ตอนที่ 160 บันทึกเสนอแนะฉบับแรกของฉางเกิง (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 160 บันทึกเสนอแนะฉบับแรกของฉางเกิง (2)
ที่ด้านข้างยอดเขาพิชิตสวรรค์มีเรือสมบัติที่เป็นเครื่องมือเวทยาวสามร้อยฉื่อและสูงสิบฉื่อซึ่งลอยอยู่เป็นเวลาสองสามวันแล้ว

ใต้ท้องเรือลำนี้เป็นแผ่นหินแบนที่มีค่ายกลเวทหลายอย่าง และมีกฎห้ามมากมายอยู่ภายในนั้น

แม้การสร้างเรือสมบัติขนาดใหญ่ดังกล่าวจะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่สำนักตู้เซียนก็ยังคงสร้างขึ้น

อย่างไรก็ตาม เรือสมบัตินี้ก็คือ ‘เครื่องบดศิลาวิญญาณ’ ที่บินได้เป็นระยะทางนับพันลี้ โดยเฉลี่ยแล้วจะใช้ศิลาวิญญาณมากกว่าหนึ่งร้อยก้อน…

หากไม่ใช่เรื่องสำคัญเช่นนี้ เหล่าผู้อาวุโสคงไม่เต็มใจจะใช้เรือสมบัติลำนี้ออกไป

เมื่อพวกเขามาถึงหอไป่ฝาน หลี่ฉางโซ่วก็ยืนซ่อนตัวอยู่ตรงมุมหนึ่งข้างหน้ารูปปั้นของนักพรตเต๋านิรนามสามคนโดยไม่ทำตัวให้เป็นที่สนใจ

ครึ่งชั่วยามต่อมา เจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วพร้อมด้วยผู้อาวุโสสูงสุดสองคนและเหล่าผู้อาวุโสเซียนเทียนทั้งสิบสองคนรวมถึงปรมาจารย์หว่างฉิงก็นำนักพรตเต๋าเซียนเสิ่นอีกสามสิบหกคนและศิษย์สี่สิบแปดคนขึ้นเรือสมบัติไป

จากนั้นปราการแสงของค่ายกลเวทพิทักษ์ขุนเขาก็ค่อยๆ ตกลงมา ก่อนที่เรือสมบัติลำนี้จะถูกล้อมรอบไปด้วยปราการแสงหลายชั้นแล้วบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไปทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว

เมื่อเรือสมบัติบินออกไป ค่ายกลเวทพิทักษ์ขุนเขาก็ปิดตัวลงอีกครั้ง จากนั้นผู้อาวุโสฉีหลิงและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่อยู่เฝ้าสำนักก็เผยกลิ่นอายลมปราณของพวกเขาออกมา

พวกเขาจะต้องตื่นตัวเฝ้าระวังและจะไม่เข้าปิดด่านอีกต่อไปจนกว่าเจ้าสำนักและคนอื่นๆ จะกลับมา

บนเรือสมบัติมีห้องมากมาย แต่ทุกห้องล้วนสงวนไว้ให้เจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโส

หลังจากที่เรือสมบัติบินออกจากสำนักตู้เซียน เจ้าสำนัก นักพรตเต๋าอู๋โหย่วก็กระแอมไอพลางยิ้มแย้มแล้วกล่าวว่า

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดมากเกินไป จงทำทุกอย่างตามต้องการ เพียงเท่านั้น พวกเจ้าก็จะสามารถบรรลุ… แค่กๆ … ข้อกำหนดของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน”

กล่าวจบ ปรมาจารย์เจ้าสำนักก็ไปยังห้องพักชั้นเลิศสุดหรูที่ชั้นบนสุดของเรือสมบัติ และทิ้งบรรดาศิษย์เอาไว้บนดาดฟ้าเรือ

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ทักทายสหายศิษย์ร่วมสำนักที่คุ้นเคยกัน และแขวนหินสัมผัสสองสามก้อนเอาไว้ในมุมที่ไม่สะดุดตาบนเรือสมบัติก่อนจะพบสถานที่เงียบสงบบนดาดฟ้าทางด้านหลัง แล้วนั่งลงหลับตาพลางเข้าฌานอยู่เงียบๆ

ดูเหมือนว่า เขาจะฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง แต่ความจริงแล้ว เขาเริ่มใช้สัมผัสเซียนรับรู้เพื่อตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบตัวเขาทั้งหมด

ในเวลาเดียวกัน หลี่ฉางโซ่วก็ตรวจสอบอีกครั้งแล้วพบว่ามีตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ใหม่แปดตัวอยู่ในตำแหน่งของมันแล้ว

ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ใหม่สองตัวนั้นอยู่ดี ไม่มีอันตราย

ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘มนุษย์’ ต้นกำเนิดทั้งหกตัวถูกใช้เป็นกำลังรบสำรอง พวกมันทั้งหมดล้วนอยู่ดี ไม่มีอันตราย

ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘ปฐพี’ แบบใหม่นั้นก็อยู่ดี ไม่มีอันตราย…

