เล่ม 1 ตอนที่ 97-1 พี่ซิวมาหา

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 97-1 พี่ซิวมาหา
จันทราอับแสง สายลมพัดโหมรุนแรง

ยิ่นอ๋องลากร่างกายอันอ่อนแรงเดินออกจากป่ามืดครึ้มที่ส่งกลิ่นประหลาด ใต้แสงจันทราเขาสีหน้าซีดเผือดประหนึ่งปูกระดาษไขไว้ชั้นหนึ่ง ก้าวเท้าของเขาอ่อนแรงยิ่งนักราวกับเหยียบอยู่บนปุยเมฆ เดี๋ยวก้าวหนัก เดี๋ยวก้าวเบา หากไม่ทราบ คงคิดว่าเขาดื่มมากเกินไป

สภาพของขันทีหลิวก็ไม่ดีไปกว่าเขาสักเท่าใด แม้เขาไม่ต้องวิ่งเข้าป่าอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนบ่ายก็โหมถอนวัชพืชมากเกินไป ตอนนี้นั่งนิ่งๆ สักประเดี๋ยว กล้ามเนื้อทั่วร่างก็ปวดร้าว โดยเฉพาะเอวแก่ๆ ของเขาเหมือนจะหักได้ตลอดเวลา ดังนั้นแม้เห็นยิ่นอ๋องทำท่าจะล้มลงไปได้ตลอดเวลา แต่เขากลับไม่มีแรงเหลือไปช่วยพยุงอีกฝ่าย

ยิ่นอ๋องลากเท้าอันหนักอึ้งกับร่างกายที่เสมือนมิใช่ร่างของตนขึ้นไปบนรถม้า

ขันทีหลิวยกแขนที่เหมือนมิใช่ของตนขึ้นมาเหมือนกัน…เขาคิดว่าเขายกขึ้นมาแล้ว แต่ความจริงแล้วเปล่า เขาเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “ท่านอ๋อง…ท่าน…ท่านไม่เป็นไรนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าไม่…” กล่าวยังไม่ทันจบ ยิ่นอ๋องก็รู้สึกว่าท้องไส้บิดมวล เหมือนมีมือสองข้างมาจับลำไส้ของเขาบิดจนเป็นก้อนขยุกขยุย เขากุมตำแหน่งหนึ่งไว้ จากนั้นเดินโซซัดโซเซเข้าไปในป่าพร้อมกับสีหน้าซีดเผือด

ขันทีหลิวมองท้องฟ้าอย่างจนปัญญา นี่เป็นครั้งที่ยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดของคืนนี้แล้ว แค่ป่าแถบนี้ก็เข้าแล้วออก เข้าแล้วออกมาเจ็ดแปดรอบ หนึ่งชั่วยามกว่าพวกเขายังเดินไม่พ้นอาณาเขตของหมู่บ้านซีหนิว!

“แหวะ”

เสียงอาเจียนของยิ่นอ๋องดังออกมาจากในป่า

ยิ่นอ๋อง….เหยียบเคราะห์ร้ายเข้าเต็มเปา

ตอนที่ยิ่นอ๋องค้นพบว่าท้องไส้ของตนเองผิดแปลกไป เขาก็อ้างว่า ‘ข้ามีธุระ’ หาจังหวะออกมา พวกเฉียวเวยไม่ทราบสักนิดว่าเขากำลังทรมานจนแทบอยู่มิสู้ตาย จิ่งอวิ๋นท่องสิ่งที่ร่ำเรียนมาในวันนี้ให้เฉียวเวยฟังอย่างนิ่งสงบ เฉียวเวยหอมแก้มเขาเป็นรางวัลอย่างพึงพอใจ ใบหน้าน้อยของเขาแดงระเรื่อ ขัดเขินจนทำให้คนอดไม่ได้อยากจะกัดสักคำ

เฉียวเวยอดไม่ได้กังวลอยู่เล็กน้อย เด็กน้อยใสซื่อเช่นนี้ เติบใหญ่ขึ้นไปจะถูกผู้อื่นรังแกหรือไม่

จิ่วอวิ๋นตัวน้อยผู้ ‘ใสซื่อ’ จนอาจถูก ‘รังแก’ อุ้มเสี่ยวไป๋มาเอ่ยราตรีสวัสดิ์กับมารดาอย่างว่านอนสอนง่าย แล้วจึงกลับเข้าไปดูแลน้องสาวต่อ

