลี่ยนกลับคำ”
เมื่อเห็นสายตากระตือรือร้นของหลี่เสี่ยน ข้าก็หัวเราะเสียงขื่นอย่างอดไม่อยู่ ปีนี้เป็นปีที่หลี่เสี่ยนเพิ่งได้รับแต่งตั้งตำแหน่ง เขาที่มีรูปโฉมหล่อเหลาสง่างามคละเคล้าไปด้วยบรรยากาศแกร่งกล้าเข้มข้น ความจริงใจและโอหังเช่นนั้นทำให้ผู้อื่นทั้งพรั่นพรึงและชิดใกล้ หากมิใช่ว่ามียงอ๋องหลี่จื้ออยู่ด้วย ข้าคิดว่าหลี่เสี่ยนเหมาะเป็นจักรพรรดิแห่งต้ายงที่สุดแล้ว คนผู้นี้ใส่ใจงานสำคัญยอมปล่อยวางเรื่องเล็กน้อย การที่เขาเลือกสนับสนุนหลี่อันมิใช่เพราะหลี่อันโดดเด่นกว่าเขาหรือเพราะอีกฝ่ายให้ความสำคัญใดกับเขา แต่เป็นเพราะหลี่จื้อไม่ต้องการความสามารถในการทำศึกของเขา ส่วนหลี่อันกลับมิอาจห่างจากการสนับสนุนของเขาไปได้
ทว่าสำหรับข้าแล้ว การเลือกหลี่เสี่ยนนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ตั้งแต่รู้ฐานะของเหลียงหวั่นข้าก็ให้คนของค่ายลับรวบรวมข่าวกรองเกี่ยวกับพรรคเฟิงอี้แล้ว ข้าได้รับข่าวกรองเบื้องต้นก่อนมาถึงต้ายงแล้ว ซึ่งก็เป็นเพียงข่าวที่คนทั่วไปต่างก็ทราบดี ในนั้นรวมไปถึงฐานะของฉินเจิง ว่าที่พระชายาฉีอ๋องด้วย
แม้ฉินเจิงจะเป็นบุตรีตระกูลใหญ่แต่ก็เป็นศิษย์ชั้นสูงของสำนักเฟิงอี้เช่นกัน หลี่เสี่ยนย่อมมิอาจลงดาบตัดขาดกับสำนักเฟิงอี้ได้อย่างแน่นอน ส่วนข้าก็กลายเป็นศัตรูของสำนักเฟิงอี้เพราะความแค้นกับเหลียงหวั่นไปแล้ว ข้ามิกล้ากล่าวว่าเรื่องนี้จะไม่ถูกเผยออกไปชั่วนิรันดร์ ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงใดที่ลมพัดผ่านมิได้ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจเข้าร่วมฝ่ายหลี่เสี่ยนเป็นอันขาด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ข้าก็กำลังจะบอกปฏิเสธ ทว่าจู่ๆ กลับคิดถึงแผนแกล้งตายขึ้นมาได้ก่อนจึงรีบเปลี่ยนคำกล่าวไปว่า “สุยอวิ๋นซาบซึ้งในความเมตตาขององค์ชายยิ่งนัก เพียงแต่ยงอ๋องไม่อนุญาตให้กระหม่อมไปจากที่นี่ คงทำได้เพียงปฏิเสธน้ำใจขององค์ชายแล้ว”
หลี่เสี่ยนกล่าวอย่างแปลกใจ “ทำไม พี่รองกักขังท่านหรือ เกรงว่าท่านคงไม่ทราบกระมัง ฉางเล่อกลับมาคราวนี้นำหนังสือบทกวีของท่านกลับมาด้วย เสด็จพ่อทอดพระเนตรแล้วทรงโปรดปรานยิ่ง หากมิใช่พี่รองกล่าวว่าท่านต้องพักรักษาอาการป่วย เสด็จพ่อคงเรียกท่านเข้าเฝ้านานแล้ว เช่นนั้นท่านก็กลับไปกับข้าเถิด ข้าคิดว่าพี่รองคงไม่สร้างความลำบากใจให้ท่านเป็นแน่”
ข้ากล่าวอย่างเรียบเฉย “องค์ชายเข้าใจผิดแล้ว สุยอวิ๋นสุขภาพไม่ดี ระหว่างทางก็ต้องลมเย็นจนอาการกำเริบ เพิ่งจะดีขึ้นไม่นาน ยงอ๋องกล่าวว่าสุยอวิ๋นสุขภาพไม่ดีจึงไม่อนุญาตให้ออกห่างจากที่นี่แม้เพียงก้าวเดียว ล้วนเป็นความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อสุยอวิ๋นทั้งสิ้น องค์ชายอย่าได้เข้าใจผิด”
หลี่เสี่ยนกลอกตาก่อนกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากข้ากลับไปแล้วจะส่งคนมาเชิญท่านไปพักรักษาตัวที่จวนฉีอ๋องขอข้าเป็นอย่างไร”
ข้าตอบไปอย่างเฉยเมย “กระหม่อมไม่คุ้นชินกับสถานที่เช่นจวนอ๋อง รู้สึกไม่ค่อยสะดวกนัก หากองค์ชายมิรังเกียจ โปรดช่วยกระหม่อมหาจวนเล็กๆ หรือเคหาสน์สักแห่งที่ค่อนข้างสะอาดสะอ้านด้วยเถิด กระหม่อมพอมีเงินออมอยู่บ้าง พอซื้อที่พำนักเล็กๆ ได้”