หลังจากใช้เวลาครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหลี่ฉางโซ่วก็ตรวจดูตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่วางไว้ในที่ต่างๆ ทั่วทุกที่จนเสร็จสิ้น จากนั้นเขาก็แบ่งจิตส่วนใหญ่เพ่งไปที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ใต้วิหารเทพทะเลแห่งเมืองอันสุ่ย

ในเวลานั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ขอบเขตเซียนเทียนก็ปรากฏขึ้นที่ลานหลังวิหารหลักและไปที่ศาลาสงบเงียบซึ่งได้รับการปกป้องจากทูตเทวะสองสามคน

แน่นอนว่า เขาไม่ได้ซ่อนเอาไว้ที่นั่น ดั่งซ่อนสาวงามคนรักของเขาเอาไว้ในเรือนทองคำ[1] หากเขาทำเช่นนั้น ร่างหลักของเขาก็ควรจะไปที่นั่น…

แค่กๆ มาที่เรื่องงานกันเถิด

หลี่ฉางโซ่วคิดว่าแม่ทัพตงมู่จะมาปรากฏตัวอีกครั้งในไม่ช้านี้

“เตรียมเรื่องนี้ไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องวุ่นวายในภายหลัง”

หลี่ฉางโซ่วหยิบผ้าวิจิตรซึ่งเป็นเครื่องมือเวทออกมา และก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนคำว่า บันทึกรายงาน โดยลงผนึกด้วยตัวอักษรจ้วน[2] เอาไว้ที่มุมขวาบน

จากนั้นเขาก็เขียนในเส้นแนวตั้งใหม่ว่า ‘เทพน้อยแห่งทะเลทักษิณ ฉางเกิง’ ที่ด้านล่าง

พร้อมกันนั้นเขาก็เขียนในเส้นแนวตั้งอีกเส้นว่า ‘องค์เง็กเซียนที่เคารพ’ ที่ด้านบน…

หลังจากเขียนครบสามแนวเส้นเหล่านี้แล้ว เขาก็ตัดไปที่หัวข้อหลัก

“เวลานี้ ยังไม่มีพระราชโองการของฝ่าบาทออกมา เทพน้อยจึงไม่ควรใช้สารเพื่อแนะนำ โปรดประทานอภัยด้วย แต่เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ข้าได้พบเหตุการณ์พลิกผันไปมา จึงรู้สึกไม่สบายใจ และมีบางอย่างที่ต้องทูลถวายรายงานต่อฝ่าบาทโดยเร็วที่สุด นั่นคือสาเหตุที่ข้าเดินทาง

ในช่วงไม่นานมานี้ มีความอยุติธรรมมากมายเกิดขึ้นในสี่คาบสมุทร ทั้งชนเผ่าทะเลเริ่มก่อกบฏและวังมังกรทั้งสี่ก็อยู่ในสภาพเลวร้าย สิ่งมีชีวิตในทะเลได้รับบาดเจ็บสาหัส เทพน้อยบังเอิญพบว่าในเรื่องนี้ มีผู้อื่นกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ และต้องการบีบให้เผ่าพันธุ์มังกรเข้าสู่ดินแดนเทวะประจิม เทพน้อยจึงรู้สึกไม่สบายใจ

หากเผ่าพันธุ์มังกรเข้าสู่ดินแดนเทวะประจิม ก็มีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นอย่างมากภายนอกสำนักเต๋า ซึ่งยังไม่นับรวมถึงการขยายตัวเพิ่มขึ้นของศาลสวรรค์

สี่คาบมหาสมุทรเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในสามอาณาจักร จะไม่มีสิ่งมีชีวิตในทะเล และกองทัพเผ่ามังกรและชนเผ่าทะเลจะทรงพลังแข็งแกร่งจนไม่อาจมองข้ามไปได้

เผ่าพันธุ์มังกรเป็นเผ่าพันธุ์ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ แม้จะมีความผิดใหญ่หลวง และยังไม่ฟื้นตัวจากความพ่ายแพ้ แต่ก็ยังทรงพลังและมีปรมาจารย์มากมายในเผ่า

หากเผ่ามังกรสามารถเข้ามารับใช้ศาลสวรรค์และยอมอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่าบาท ยอมเชื่อฟังบัญชาของฝ่าบาท และปฏิบัติตามกฎของศาลสวรรค์ สี่คาบมหาสมุทรจะเป็นของศาลสวรรค์ เรื่องนี้ย่อมมีประโยชน์ยิ่ง

หากฝ่าบาทใช้บุญเป็นรางวัลและยอมให้เผ่าพันธุ์มังกรปฏิบัติตามบัญชาของฝ่าบาท คอยควบคุมดูแลสภาพอากาศ เมฆ ฝน แม่น้ำ ทะเลสาบ และทะเลแห่งดินแดนเทวะทักษิณ ก็จะช่วยส่งเสริมพลังของศาลสวรรค์ในดินแดนเทวะทักษิณ และแสดงคุณธรรมแห่งศาลสวรรค์ ทั้งยังเพิ่มรากฐานของศาลสวรรค์ได้อีกเช่นกัน นี่ย่อมเป็นประโยชน์ประการที่สอง

