ตอนที่ 96-2 ศึกชิงบุตร จิ่งอวิ๋นตัวร้าย
ขันทีหลิวออกจากบ้านตระกูลหลัวมาก็ถามเสียงเบา “ท่านอ๋อง ท่านว่าฮูหยินจำไม่ได้จริงๆ หรือว่าเสแสร้ง”
ยิ่นอ๋องแค่นเสียงเย็นชา “ย่อมเสแสร้งสิ! นางตั้งใจจะจับแต่แสร้งปล่อย กำลังแก้แค้นที่ข้าแทงนางหนึ่งกระบี่เมื่อตอนนั้น!”
ขันทีหลิวอยากถามนักว่าท่านเอาความมั่นใจมาจากที่ใด แต่ก็กลัวว่าเปิดปากแล้วท่านอ๋องจะตัดศีรษะเขา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็ดีกับฮูหยินสักหน่อย รีบทำให้ฮูหยินหายโกรธ จะได้รับฮูหยิน คุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยกลับจวนอ๋อง”
ทั้งสองคนยืนอยู่หน้าประตูสักพักก็ไม่เห็นสวี่ซื่อเจี๋ยออกมา ขันทีหลิวสูดลมหายใจเบาๆ “เจ้าหนุ่มนั่นอืดอาดยืดยาดอะไรอยู่ด้านใน”
“เสี่ยวเวย เจ้าวางใจได้ ข้าเคยทำไร่มาก่อน! ข้าทำเป็น!” สวี่ซื่อเจี๋ยถือพลั่วเดินตามเฉียวเวยออกมา ทั้งสองคนไม่แม้แต่จะมองยิ่นอ๋องที่อยู่ด้านข้าง แต่สาวเท้าเดินไปยังที่นาของเฉียวเวยดุจดาวตก
ขันทีหลิวโกรธจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าหนุ่มหน้าเหม็น ดันจะอยู่ช่วยฮูหยินทำนาอีก! เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!”
ขันทีหลิวเข้าไปในบ้านแล้วหาพลั่วเล่มหนึ่งกับตะกร้าใบหนึ่งออกมา “ท่านอ๋อง พวกเราก็ไปบ้าง!”
“ทำอะไร” ยิ่นอ๋องมองเครื่องมือในมือเขา คิ้วขมวดเป็นปม
ขันทีหลิวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอนว่าต้องไปช่วยฮูหยินทำนาสิ! คนแซ่สวี่รู้จักแต่ประจบฮูหยิน หากท่านไม่พยายามสักหน่อย ชั่วชีวิตนี้ฮูหยินคงไม่แลท่านแล้ว!”
ยิ่นอ๋องสูงศักดิ์เป็นถึงองค์ชาย จะทำงานชั้นต่ำเช่นนี้ได้เช่นไร
ขันทีหลิวเอ่ยกล่อม “ท่านอ๋อง บ่าวเข้าใจความคิดของท่าน บ่าวเองตัดใจให้ท่านไปทำงานเหนื่อยยากเช่นนั้นลงหรือ แต่ในอดีตท่านแทงกระบี่ใส่ฮูหยิน แค้นนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องให้ฮูหยินได้ระบายออกมาบ้าง! ยิ่งไปกว่านั้นการรับคุณชายน้อยกลับจวนก็เป็นเรื่องที่สมควรรีบทำมิสมควรโอ้เอ้ ท่านรีบเอาใจฮูหินให้ดีเถิด ไม่แน่ฮูหยินอาจจงใจดูความจริงใจของท่านก็เป็นได้ หากท่านไม่ไปย่อมเท่ากับแพ้แล้ว! ท่านทนถูกหยามหมิ่นมาหลายปีเช่นนั้น เพียงทำนาเล็กน้อยครั้งหนึ่ง นับเป็นอันใดได้ หากเล่าลือออกไป ก็บอกว่าท่านมาสังเกตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน สัมผัสความทุกข์ยากของประชาชน นี่ก็นับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง!”