หลี่เสี่ยนโบกมือพลางกล่าว “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าต้องการให้ท่านเป็นอาจารย์ จะให้ท่านออกไปพักด้านนอกได้อย่างไร”
ข้าแสร้งกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ช่างเถิด วันหน้าค่อยไหว้วานให้ยงอ๋องช่วยคิดหาวิธีเสียหน่อย เชื่อว่าคงมีเรือนที่เหมาะสมอยู่บ้าง เฮ้อ ในเมื่อองค์ชายไม่รับปากคงยากแล้ว ผู้ใดให้ข้าติดหนี้น้ำใจยงอ๋องเล่า”
หลี่เสี่ยนรีบกล่าวทันควัน “ไม่มีปัญหา ข้าต้องหาบ้านให้ใต้เท้าเจียง ไม่สิ ต้องหาบ้านให้ท่านเจียงแน่นอน ต้องเป็นบ้านที่ทั้งสะอาดและหรูหรา ทั้งยังสะดวกไปมาหาสู่กับข้าด้วย”
ข้าแย้มยิ้มพราย “เช่นนั้นสุยอวิ๋นขอบพระทัยองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นฉีอ๋องกลับไปด้วยท่าทีเบิกบานยินดี ข้าก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง แม้ฉีอ๋องจะมีนิสัยบุ่มบ่ามโผงผางแต่ก็จริงใจกับข้ายิ่ง น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วข้ากลับทรยศเขา ความจริงคนที่ข้าทรยศมากที่สุดก็คือยงอ๋อง เขาสิ้นเปลืองความคิดจิตใจไปกับข้ามากจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่ไปโจมตีเจี้ยนเย่อย่างฉับพลันหรอก ข้าเพิ่งคิดถึงสาเหตุที่เขาโจมตีเจี้ยนเย่กะทันหันได้เมื่อไม่นานนี้ เกรงว่าข้าคงเป็นรางวัลที่เขาต้องการอย่างแท้จริงกระมัง
เมื่อหลี่จื้อส่งฉีอ๋องกลับไปแล้วก็เดินเข้าประตูมาด้วยใบหน้าซีดเซียว ท่าทีเบิกบานลำพองใจของฉีอ๋องทำให้ใจเขาหดหู่และหนาวเหน็บยิ่งนัก สืออวี้ก็ผิดหวังเช่นกัน จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าฉีอ๋องจะได้รับการยอมรับจากเจียงเจ๋ออย่างง่ายดายปานนั้น แล้วพวกตนจะนับเป็นอะไรได้
เมื่อกลับมาถึงห้องทรงอักษร หลี่จื้อก็กล่าวเสียงเรียบว่า “จื่อโยว พรุ่งนี้จัดงานเลี้ยงให้ข้าด้วย เลี้ยงส่งท่านเจียง”
สืออวี้คุกเข่าลงพื้นดังปัง “องค์ชาย อย่าปล่อยคนผู้นี้เป็นอันขาด” เสียงของเขาสั่นระริกและร้อนรน
หลี่จื้อกลับตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เตรียมกาทิเบตให้ข้าด้วย ข้าจะส่งเขาเดินทางไกล” เสียงของเขาฟังดูเลื่อนลอย
สืออวี้สั่นสะท้านไปทั้งร่าง “น้อมรับพระบัญชา” ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวัง
หลี่จื้อเงยหน้าขึ้น “จื่อโยว ข้าทำถูกหรือไม่ หากคนผู้นี้ไปเข้ากับฉีอ๋อง ข้าคงกินนอนไม่สงบ มิสู้สังหารเพื่อตัดไฟแต่ต้นลมเสียยังจะดีกว่า”
สืออวี้กล่าวอย่างอาดูร “วางยาพิษสังหารคนผู้นี้ย่อมกำจัดอุปสรรคในอนาคตได้ แต่หากไม่สังหารคนผู้นี้พวกเราจะตายทันที”
หลี่จื้อหลั่งน้ำตา กล่าวอย่างเศร้าสลดว่า “แต่หากสังหารคนผู้นี้ ใจของข้ากลับยากจะสงบ ที่ผ่านมาข้ากระทำการใจกว้างมาตลอด ทว่าตอนนี้กลับต้องลงมืออำมหิตเพื่อสังหารคนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อตน”
สืออวี้กล่าวย้ำ “องค์ชายอย่าได้ใจอ่อนเด็ดขาด คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะมากสามารถ หากปล่อยไปจะเป็นอันตรายต่องานใหญ่ขององค์ชาย”
หลี่จื้อโบกมืออย่างอ่อนแรง “ข้าตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้ใช้โอสถเซียวหุนเถิด”
สืออวี้กล่าวตอบ “พ่ะย่ะค่ะ หากทำเช่นนี้ หลังจากสิบสองชั่วยามเขาจะจากไปโดยไม่มีอาการใด จะไม่เจ็บปวด”
หลี่จื้อมิได้เอ่ยวาจาอีก
ตอนต่อไป