ตกค่ำเฉียวเวยเข้าเมืองไปทำการค้า สวี่ซื่อเจี๋ยตามติดประหนึ่งลูกสมุน

ความจริงหลังจากทำไร่มาตลอดบ่าย สวี่ซื่อเจี๋ยเหนื่อยจนไม่อยากกระดิกตัวแล้ว แต่เพราะว่านายบ่าวขัดหูขัดตาคู่นั้นอุตส่าห์ไม่อยู่ เขาได้ยึดครองเฉียวเวยเอาไว้ผู้เดียวทั้งที่ เขาจะปล่อยโอกาสดีเลิศเช่นนี้ไปได้อย่างไรเล่า

คนงาม ลูกน้อยน่ารัก เงินค่าจ้างมหาศาล ทั้งหมดล้วนเป็นของเขา ของเขา!

เฉียวเวยไม่สนใจสวี่ซื่อเจี๋ย นางอุ้มไข่เยี่ยวม้าสามโถเดินออกไปด้านนอก

สวี่ซื่อเจี๋ยเรียกความกล้าให้ตัวเองแล้วยื่นมือออกมา “ข้าเองๆ เจ้าเป็นสาวเป็นนางทำงานหนักเช่นนี้ได้อย่างไร…เล่า…”

เฉียวเวยวางโถสองใบไว้ในอ้อมแขนเอย่างไม่เกรงใจสักนิด น้ำหนักอันหนักอึ้งเกือบจะทับแขนบอบบางของเขาหัก เขาครางถาม “รถ รถม้าอยู่ไหนหรือ”

จะไม่ไหวแล้ว…

เฉียวเวยยิ้มหวาน “ไม่มีรถม้าหรอก ปกติข้าเดินไปทุกที”

ตาเฒ่าซวนจื่อผู้มาตอกบัตรทำงานตรงเวลาทุกวันขับรถม้าจากไปอย่างเงียบๆ…

สวีซื่อหาสามีให้เฉียวเวย ย่อมไม่หาคนที่แย่เกินไปนัก มิเช่นนั้นหากเฉียวเวยไม่ถูกใจ แน่วแน่ไม่ยอมตามผู้อื่นไป ไยมิใช่นางวุ่นวายเสียเปล่า

สวี่ซื่อเจี๋ยผู้นี้ เดิมทีก็เป็นคนเมืองหลวง ตระกูลทำการค้าเล็กน้อยสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แม้นับไม่ได้ว่าเป็นเศรษฐีหรือชนชั้นสูง แต่ฐานะครอบครัวก็มั่งคั่ง สวี่ซื่อเจี๋ยเป็นลูกคนที่สามของครอบครัว เขาไม่ขยันขันแข็งดั่งเช่นบรรดาพี่ชาย ทั้งยังไม่หลักแหลมเจ้าเล่ห์เช่นน้องชายทั้งหลาย แล้วยังไม่ยอมเชื่อฟังคำพูดของบิดาผู้ชราของตน ครั้งนี้บังเอิญว่าบิดาของเขาหาคู่แต่งงานมาให้ แต่อีกฝ่ายเป็นคุณหนูตระกูลบัณฑิตผู้ขาเป๋คนหนึ่ง ฐานะสูงส่งยิ่งนักก็จริง แต่น่าเสียดายเป็นคนขาเป๋ เขาสงสัยจริงๆ ว่าบิดาเกลียดชังเขามากเท่าใดจึงหาคู่ครองเช่นนี้ให้กับเขา

บ่าวรับใช้จากบ้านเดิมของท่านป้าเขาเป็นญาติห่างๆ ของหลินมามาแห่งจวนเอินปั๋ว หลินมามากล่าวว่าจะแนะนำคู่ครองให้เขาคนหนึ่ง อีกฝ่ายเป็นแม่ม่าย ขอเพียงเขาเอาคนมาไว้ในมือได้ ก็จะได้รับเงินสินเดิมของฝ่ายหญิงจำนวนมหาศาลก้อนหนึ่ง

สินเดิมนั่นเขาคำนวณดูแล้ว มากกว่าเงินที่เขาหาได้สิบกว่าปีเสียอีก

ระหว่างแม่ม่ายกับคนขาเป๋ เขาเลือกคนแรกโดยแทบจะไม่ต้องลังเล แน่นอนว่าเหตุผลประการหนึ่งที่ตัดสินใจเช่นนี้ก็เพราะมีความคิดจะต่อต้านบิดาอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย

