โจวกุ้ยหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติมาก

“กุ้ยหลาน ข้าคุยกับอาสะใภ้ชุ่ยฮวาของเจ้าอยู่ เจ้าเองก็เข้าไปอยู่ในห้องเอง!” เหล่าไท่ไท่ได้ยินโจวกุ้ยหลานที่พูดถึงสินเดิมของฝ่ายหญิง โดยรู้ว่าหากนางพูดต่อไป การแต่งงานนี้คงเป็นไปไม่ได้จึงรีบห้าม

โจวกุ้ยหลานไม่ตอบรับคำพูดของท่านแม่นาง และกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มว่า “อาสะใภ้ชุ่ยฮวา พวกเราสู่ขออย่างจริงใจ หากทางด้านตระกูลหลิวมีความต้องการอะไร ก็ให้พวกเขาบอกมา ข้าคิดว่าหากสามารถตอบรับได้ จะทำให้พวกเขาพึงพอใจ แต่หากมากเกินไป ครอบครัวของเราคงจะทำให้พึงพอใจไม่ได้ ในสิบหลี้แปดหมู่บ้านเกรงว่าก็จะมีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่พอใจได้

เงินห้าตำลึงค่อนข้างมาก หลายครอบครัวสามารถทำเงินได้เพียงห้าตำลึงต่อปีเท่านั้น ซึ่งถือว่ามากแล้ว

ไม่ว่าครอบครัวของใครก็ไม่อาจนำเงินจำนวนมากเช่นนี้ออกมาสู่ขอภรรยาได้

ครอบครัวโดยทั่วไปก็แค่เมล็ดข้าวพันธุ์หนึ่งกระสอบ และบางคนก็ยกบุตรสาวของตนเองให้ผู้อื่นนำไปเลี้ยงตั้งแต่เด็กเพื่อให้แต่งงานเป็นสะใภ้ในบ้านนั้นเมื่อโตขึ้น คนที่มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าบางคนก็ให้เงินแค่หนึ่งหรือสองตำลึงเป็นสินสอดทองหมั้น ส่วนเงินมากกว่าสองตำลึง นางยังไม่เคยได้ยินว่าในหมู่บ้านมีใครที่ต้องการเงินห้าตำลึงเป็นสินสอดทองหมั้น!

แน่นอนว่าครอบครัวของไป่เย่จื่อนั้นเป็นกรณีพิเศษ

“เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าหมายความว่าอย่างไร? นี่ไม่ใช่การเจรจาหรือ? ไอ๊หยา ข้าจะไปพูดคุยที่บ้านตระกูลหลิว!” ชุ่ยฮวาสีหน้าเปลี่ยน รีบลุกขึ้น และในขณะพูดก็เดินออกไป

เหล่าไท่ไท่รีบลุกขึ้นเดินออกไปส่ง นางยังคงพูดจาดี และขอให้ชุ่ยฮวาพูดคุยให้ดีๆ

โจวกุ้ยหลานไม่สนใจอีก นางลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว และเห็นเจ้าก้อนน้อยแก้มตุ่ย นางก็รู้สึกว่าตนเองยังกินไม่อิ่ม จึงตักข้าวในอีกครึ่งถ้วยใหญ่แล้วกินต่อ

สักพักเหล่าไท่ไท่ก็กลับเข้ามาในครัว เมื่อเห็นว่าโจวกุ้ยหลานกำลังกินข้าว นางก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าพูดกับอาสะใภ้ชุ่ยฮวาของเจ้าเช่นนั้นได้อย่างไร อีกเดี๋ยวการแต่งงานนี้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว!”

“ข้าพูดอะไร? ข้าแค่บอกว่าครอบครัวของเราไม่สามารถสู่ขอได้ ในสิบหลี้แปดหมู่บ้านก็มีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่สามารถสู่ขอได้ ข้าไม่ได้พูดผิดเลย” โจวกุ้ยหลานตอบ และยัดข้าวใส่ปากของตนเอง

การแต่งงานไม่ใช่การให้สินสอดทองหมั้นแล้วก็จบสิ้น แต่ยังต้องมีงานเลี้ยง เสื้อผ้า และค่าใช้จ่ายต่างๆ

หากจ่ายค่าสินสอดทองหมั้นเป็นเงินห้าตำลึง เช่นนั้นการแต่งงานครั้งนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เงินสิบเอ็ดหรือสิบสองตำลึง

แม้แต่การแต่งงานในเมืองก็มีค่าใช้จ่ายเท่านี้เช่นกัน

เหล่าไท่ไท่คิดๆ ดูแล้วก็จริง “ข้าคิดว่าเงินสิบตำลึงสามารถสู่ขอลูกสะไภ้กลับมาได้เสียอีก ใครจะคิดว่าหญิงสาวบ้านนอกจะสู่ขอยากเย็นเช่นนี้”

