“หานชวน เป็นอะไร ? ฉันเห็นคุณหน้านิ่วคิ้วขมวด คุณไม่ชอบให้ฉันถามเรื่องส่วนตัวแบบนี้ใช่ไหม? ”

หลีซืออวิ๋นมองไปที่ใบหน้าที่ไม่พอใจของเฟิงหานชวนและรู้สึกน้อยใจขึ้นมา เธอเดาความคิดของเฟิงหานชวนไม่ออกจริงๆ

เธอเป็นเพื่อนกับเฟิงหานชวนมาเป็นเวลาหลายปี การถามคำถามเหล่านี้มันน่าจะเป็นเรื่องที่ปกติมากไม่ใช่เหรอ ?

คงไม่ถึงกับทำให้เฟิงหานชวนไม่พอใจหรอกมั้ง ?

“ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของบริษัท” เฟิงหานชวนวางโทรศัพท์และค่อยๆผ่อนปรนคิ้วที่ขมวดลง

“ก็ดี ฉันคิดว่าคุณอยากปกปิดผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อเฉินฮวนฮวนเสียอีก ” หลีซืออวิ๋นพูดหยอกล้อ

“แน่นอนว่าไม่ได้ปกปิด” เฟิงหานชวนตอบกลับในทันทีและสะดุ้งเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว

จริงๆ แล้วเขาไม่ได้อยากปกปิดเฉินฮวนฮวน แต่เฉินฮวนฮวนต่างหากที่…

“เมื่อเธอกลับมาจากค่ายฝึก ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักอย่างเป็นทางการ เหวินโจวก็ยังไม่เคยเจอเธอเช่นกัน” เฟิงหานชวนกล่าวเบาๆ

“ค่ายฝึก?” หลีซืออวิ๋นถามอย่างสงสัย

“เธอไปเข้าร่วมรายการโชว์ที่แสดงความสามารถ เธอต้องไปค่ายฝึกเพื่อถ่ายทำเป็นเวลาครึ่งเดือน หลังจากกลับมารายการถึงจะออนแอร์ ” นี่คือสิ่งที่เฉินฮวนฮวนบอกเขาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เขายังได้เรียนรู้เกี่ยวกับกฎกติกาและเงื่อนไขของรายการหวาเติง และเขารู้จักรายการนี้ดีกว่าเฉินฮวนฮวนเสียอีก

แม้ว่าเขาจะรู้จักเป็นอย่างดี แต่เขาไม่สามารถทำอะไรให้เฉินฮวนฮวนได้ เพราะเธอไม่ยอมและเธอจะโกรธ

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เฟิงหานชวนก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย

“อ้อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ! พวกเด็กสาวสมัยนี้เป็นแบบนี้กันสินะ ชอบลงแข่งอะไรแบบนี้กันจริงๆ ถ้าเธอชนะการแข่งขันขึ้นมา คุณจะยอมให้เธอเป็นศิลปินไหม ? ” หลีซืออวิ๋นรู้สึกว่าเฉินฮวนฮวนไม่น่าจะผ่านเข้ารอบ

ในบรรดาครอบครัวที่มั่งคั่งเหล่านี้โดยเฉพาะครอบครัวที่มั่งคั่งอย่างตระกูลเฟิง คงจะกลัวคนในบ้านไปเป็นศิลปินมากที่สุด คนที่เข้าไปอยู่ในวงการบันเทิงย่อมมีพวกปาปารัสซี่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถึงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องที่เสื่อมเสีย คนคงจะได้รู้กันไปทั่ว

ถ้าเป็นข่าวที่ดีก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นข่าวที่เสื่อมเสียมันจะส่งผลกระทบต่อตระกูลเฟิงเป็นอย่างมาก

“ถ้าเธอชอบ ฉันจะสนับสนุนเธอ” เฟิงหานชวนตอบอย่างหนักแน่น

“ก็ดี ฉันแค่อยากจะเตือนว่าในวงการบันเทิงในวุ่นวายมาก ดูอายันกับดาราสาวสิ มีแต่ข่าวเชิงลบ ไม่มีดาราสาวคนไหนกล้าแต่งงานกับเขาอีก ” หลีซืออวิ๋นพูดอย่างจริงจัง และมองไปที่เฟิงหานชวนที่กำลังนึกคิด

“เธอจะไม่ทำ” เฟิงหานชวนพูดอย่างมั่นใจ

เขาเชื่อว่าเฉินฮวนฮวน ไม่ใช่ผู้หยิงแบบนั้นแน่นอน

“ดูแล้ว คุณจะเชื่อมั่นในตัวเธอมากเลยนะ ” หลีซืออวิ๋นดูเหมือนกำลังพูดกับเฟิงหานชวน แต่ก็ดูเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่า ร่องรอยความเกลียดชังเกิดขึ้นในแววตาของเธอ

ฐานค่ายฝึก.