มหาตรีสหัสโลกธาตุยังเป็นส่วนหนึ่งของสามอาณาจักร พวกเขาจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่าบาท เผ่าพันธุ์มังกรจะประจำการอยู่ในมหาตรีสหัสโลกธาตุ หากฝ่าบาทรับเผ่าพันธุ์มังกร พวกเขาจะมีส่วนสนับสนุนมหาตรีสหัสโลกธาตุได้ และนี่ย่อมเป็นประโยชน์ประการที่สาม

เทพน้อยด้อยความรู้และไร้ประสบการณ์ มีเพียงเห็นประโยชน์สามประการนี้เท่านั้น…”

หลี่ฉางโซ่วหยุดเขียนทันทีขณะที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ผมขาวปิดตาลงแล้วกลับสู่ร่างต้นกำเนิดของมัน บัดนี้ มีคนกำลังมองหาเขาบนเรือสมบัติ

ไม่ใช่มีเพียงแค่คนเดียวที่มาหาเขา แต่เป็นโหย่วฉินเสวียนหย่าที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าและข้างหลังนางก็คือ หวางฉีและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์

หลี่ฉางโซ่วลุกยืนขึ้นทักทายแล้วถามว่า “ศิษย์น้องโหย่วฉิน มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?”

โหย่วฉินเสวียนหย่าจ้องมองหลี่ฉางโซ่วแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่เจ้าค่ะ เสวียนหย่าเพียงไม่รู้ว่าจะไปที่ใด จึงมาหาศิษย์พี่”

หลี่ฉางโซ่วพยักหน้ายิ้มโดยไม่ได้บ่นในใจมากนัก

ภูมิต้านทานอันตรายของเขาค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน

ทว่าหวางฉีและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ไม่ได้มาเพื่อพูดคุยกัน แต่มีเรื่องสำคัญจะถามหลี่ฉางโซ่ว

“เรื่องก็มีอยู่ว่า ศิษย์พี่ฉางโซ่ว…”

หวางฉียกมือขึ้นถูจมูกอย่างขัดเขินเล็กน้อย และกล่าวเสียงเบาว่า “อาจารย์ลุงคนหนึ่งของข้า… มีสหายที่เป็นคนของสำนักเราด้วย เขาอยากขอโอสถที่ศิษย์พี่หลอมขึ้นมาขอรับ”

หลี่ฉางโซ่วกะพริบตามองหวางฉี ซึ่งดูมีท่าทีเต็มไปด้วยความจริงใจ ขณะที่หวางฉีกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ข้าย่อมไม่ปล่อยให้ศิษย์พี่ฉางโซ่วต้องหลอมโอสถออกมาเปล่าๆ แน่ขอรับ”

“นี่…” หลี่ฉางโซ่วกำลังจะตอบ แต่ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสถึงบางสิ่งในใจได้ทันที

ในขณะนั้น แม่ทัพตงมู่ได้ปรากฏตัวในวิหารเล็กๆ ที่คุ้นเคยอีกครั้ง

ช่างบังเอิญจริง

หลี่ฉางโซ่วทำได้เพียงต้องทำสองสิ่งพร้อมกันเท่านั้น เขาต้องเพ่งจิตจดจ่อครึ่งหนึ่งให้กับเรื่องสำคัญของสามอาณาจักร และตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ก็จบ ‘บันทึกเสนอแนะ’ ที่กำลังเขียนอยู่อย่างรวดเร็ว

ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง เขาก็มุ่งไปที่ ‘ปัญหาเล็กน้อยหลังการครองคู่’ ของศิษย์น้องร่วมสำนัก จากนั้นเขาก็ยิ้มให้หวางฉีและหยิบสุรามังกรพิษสองไหออกมา…

“ศิษย์น้อง… เจ้าให้สหายของอาจารย์ลุงของเจ้าลองสุราสมุนไพรนี้ก่อนเป็นอย่างไร? หากฐานพลังปราณของสหายอาจารย์ลุงของเจ้าไม่สูง เขาก็สามารถดื่มทีละจอกเล็กๆ ได้ น่าจะได้ผล และ… ควรใช้มันเมื่อกลับไปจะดีกว่า”

ศิษย์น้องฉีฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบสุรามังกรพิษขึ้นมาก่อนจะขอบคุณเขาด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด ส่วนหลิวเยี่ยนเอ๋อร์กลับหันมองไปทางอื่นในขณะที่แก้มแดงปลั่งขึ้นมา

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เตือนขึ้นอีกครั้งว่า “จำไว้ว่าให้ใช้เมื่อกลับไปเท่านั้น”

หวางฉีพยักหน้าตกลง

………………………………………………………………..

[1] ซ่อนสาวงามเอาไว้ในเรือนทองคำ เปรียบดั่งแต่งภรรยาเข้าบ้าน หรือไม่ก็แอบมีอนุที่เลี้ยงดูเป็นอย่างดี

[2] ตัวอักษรจ้วน ตัวอักษรที่ใช้ในสมัยฉิน