“นั่นเป็นเพราะท่านกระตือรือร้นเกินไป พี่ชายของข้าไม่ดีตรงไหน ท่านถึงได้เป็นกังวลเช่นนี้? เขาหน้าตาดี รูปร่างสูงโปร่ง นิสัยก็ดี นอกจากอายุแก่กว่าผู้อื่นสองปีแล้ว อะไรก็ดี” หากท่านกล่าวออกไปว่าท่านเตรียมสินสอดทองหมั้นไว้ห้าตำลึง เชื่อหรือไม่ว่าพรุ่งนี้จะมีคนมาสู่ขอถึงที่บ้านของเรา”

โจวกุ้ยหลานกล่าวอย่างเมินเฉย

เงินห้าตำลึง เป็นเงินจำนวนมากในหมู่บ้านชนบทเช่นพวกเขา!

“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร? ช่างเถอะ หากตระกูลหลิวบอกว่าไม่แต่งแล้ว พวกเราก็หาตระกูลอื่น แล้วข้าจะกล่าวออกไปว่าข้าจะให้เงินสามตำลึงเป็นสินสอดทองหมั้น!” เหล่าไท่ไท่กัดฟันอย่างหักใจ

อย่างไรก็ตาม นางจะต้องสู่ขอภรรยาให้ต้าไห่ ไม่ว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ นางก็เต็มใจ

ในเมื่อเหล่าไท่ไท่เข้าใจแล้ว โจวกุ้ยหลานก็ไม่พูดอะไรมากนัก

“ที่ตัวเจ้ามีเงินหรือไม่?” เหล่าไท่ไท่มองไปที่โจวกุ้ยหลานและถาม

“ไม่มีแล้ว” โจวกุ้ยหลานตอบอย่างเด็ดขาด และวางถ้วยเปล่าลงบนเตา ในขณะที่เจ้าก้อนน้อยที่อยู่ข้างๆ ยังคงกินข้าวในถ้วยของตนเองอย่างช้าๆ

“เสี่ยวเทียนรีบกินข้าว อีกเดี๋ยวเรายังต้องขึ้นไปบนเขาอีก” โจวกุ้ยหลานพูดกับเจ้าก้อนน้อย

เมื่อได้ยินที่ท่านแม่กล่าว เจ้าก้อนน้อยก็เคี้ยวเร็วขึ้น

ทางด้านเหล่าไท่ไท่ที่รู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของโจวกุ้ยหลาน “เจ้าเด็กไม่รักดี ยังจะปิดบังแม่อยู่อีกหรือ? เจ้ายังมีเงินอยู่แน่ๆ มิเช่นนั้นเจ้าจะซื้อของมากมายได้อย่างไร?”

บุตรสาวที่นางให้กำเนิดด้วยตนเอง นางจะไม่รู้ได้ยังไง?

“หากต้องการเงิน ข้าไม่มีเงิน มีแต่จะตาย!” โจวกุ้ยหลานไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

ต้องการให้นางนำเงินออกมา แล้วเพิ่มสินสอดให้ตระกูลหลิว? อย่าแม้แต่จะคิด!

หากครอบครัวยากลำบากจริงๆ หรือเป็นคำขอที่สมเหตุสมผล นางย่อมตอบรับได้ แต่ตอนนี้จะเอานางมาข่มขู่?

หึ คิดว่านางเป็นลูกพลับนุ่มๆ ที่จะเอานางมาบีบเล่นหรือ?

“เจ้าเด็กไม่รักดี ข้าเป็นท่านแม่ของเจ้าใช่หรือไม่?” เหล่าไท่ไท่จ้องมองไปที่โจวกุ้ยหลานอย่างดุดัน

“ท่านแม่ ท่านรู้เรื่องนี้ดีกว่าข้า?” โจวกุ้ยหลานตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

เหล่าไท่ไท่โกรธมากจนตบที่หลังของโจวกุ้ยหลาน และมือนั้นค่อนข้างใหญ่ โจวกุ้ยหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ

“เจ้าเด็กไม่รักดี แม่แค่อยากถามว่าเจ้ายังมีเงินอยู่หรือไม่ และเมื่อไหร่เจ้าจะสร้างบ้านใหม่ให้ตนเอง หากอาศัยอยู่ที่นี่นานๆ พี่ชายของเจ้าอาจจะไม่ได้แต่งงาน!”