ยิ่นอ๋องไม่ต้องการทำตัวเป็นคนชั้นล่างเพื่อชื่อเสียงอันดีงาม แต่ฝั่งเสด็จพ่อ เขาก็ไม่ยินดีจะปล่อยให้เจ้าเด็กโง่คนนั้นแย่งตำแหน่งกับความมีหน้ามีตาไปจริงๆ!
ในที่สุดนายบ่าวสองคนจึงหยิบเครื่องมือแล้วเดินออกไป
คนในหมู่บ้านเห็นสวี่ซื่อเจี๋ยกับพวกยิ่นอ๋องสองนายบ่าวก็พากันวิ่งมาถามข่าวจากบ้านตระกูลหลัว คุณชายหล่อเหลาสองคนนี้คือผู้ใด เหตุใดจึงสนทนาอยู่กับเสี่ยวเฉียว ป้าหลัวกลัวว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายอันใดเพิ่มขึ้นอีก จึงบอกเพียงว่าเป็นคนของพรรคชิงหลงมาช่วยเสี่ยวเฉียวทำนา
“แต่งงานแล้วหรือยัง” ท่านน้าตระกูลจางเอ่ยถาม ลูกสาวนางยังไม่แต่งงานเลย!
ป้าหลัวยิ้มแต่ปากตาไม่ยิ้ม “แต่งแล้ว แต่งงานกันหมดแล้ว ลูกก็มีแล้ว”
ก่อนหน้านี้พรรคชิงหลงมีแต่คนค่อนข้างอัปลักษณ์ ครั้งนี้ในที่สุดก็มีคนที่มองแล้วสบายตามาสองคน แต่ ‘บุปผางามกลับมีเจ้าของแล้ว’ น่าเศร้า น่าเศร้านักเชียว!
ทุกคนกลับบ้านอย่างผิดหวัง
ข้าวฟ่างหวานในที่นาโตจนสูงเท่าครึ่งตัวคนแล้ว ทั้งยังงอกออกมาแข็งแรงยิ่งนัก เพียงแต่ในนามีวัชพืชงอกขึ้นมาจำนวนหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ เฉียวเวยจึงคิดหาโอกาสกำจัดวัชพืชมาตลอด วันนี้มีแรงงานมาให้ใช้เปล่าๆ หลายคน พอดีเชียว นางจะได้ประหยัดเงินค่าจ้าง!
เนื่องจากพวกเขาล้วนเป็นคุณชายผู้คาบช้อนทองเติบใหญ่ขึ้นมา…ไม่นับเจ้าคนมือกรีดกรายคนนั้น เฉียวเวยจึงสาธิตวิธีกำจัดวัชพืชที่ถูกต้องว่าทำอย่างไรให้พวกเขาดูอย่างใส่ใจ
“…ดินของที่นาดินเค็มทั้งแห้งทั้งแข็ง มือเปล่ายากจะถอนวัชพืชออกมาได้ทั้งราก เวลานี้พวกเราจำเป็นต้องใช้พลั่วเล่มหนึ่ง…หลังจากขุดออกมาเช่นนี้เสร็จ อย่าโยนวัชพืชทิ้งมั่วซั่ว โยนไปตรงไหนมันก็งอกออกมาตรงนั้นอีก จำไว้ต้องใช้ตะกร้าใส่เอาไว้ให้ดี จากนั้นถมดินให้เรียบ อย่าได้กระทบกับการดูดสารอาหารของข้าวฟ่างหวานของข้า อีกอย่างหนึ่งอย่าได้ขุดโคนต้นข้าวฟ่างหวานแรงเกินไปอย่างเด็ดขาด…”
เฉียวเวยใช้ทั้งมือทั้งปากอธิบายอย่างละเอียด สวี่ซื่อเจี๋ยทดลองทำตามประหนึ่งลูกสมุนทำตามลูกพี่ “เช่นนี้ถูกหรือไม่ เสี่ยวเวย”
เฉียวเวยเอ่ยชมอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว “คุณชายสวี่ช่างมีพรสวรรค์เหนือผู้อื่นจริงๆ เรียนครั้งเดียวก็ทำเป็นแล้ว”