การเรียนเต้นในตอนเช้าจบลงอย่างรวดเร็วและเป็นเวลาอาหารกลางวัน

ทันทีที่ซูเวยพูดว่า “เลิกเรียน ” ทุกคนต่างก็ร้องตะโกนออกมาว่า ” หิว ”

การซ่อมเต้นของพวกเธอถือเป็นการออกกำลังกายไปด้วย และอาหารของพวกเธอเป็นอาหารคลีน มันเลยทำให้พวกเธอหิวมากเป็นพิเศษ

เมื่อซูเวยจากไป มีบางคนตะโกนร้องออกมา ” กินสลัดผักอีกแล้วเหรอ? พระเจ้าช่วย !”

“ มีให้กินก็บุญแล้ว พวกเขาไม่ได้ให้กินแต่น้ำสักหน่อย ”

“มันยากเกินไป เมื่อการฝึกฝนสิ้นสุดลง สิ่งแรกที่ฉันจะทำคือกินไก่ทอด”

“ฉันจะกินหม้อไฟ บาร์บีคิว ฮือออออ …”

คนอื่นๆ ต่างพูดคุยกันและเดินออกจากห้องเรียนไป

ตำแหน่งของติงเซียงอยู่ห่างกับเฉินฮวนฮวนมาก เธอเอนตัวไปข้างหน้าและถามว่า ” ฮวนฮวน อาจารย์หนีซวงเรียกเธอไปคุยอะไร ? ทำไมเขาถึงปฏิบัติกับเธอดีขนาดนี้ ? ”

ติงเซียงรู้สึกสงสัยเป็นพิเศษ เธอคิดว่าเฉินฮวนฮวนเป็นแค่ตัวแทนชั่วคราวและไม่น่าจะมีเบื้องหลัง และเกาเหวินก็ไม่ได้พูดอะไรกับเธอ

แต่อาจารย์หนีซวงปฏิบัติต่อเฉินฮวนฮวนดีเป็นอย่างมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเฉินฮวนฮวนไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

“เขาแค่พูดคุยกับเกี่ยวกับกฎกติกาและเงื่อนไขของรายการและไม่ได้พูดอะไรนอกเหนือจากนี้ เขาดีกับฉัน อาจจะเป็นเพราะวันนี้เขาอารมณ์ดีหรือเปล่า ” เฉินฮวนฮวนไม่ได้โกหกอะไรจริงๆ คุณหนีซวงเพียงแค่เรียกเธอไปคุยเกี่ยวกับกฎกติกาบางอย่างและเงื่อนไขสำหรับเธอ

เธอเพียงปิดบังเรื่องที่เกี่ยวกับเฟิงหานชวนเท่านั้น

“จริงเหรอ เธออย่าโกหกฉันนะ ! อาจารย์หนีเป็นปีศาจสาวเลือดเย็นที่ใครๆ ก็รู้จักเป็นอย่างดี แค่ยิ้มให้อันเยว่ยังยากเลยจะมาจับมือเธอได้ยังไง ? ” ติงเซียงมองไปที่เฉินฮวนฮวน ดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็ง เขากดดันเธอด้วยการพูดทีละคำราวกับว่าต้องการขุดความจริงออกจากปากของเฉินฮวนฮวนให้ได้

“ติงเซียง เราไปทานข้าวกันเถอะ” เฉินฮวนฮวนไม่ต้องการตอบคำถามเหล่านี้ เธอเพียงตอบกลับสั้นๆ ว่า “ถ้าฉันมีเบื้องหลังจริงๆ ฉันจะไม่แค่มาแทนที่พี่เหวินชั่วคราว ”

สิ่งที่เฉินฮวนฮวนพูดนั้นไม่ผิด ก่อนพบกับเฟิงหานชวนเธอเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย แม้แต่ค่าผ่าตัดของคุณยายเธอยังไม่มีให้

ถ้าเธอได้พบกับเฟิงหานชวนเร็วกว่านี้ คุณยายของเธอจะไม่ตายใช่ไหม ?