เขามิได้เกิดมาเป็นชาวนาหรือโตมาอย่างชาวนา ทำสวนทำนาอันใด ความลำบากอันใด สิ่งเหล่านั้นล้วนเคยพบเจอแต่ในคำขู่ เขาเป็นคุณชายผู้บอบบาง ผิวบางกล้ามเนื้อป้อแป้ สิ่งใดก็ไม่เคยทำ

เพียงทำงานในไร่ตลอดบ่ายก็เอาชีวิตเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังจะให้เขาอุ้มโถหนักเหมือนพันชั่งสองใบ มิใช่จะเอาชีวิตเขาหรือไร

เฉียวเวยเหลือบมองเขาแล้วถอนหายใจ “อุ้มไม่ไหวก็ช่างเถิด ท่านกลับไปเถอะ ลูกชายข้าเก่งกาจปานนั้น บิดาของเขาแม้แต่โถสองใบยังแบกไม่ไหว น่าสงสัยจริงๆ ว่าใช้ลูกแท้ๆ หรือเปล่า!”

“ลูกแท้ๆ ! ต้องเป็นลูกแท้ๆ อยู่แล้ว! ใครว่าข้าอุ้มไม่ไหว เจ้าดูข้ามิใช่อุ้มได้ดีอยู่หรือ” สวี่ซื่อเจี๋ยกัดฟัน อุ้มโถที่รูดลงไปจนเกือบถึงพื้นทั้งสองใบกลับมาอยู่ในอ้อมแขนอีกครั้ง

เฉียวเวยเดินเร็วประหนึ่งเหาะ อุ้มโถอยู่แต่กลับเหมือนไม่ได้อุ้มอะไรอยู่ทั้งสิ้น เดินเท้าไม่มีหอบ แล้วยังฮัมเพลงเบาๆ ได้อีก

เมื่อหันกลับมามองสวี่ซื่อเจี๋ยอีกครั้ง เหนื่อยหอบจนสภาพจะเหมือนสุนัขเต็มทน

เมื่อมาถึงหรงจี้ สวี่ซื่อเจี๋ยก็แทบกลายเป็นพิการ

เถ้าแก่หรงให้คนเก็บไข่เยี่ยวม้าสามโถจนเรียบร้อย “เสี่ยวเฉียว นั่นผู้ใดหรือ”

เฉียวเวยมองสวี่ซื่อเจี๋ยที่เหนื่อยจนแทบจะลงไปกองกับพื้น แล้วคลี่ยิ้มตอบว่า “แรงงานแบบไม่ต้องจ่ายเงิน เรียกใช้ได้อย่าให้เสียเปล่า ไม่ต้องเกรงใจ”

เถ้าแก่หรงบ่น “ดูเจ้าพูดเข้า คนที่เจ้าพามา ข้าไหนเลยจะเรียกใช้ตามใจได้ อย่างไรก็ต้องหางานที่เหมาะสมให้สักงานสิ”

สวี่ซื่อเจี๋ยโล่งใจ

เถ้าแก่หรงฉีกยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็ให้ทำความสะอาดสุขาก็แล้วกัน”

สวี่ซื่อเจี๋ยล้มตึง…

เหยาชิงมาทำงานได้หลายวันแล้ว เขาทำงานจิปาถะในห้องครัวอยู่ตลอด สิ่งที่ทำมากที่สุดคือล้างผักกับหั่นผัก แม้เขาจะเป็นคนที่เฉียวเวยพามา แต่ทุกคนเหมือนจะมองอย่างเท่าเทียมไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาเป็นพิเศษ

ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านได้ฟังสภาพของเหยาชิงแล้ว จึงอ้างว่ามากินกุ้ง แล้วเดินทางมาหรงจี้ด้วยกันกับบุตรสาว

ทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างแผงขายกุ้ง สั่งกุ้งสองสหายมาหนึ่งชุด