ถูกชมเชย คุณชายสวี่ย่อมดีใจยิ่งนัก เขาจึงออกไปถอนวัชพืชอย่างร่าเริง
ยิ่นอ๋องแค่นเสียงอย่างดูแคลน “เรื่องเช่นนี้ต้องมีพรสวรรค์ด้วยหรือ คนโง่ก็ทำเป็น”
กล่าวจบเขาก็ก้มลงไปปักพลั่วขุดวัชพืช ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง ฉึก! ต้นข้าวฟ่างหวานที่งอกงามแข็งแรงต้นหนึ่งล้มครืน…
กำจัดวัชพืช ในใจยิ่นอ๋องนึกต่อต้านงานนี้ ไม่เพียงเพราะเขาเป็นองค์ชาย แต่ที่ยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะสตรีนางนี้แสดงท่าทางชัดเจนว่าต้องการกลั่นแกล้งเขา นางถือใบตองใบหนึ่งบังศีรษะพลางแทะเมล็ดแตงอย่างสบายอุรา ส่วนพวกเขากลับเหงื่อแตกดั่งสายฝนอยู่ในนาราวกับคนโง่
“ข้าขุดเสร็จหนึ่งหมู่แล้ว!” คุณชายสวี่ตะโกนเสียงดังอย่างตื่นเต้น
ยิ่นอ๋องมองเจ้าคนแซ่สวี่ที่ตนอยากตบให้ตาย ขุดเร็วปานนั้น ตั้งใจข่มเขาใช่หรือไม่
ไม่นาน เขาก็พบว่าเขาอยากตบขันทีหลิวให้ตายด้วยเช่นกัน
เพื่อแผนการใหญ่ในการรับคุณชายน้อยกลับ ขันทีหลิวกำจัดวัชพืชอย่างทุ่มสุดกำลัง เขาเอาสวี่ซื่อเจี๋ยเป็นเป้าหมายของตัวเอง แล้วขยับเข้าไปใกล้ทีละก้าวๆ
เขาเข้าใจใช้จุดเด่นของตนเองยิ่งนัก ซ้ายขุด! ขวาเกี่ยว! ตวัดขึ้นกลบ! ตวัดลงถม!
วันนี้สภาพของเขายอดเยี่ยมยิ่งนัก
เขาไล่ตามสวี่ซื่อเจี๋ยทันแล้ว!
ไม่ เขาแซงสวี่ซื่อเจี๋ยแล้ว!
ดูสิ!
เขาทิ้งสวี่ซื่อเจี๋ยไว้ข้างหลังตั้งไกลแล้ว!
คนชนะคือเขา!
วินาทีนี้ต้นข้าวฟ่างหวานทั้งแปลงต่างโห่ร้องเสียงดังกระหึ่มให้เขา!
ผู้ชมทั้งหลายปรบมือเสียงดังกัมปนาท!
ผู้ชมที่มีเพียงเฉียวเวยคนเดียว
ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยทางตะวันตก อัสดงแผ่ปกคลุม
ระหว่างที่ทั้งสามคนดันทุรังต่อสู้กันอย่างแข็งขันไม่มีหยุดพัก วัชพืชในไร่ข้าวฟ่างหวานก็ถูกกำจัดจนหมด
ขิงต้องแก่จึงร้อนแรง ขันทีหลิวแม้อายุมากที่สุดแต่กลับกำจัดวัชพืชได้มากที่สุด ไร่ข้าวฟ่างหวานสิบลี้ เขาเหมาไปเกือบครึ่งหนึ่ง เฉียวเวยไม่รู้เลยว่าเขาทำได้อย่างไร
เปรียบเทียบกันแล้ว สวี่ซื่อเจี๋ยกับยิ่นอ๋อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ๋อง ทำให้เฉียวเวยเดียดฉันท์อยู่เล็กน้อย ชักช้าอืดอาด กล้ามเนื้อทั้งตัวไม่เห็นมีประโยชน์
ยิ่นอ๋องโกรธจนอกจะแตก ตนอุตส่าห์ลงมาใช้แรงงานในไร่ไถ่ถอนความผิดที่แทงหนึ่งกระบี่นั้นเมื่อในอดีต แต่นางยังเดียดฉันท์อยู่อีก!