“เอาล่ะ เราไปทานข้าวกันเถอะ” ติงเซียงมีความเชื่อเพียงครึ่งเดียว แต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้มากนัก เธอจึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป

เพราะเธอรู้สึกว่าสิ่งที่เฉินฮวนฮวนพูดนั้นมีเหตุผล แต่ปฏิกิริยาของคุณหนีซวงนั้นเปลี่ยนไปมาก เธอจะต้องหาความจริงให้ได้ !

หลังอาหารกลางวัน พวกเขางีบหลับกันสักครู่ และต้องรีบไปเรียนร้องเพลงต่อ

ยังคงเป็นห้องเรียนเดิม ตำแหน่งเดิม ทุกคนนั่งอยู่บนพื้นรอครูสอนร้องเพลงมา

ติงเซียงเคยบอกกับเฉินฮวนฮวนแล้วว่า ครูสอนร้องเพลงในชั้นเรียนของพวกเธอนั้นคือ กู่ฮวาเป็นอดีตนักดนตรีที่มีชื่อเสียง สิ่งนี้ทำให้เฉินฮวนฮวนประหลาดใจเป็นอย่างมาก

แม้ว่ากู่ฮวาจะไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงแล้ว แต่เขาก็มีแฟนคลับเป็นจำนวนมาก เขามีความสามารถและแต่งเพลงดีๆ มากมาย

หนึ่งในนั้นคือเพลงที่เฉินฮวนฮวนชอบมากๆ ในตอนนั้น เป็นเพลงจบของละครย้อนยุคชื่อเรื่องว่า ” ลม ” แม้จะผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว แต่เธอก็ยังจำมันได้เป็นอย่างดีและมักจะฟังเพลงๆ นี้อยู่เป็นประจำ

กู่ฮวาเป็นเหตุผลที่เธอต้องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสาขาวิชาดนตรี แต่ถูกคุณยายของเธอบังคับไม่ให้เล่นดนตรีทุกชนิดและทุบวัตถุที่เกี่ยวข้องกับดนตรีทิ้งทั้งหมด

เธอรู้ว่าคุณยายของเธอจะไม่ยอมให้เธอแตะต้องดนตรี และยิ่งไม่ยอมให้เธอเดินตามเส้นทางของดนตรีอย่างแน่นอน แต่ไม่คิดว่าตอนนี้เธอจะขัดความต้องการของคุณยายในที่สุด

อีกไม่ช้า เธอจะได้พบกับกู่ฮวานักดนตรีเก่าที่เธอชื่นชมมาโดยตลอด

หลังจากเรียนมหาวิทยาลัย คุณยายของเธอเริ่มมีสุขภาพไม่ดี เธอจึงยุ่งอยู่กับการทำงานพาร์ทไทม์เพื่อหาเงินเลยไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารของกู่ฮวา และเธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เป็นลูกศิษย์ของกู่ฮวา

ขณะนี้เฉินฮวนฮวนรู้สึกตื่นเต้นมาก

ในที่สุด ก็มีรองเท้าผ้าใบสีขาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้นที่ประตู ดวงตาของเฉินฮวนฮวนเบิกกว้างขึ้นทันที

หลังจากนั้น ชายคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าลำลอง แม้ว่าเขาจะสูงไม่มากนักและเขาสวมแว่นตาสีดำ มันทำให้เขาดูเท่และมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก

แม้ว่ากู่ฮวามีอายุครบ 32 ปีในปีนี้ แต่เขายังคงดูเด็กเหมือนนักศึกษาวิทยาลัยในวัยยี่สิบต้นๆ

“อาจารย์กู่! อาจารย์กู่!”

เด็กในชั้นเรียนดูเหมือนจะชื่นชอบกู่ฮวามาก และเขาดูเป็นกันเองมาก ซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศในตอนเรียนคาบเรียนของซูเวย

เฉินฮวนฮวนรู้อยู่แล้วว่า กู่ฮวาต้องเข้ากันได้ดีกับทุกคนในชั้นเรียนอย่างแน่นอน เพราะเธอรู้ว่ากู่ฮวาเป็นคนที่อัธยาศัยดี

“ผมได้ยินมาว่าชั้นเรียนของเรามีนักเรียนมาใหม่? เชิญออกมาแนะนำตัวหน่อย ” กู่ฮวาพูดเสียงต่ำ เสียงนั้นทำให้นักเรียนต่างตกอยู่ในภวังค์