เหล่าไท่ไท่กล่าวอย่างโกรธเคือง

นางให้กำเนิดบุตรสาวที่ไม่รักดีเช่นนี้ได้อย่างไร ยอมเสียเงินซื้อของอย่างไม่เลือกหน้า เพราะกลัวว่าท่านแม่จะรู้ว่านางมีเงิน

“อ้อ เช่นนั้นข้ายังมีเงินอีกมาก รอเผาถ่านรอบนี้หมด พวกเราก็จะสร้างบ้านใหม่” ในตอนนี้โจวกุ้ยหลานไม่ปิดบังแล้ว และบอกกับเหล่าไท่ไท่

เหล่าไท่ไท่กะพริบตา “เจ้าพูดว่าอะไรนะ? อีกไม่นานเจ้าก็จะสร้างบ้านใหม่แล้ว?”

“อืม คราวนี้ข้าจะสร้างบ้านให้ใหญ่ขึ้น หากต่อไปพี่สะใภ้คนใหม่ปฏิบัติต่อท่านไม่ดี ข้าจะให้ห้องส่วนตัวกับท่าน ท่านอยู่กับข้า รับรองว่าท่านจะกินดีอยู่ดี”

โจวกุ้ยหลานคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว และในตอนนี้ก็ได้โอกาสพูดออกมา

“เจ้าเตรียมห้องไว้ให้ข้าด้วยหรือ?” ดวงตาทั้งสองข้างของเหล่าไท่ไท่เป็นประกาย

“ท่านเป็นท่านแม่ของข้า แน่นอนว่าข้าจะต้องเลี้ยงดูท่านยามแก่ชรา ท่านคิดว่าข้าแย่กว่าบุตรชายบ้านอื่นหรือ?” โจวกุ้ยหลานเบะปาก

คนในยุคนี้ให้ความสำคัญกับบุตรชายมากกว่าบุตรสาว ไม่ใช่ว่าคิดจะให้เลี้ยงดูยามแก่ชราหรือ?

นางมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ไม่มีความคิดเหล่านี้ แต่นางไม่เคยคิดว่าตนเองในฐานะบุตรสาวจะไม่สามารถเลี้ยงดูท่านแม่ของนางยามแก่ชราได้

แน่นอนว่านี่เป็นความคิดที่อยู่ในใจของนาง นางไม่ได้โง่ขนาดที่จะโน้มน้าวให้คนอื่นคิดเหมือนกันกับนาง

เหล่าไท่ไท่ที่โกรธเคืองเมื่อครู่ ในตอนนี้อารมณ์ดีขึ้นมาก “บุตรสาวคนเล็กของข้าช่างดีเหลือเกิน! ”

ไอ๊หยา บุตรสาวคนเล็กบอกว่าจะเลี้ยงดูนาง เจ้าเด็กคนนี้ช่างดีจริงๆ

พูดจบ เจ้าก้อนน้อยก็ยืนขึ้นและวางถ้วยเปล่าของตนเองลงบนเตา

โจวกุ้ยหลานตักข้าวทั้งหมดในหม้อขึ้นมา ใส่น้ำลงในหม้อและเตรียมจะล้างถ้วย

“ใช่ ท่านยังมองไม่เห็นความดีของข้า! ข้าบอกแล้วว่าหากวันข้างหน้าพี่ชายของข้าแต่งงานกับภรรยาที่ไม่ดี เช่นนั้นข้าจะต้องทะเลาะกับนางทุกวัน ข้าคงทนไม่ไหว!”

เมื่อคิดถึงเรื่องของตระกูลหลิว โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกไม่สบายใจ

แต่ตระกูลไป๋ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ หรืออาจจะยิ่งกว่า เพียงแต่ในความรู้สึกของนาง ไป๋เย่จื่อก็ไม่เลว ดังนั้นจึงดูดีขึ้นนิดหน่อย

เหล่าไท่ไท่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ตระกูลหลิวทำไม่เหมาะสม ในใจรู้สึกโกรธเล็กน้อย และเล่าทุกอย่างที่คุยกับชุ่ยฮวาในวันนี้ให้โจวกุ้ยหลานฟังทันที

จนกระทั่งโจวกุ้ยหลานได้ฟังทุกอย่าง และเข้าใจในทันที ที่แท้ก็มีอีกตระกูลหนึ่งไปที่ทาบทามตระกูลหลิว ดังนั้นพวกเขาจึงคิดที่จะขึ้นราคา ใครให้ราคาสูงกว่า ก็จะให้บุตรสาวแต่งงานด้วย

โจวกุ้ยหลานอยากจะหัวเราะ ครอบครัวนี้ทำเช่นนี้ได้อย่างไร?