คนทั้งสามที่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์งดงามตกอยู่ในสภาพหน้าตามอมแมม เหน็ดเหนื่อยจนเอวแทบจะหัก เพื่อแสดงความขอบคุณ เฉียวเวยจึงยิ้มแย้มเชิญทั้งสามคนกลับไปกินถั่วเขียวต้มเล็กน้อยที่บ้านตระกูลหลัว
ตอนนี้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเลิกเรียนแล้ว พวกเขาขนม้านั่งตัวน้อยกับเก้าอี้ตัวหนึ่งมาเขียนการบ้านที่หน้าประตูบ้าน
เพราะรับเงินผู้อื่นมาแล้ว จิ่งอวิ๋นจึงต้องทำการบ้านเพิ่มอีกหลายฉบับ ประเดี๋ยวเขาสะบัดมือซ้าย ประเดี๋ยวใช้มือขวา สลับสับเปลี่ยนดั่งใจ การบ้านเจ็ดแปดฉบับก็เสร็จ ตัวอักษรในแต่ละฉบับไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย
เมื่อพวกเฉียวเวยมาถึงประตูบ้าน เขาก็ทำการบ้านทั้งหมดเสร็จเก็บทุกฉบับเข้ากระเป๋าเรียนแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้น มองปราดเดียวก็จำยิ่นอ๋องที่เดินอยู่ข้างกายมารดาได้
เขายังเยาว์วัยจึงไม่เข้าใจเรื่องหน้าตาคล้ายกันสักเท่าใด แต่เขาจำได้ว่าท่านอาผู้ชั่วร้ายคนนี้เคยรังแกน้องสาวกับเสี่ยวไป๋ แล้วยังเคยรังแกท่านแม่อีกด้วย
เขาหลุบตาลงไม่แสดงสีหน้า แล้วปิดกระเป๋าหนังสือจนเรียบร้อย
วั่งซูขี้หลงขี้ลืมนัก เรื่องราวในอดีตนางจดจำมิได้ แล้วนางก็จำยิ่นอ๋องกับขันทีหลิวมิได้ด้วย สาเหตุสำคัญก็เพราะใบหน้าของทั้งสองเปื้อนดินโคลน ในสายตาวั่งซูจึงแยกไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
วั่งซูวิ่งตึงตังโผเข้าไปในอ้อมแขนของเฉียวเวย “ท่านแม่ พวกเขาคือผู้ใดหรือ”
สวี่ซื่อเจี๋ยไม่เคยเห็นเด็กน้อยน่ารักเช่นนี้มาก่อน เขาพึงพอใจกับภารกิจครานี้ของตนมากขึ้นทุกทีจริงๆ ตอนหลินมามาจ่ายเงินมหาศาลให้เขาหลอกสามแม่ลูกมาไว้ในมือ เขาคิดว่าสามแม่ลูกจะอัปลักษณ์โง่เง่าหนักหนาไม่มีผู้ใดเอาเสียอีก หลินมามาจึงต้องเป็นฝ่ายควักเงินออกมาเช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าแต่ละคนจะงามยิ่งกว่าอีกคน! เด็กหญิงตัวน้อยแก้มสีชมพูระเรื่อผู้นี้ราวกับเดินออกมาจากภาพวาดวันตรุษ แล้วยังมีเด็กชายตัวน้อยที่ยืนเก็บข้าวของอยู่ด้านนั้น คิ้วกับดวงตาเย็นชา เครื่องหน้าทั้งห้างดงาม ท่วงท่าสุขุม มองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นเด็กที่อนาคตภายหน้ากว้างไกลไร้ขอบเขตคนหนึ่ง!
สวรรค์หนอสวรรค์ เขาได้กำไรแล้ว! ได้กำไรมหาศาลแล้ว!
เฉียวเวยเหลือบมองสวี่ซื่อเจี๋ยผู้แอบตื่นเต้นยินดี แล้วเหลือบมองยิ่นอ๋องผู้มีสีหน้าสับสน คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย แล้วอมยิ้ม “พวกเขาคือท่านอาสวี่กับท่านอาหลี่ แล้วท่านนั้นคือ…ท่านลุงหลิว”
“พวกเขามาช่วยท่านแม่ทำงานเหมือนกันหรือ” วั่งซูเห็นเครื่องมือทำนาในมือพวกเขา รวมไปถึงเสื้อผ้าที่สกปรกไปทั่งตัว
มุมปากขันทีหลิวกระตุก จากนั้นยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “พวกเราไม่ได้มาช่วยแม่ของเจ้าทำงานหรอกนะ พวกเรามาหาพวกเจ้า”
วั่งซูกะพริบดวงตาคู่โต แล้วถามสีหน้ามึนงง “มาหาพวกเราทำอันใดเล่า ซื้อกุ้งหรือว่าซื้อไข่เยี่ยวม้า”
เด็กน้อยคนนี้ไฉนจึงเหมือนท่านป้าผู้นั้นไม่มีผิด ดวงตาเห็นแต่เงินหรือไร ไม่เห็นหรือว่านายท่านของเขาหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ท่วงท่าองอาจ…เฮ้อ แต่ตอนนี้ดูอเนจอนาถอยู่สักหน่อย
ขันทีหลิวชี้ไปทางยิ่นอ๋อง “แม่นางน้อย เห็นคุณชายผู้นั้นหรือไม่”
วั่งซูพยักหน้า “เห็นแล้ว”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นผู้ใด” ขันทีหลิวหลอกล่ออย่างมีชั้นเชิง
“รู้สิ” วั่งซูตอบเสียงรื่นหู
ขันทีหลิวดวงตาเป็นประกาย จากนั้นก็ได้ยินวั่งซูตอบว่า “ท่านอาหลี่!”
ขันทีหลิวหน้าดำทะมึน
ยามนี้มิใช่จังหวะเหมาะในการพูดคุย เฉียวเวยตัดสินใจว่าหลังจากอาบน้ำตอนค่ำเสร็จแล้ว ระหว่างนอนบนเตียงกับเด็กๆ จะบอกพวกเขาเรื่องความเป็นมาของ ‘ท่านพ่อ’ ของทั้งสองคนอย่างละเอียดอีกครั้ง
เฉียวเวยเชิญทุกคนเข้ามาในบ้าน
ขันทีหลิวกับท่านอ๋องของเขานั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง สวี่ซื่อเจี๋ยนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ขันทีหลิวเหลือบมองวั่งซูที่กำลังเล่นอยู่หน้าประตูใหญ่ แล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋อง ท่านมองออกหรือไม่ แม่นางน้อยผู้นั้นก็คือเด็กคนนั้นที่กอดขาท่านตอนพวกเราเข้ามาในหมู่บ้านครั้งแรก” หากรู้แต่แรกว่านางเป็นเลือดเนื้อของท่านอ๋อง ให้ขันทีหลิวมีความกล้ามากขึ้นอีกร้อยเท่า ขันทีหลิวก็ไม่กล้าผลักนางล้มลงพื้น
ยิ่นอ๋องก็จำเรื่องวันนั้นได้แล้วเช่นกัน เขาอยากเดินเข้าไปคุยกับวั่งซูแต่ถูกจิ่งอวิ๋นขวางเอาไว้ จิ่งอวิ๋นเอ่ยอย่างน่ารักน่าชัง “ท่านอาหลี่ ท่านนั่งรอในห้องโถงสักประเดี๋ยว ถั่วเขียวต้มอีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว เนื้อตัวท่านสกปรกอยู่บ้าง ข้าจะตักน้ำมาล้างให้ท่านสักหน่อย”
ยิ่นอ๋องพยักหน้า บุตรชายปรนนิบัติบิดาเป็นเรื่องสมควร
จิ่งอวิ๋นตักน้ำสะอาดมาอ่างหนึ่งจริงๆ เมื่อยิ่นอ๋องมองเห็นบุรุษผมเผ้ากระเซิงหน้าตามอมแมมในน้ำใส ก็ตกตะลึงจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้!
จิ่งอวิ๋นหยิบผ้าสะอาดผืนหนึ่งขึ้นมาอย่างนิ่งสงบ “นี่เป็นผ้าเช็ดตัวของข้า หากท่านอาหลี่ไม่รังเกียจใช้มันเช็ดสักหน่อยเถิด”
สิ่งของของบุตรชาย เขาย่อมไม่รังเกียจ
ยิ่นอ๋องตั้งสติ ในใจจินตนาการว่าได้จัดการเฉียวเวยสตรีน่าชังผู้นั้นอย่างเหี้ยมโหด หลังจากนั้นจึงล้างมือกับใบหน้า แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวของบุตรชายเช็ดจนแห้ง พลางถือโอกาสเช็ดเหงื่อบนลำคอด้วย
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกว่าเนื้อตัวคันยุบยิบ
จิ่งอวิ๋นรับผ้าเช็ดตัวกับอ่างล้างหน้าไป “ข้าจะไปดูถั่วเขียวต้มสักหน่อย”
ยิ่นอ๋องมองดูเขา แววตาลึกล้ำขึ้นเล็กน้อย เด็กดีเช่นนี้ หากมิได้เกิดมาจากท้องของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว เขาคงยินดียิ่งนัก “เจ้าไปเถิด”
จิ่งอวิ๋นก้าวขาสั้นๆ จากไป
ขันทีหลิวขยับเข้ามาใกล้ แล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “นายน้อยสนิทกับท่านจริงๆ ท่านดูเขาสิ ตั้งแต่สวี่ซื่อเจี๋ยเข้ามาในบ้านไม่เห็นพูดกับเขาสักประโยค นี่คือที่เขาเรียกกันว่าเลือดข้นกว่าน้ำ!”
ยิ่นอ๋องเกาลำคอ คันนัก…
จิ่งอวิ๋นเลี้ยวไปทางท้ายเรือน แล้วโยนผ้าฝ้ายไปตรงต้นไม้ จากนั้นตักน้ำสะอาดมาฟอกสบู่ ล้างมือทั้งสองข้างอย่างพิถีพิถันจนสะอาด
หลังจากนั้น เขาจึงเข้าไปในครัว
ผู้ที่ต้มถั่วอยู่คือชุ่ยอวิ๋น
“ท่านป้า” เขาทักทาย
ชุ่ยอวิ๋นคลี่ยิ้ม พลางใช้กระบวยตักถั่วเขียวต้มใส่ชาม “จิ่งอวิ๋นกินหรือไม่ เจ้ารอประเดี๋ยว ถั่วยังร้อนอยู่เล็กน้อย”
จิ่งอวิ๋นตอบว่า “ประเดี๋ยวข้าค่อยกิน จริงสิ ท่านป้า พู่กันของข้าหายไปแล้ว ท่านช่วยข้าหาหน่อยได้หรือไม่ อย่าบอกท่านแม่ของข้านะ ข้ากลัวนางโกรธ”
“ได้สิ” ชุ่ยอวิ๋นยิ้มแย้มรับปาก จากนั้นจึงถอดผ้ากันเปื้อนเดินออกไป
จิ่งอวิ๋นผิวปาก เสี่ยวไป๋เผ่นแผล็วเข้ามา จิ่งอวิ๋นวางเสี่ยวไป๋ไว้บนเตา เสี่ยวไป๋ก็เข้าใจเจตนา ยิงฉี่ลูกเพียงพอนลงไปในชามใบหนึ่งในนั้น!
ชามใบด้านข้างกระเซ็นถูกเล็กน้อย จิ่งอวิ๋นยกชามใบนั้นออกไป เหลือเพียงชามสองใบวางไว้บนถาด ร่างกายเล็กจ้อยยกถั่วเขียวต้มสองชามใหญ่เดินออกมา ทั้งน่ารักทั้งรู้ความจนทำให้คนใจเจ็บ
สวี่ซื่อเจี๋ยเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “จิ่งอวิ๋น ข้าช่วยเจ้านะ”
“ไม่ต้องขอรับ ท่านอาสวี่” ท่าทางของจิ่งอวิ่นเย็นชายิ่งนัก
สวี่ซื่อเจี๋ยประจบไม่สำเร็จก็กระแอมอย่างเก้อกระดาก แล้วกลับไปนั่งที่เดิม
จิ่งอวิ๋นวางถาดบนโต๊ะ จากนั้นยกถั่วเขียวต้มชามหนึ่งให้ยิ่นอ๋องก่อน สีหน้าแฝงความสุขเอาไว้ แต่ไม่แสดงออกมากเกินไป “ท่านอาหลี่ เชิญ!”
ยิ่นอ๋องรู้สึกดียิ่งนัก เขากวาดสายตามองสวี่ซื่อเจี๋ยผู้กลอกตามองบนอย่างเย็นชา จากนั้นรับถั่วมา แล้วลูบศีรษะน้อยๆ ของจิ่งอวิ๋น “ขอบใจจิ่งอวิ๋นมาก”
“ท่านอาหลี่ ไม่ต้องเกรงใจ!” จิ่งอวิ๋นเอ่ยอย่างอ่อนหวาน หลังจากนั้นจึงยกถั่วเขียวต้มอีกชามหนึ่งให้สวี่ซื่อเจี๋ย
สวี่ซื่อเจี๋ยตาโตอ้าปากค้างมองเขา “เหตุใดเจ้าไม่เรียกข้าบ้าง”
จิ่งอวิ๋นมองเขาอย่างเฉยเมย แล้วกระโดดมาข้างกายยิ่นอ๋อง มองยิ่นอ๋องอย่างคาดหวัง “ท่านอาหลี่ อร่อยหรือไม่”
ยิ่นอ๋องชิมดูคำหนึ่ง รสชาติออกจะ…พรรณนาออกมาเป็นคำพูดมิถูก กระเพาะรู้สึกเหมือนอยากขย้อนออกมา
จิ่วอวิ๋นเบิกตาโต ถามอย่างไร้เดียงสา “ไม่อร่อยใช่หรือไม่ ล้วนโทษจิ่งอวิ๋น ไม่สมควรใส่น้ำตาลลงไปมากเช่นนั้น”
“เจ้าใส่น้ำตาลหรือ” น้ำเสียงของยิ่นอ๋องอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สังเกต
จิ่งอวิ๋นผงกศีรษะน้อยแล้วบอกว่า “อืม ข้าอยากให้ท่านอาหลี่กินถั่วต้มหวานๆ จึงใส่น้ำตาลลงไปมากๆ!”
บุตรชายอุตส่าห์มีใจกตัญญู เขาย่อมมิอาจปฏิเสธ ก็มิใช่ว่าเขารักใคร่บุตรชาย แต่เขาจำเป็นต้องผูกสัมพันธ์อันดีกับบุตรชายเอาไว้ เช่นนี้ เมื่อกลับไปถึงจวนอ๋องแล้วจึงจะใช้งานเขาได้สะดวก
ยิ่นอ๋องฝืนใจกินถั่วเขียวต้มหวานจ๋อยที่รสแปลกพิกลยิ่งนักลงไป ซดจนไม่เหลือสักหยดภายใต้สายตาของจิ่งอวิ๋นที่เฝ้ามองอย่างนับถือ
“อร่อยหรือไม่” จิ่งอวิ๋นกะพริบดวงตาคู่โตพลางเอ่ยถาม
หากพูดอย่างไม่มีอคติ นี่เป็นถั่วเขียวต้มที่รสชาติแย่ที่สุดเท่าที่ยิ่นอ๋องเคยกินมา กินเข้าไปแล้วไม่รู้สึกถึงรสชาติของถั่วเขียวสักเท่าใด แต่มีรสชาติเจือจางบางอย่างที่เขาไม่อาจพรรณนาได้…ใช่แล้วไม่อาจพรรณนาได้ เขารู้สึกสะอิดสะเอียนจนกระเพาะปั่นป่วน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาคาดหวังของบุตรชาย เขาผู้เป็นบิดาเหมือนจะไม่สมควรเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้บุตรชายผิดหวัง
ยิ่นอ๋องตั้งสมาธิให้มั่น ไม่ทราบว่าใช้ความกล้าหาญมากเท่าใดกว่าจะเอ่ยออกมาอย่างไม่จริงใจว่า “อร่อยมาก”
จิ่งอวิ๋นหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะตักให้อาหลี่อีกชาม!”