เฉียวเวยยกพะโล้ที่เพิ่งออกจากเตามาถึงข้างแผงขายของ มองแวบแรกก็เห็นภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้าน สตรีอายุน้อยที่อยู่ข้างนางหน้าตาละม้ายนางอยู่หลายส่วน น่าจะเป็นญาติที่ใกล้ชิดอย่างยิ่ง น่าจะเป็นบุตรสาวคนนั้นที่นางเคยพูดถึง เฉียวเวยก้าวเข้าไปทักทาย “ฮูหยิน ลมอะไรหอบท่านมา”

ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านคลี่ยิ้มแล้วแนะนำบุตรสาวของตนเอง “นี่คืออาเย่ว์ อาเย่ว์ คนนี้คือเสี่ยวเฉียวที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟัง”

อาเย่ว์กับเฉียวเวยทักทายกัน

ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “เสี่ยวเฉียว เหตุใดไม่เห็นเหยาชิงเล่า เขาทำอาหารอยู่ด้านในหรือ”

เฉียวเวยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นว่านางจงใจถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว แล้วตอบว่า “เขากำลังล้างกุ้งอยู่”

สีหน้าของอาเย่ว์ไม่น่าดูเล็กน้อยในทันใด “เขามาเรียนวิชากับพวกเจ้า ไม่ได้มาทำงานเล็กน้อยอย่างล้างกุ้งนะ!”

เฉียวเวยยิ้มบาง “แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ล้างกุ้ง ผักในห้องครัว เขาก็ต้องล้างทั้งหมด ล้างเสร็จแล้วก็ต้องหั่น หั่นจนบรรดาพ่อครัวพอใจแล้วจึงจะได้จับกระทะทำอาหาร”

อาเย่ว์กัดริมฝีปาก แล้วดึงแขนเสื้อของภรรยาหัวน้าหมู่บ้าน ตั้งคำถามว่า “ไม่ได้บอกว่ามาเป็นพ่อครัวหรือ ไฉนวิ่งมาทำงานคนใช้เล่า”

ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านเช็ดปาก “เป็นพ่อครัวต้องฝึกพื้นฐานให้แน่นจึงจะดีนะ”

“ข้าเห็นพวกคนงานในเหลาสุราพวกนั้น คนหั่นผักก็หั่นผัก คนล้างผักก็ล้างผัก แบ่งงานกันชัดเจน พวกพ่อครัวเพียงรับผิดชอบทำก็ได้แล้ว!”

มีพ่อครัวบางคนไม่รับผิดชอบการหั่นผักก็จริง แต่นั่นมิได้หมายความว่าผู้อื่นทำไม่เป็น ผู้อื่นพื้นฐานแน่นอย่างยิ่งแล้วต่างหาก ยกตัวอย่างพ่อครัวเหอแห่งหรงจี้ หั่นไชเท้าฝอยจนลอดรูเข็มได้ ฝีมือการใช้มีดเช่นนี้ละเอียดระดับใด

อุตส่าห์หวังดีแนะนำงานให้แต่กลับถูกทำเหมือนหวังร้าย เป็นผู้ใดก็ต้องรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง

รอยยิ้มของเฉียวเวยเริ่มเย็นชาแล้ว “มื้อนี้กินอะไร ข้าเลี้ยงเอง”

ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเห็นรอยยิ้มเย็นชาชองเฉียวเวยก็รู้ว่าบุตรสาวล่วงเกินผู้อื่นแล้ว นางดึงเฉียวเวยไปด้านข้างแล้วอธิบาย “เสี่ยวเฉียว อาเย่ว์ถูกข้ากับหัวหน้าหมู่บ้านตามใจจนเสียนิสัย ไม่รู้ความ พูดจาไม่ใช้สมอง เจ้าอย่าถือสานางเลยนะ”

เสี่ยวเฉียวก็ไม่ได้จะถือโทษโกรธนางนักหนา ก็แค่ไม่ชอบการต้องมาปั้นหน้ายิ้มแย้มกับคนที่สะบัดก้นเย็นชาใส่ก็เท่านั้น นางไม่ติดค้างอันใดอีกฝ่ายเสียหน่อย “ฮูหยิน หากท่านคิดว่าเหยาชิงทำงานอยู่ที่นี่ไม่ดี ก็หาหนทางอื่นให้เหยาชิงได้ตลอดเวลา”

ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านรีบโบกมือ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว ข้าจะคิดว่าชิงเอ๋อร์อยู่ที่นี่ไม่ดีได้อย่างไร หากไม่ดีข้าคงไม่ส่งเขามาหรอก เจ้าดูสิ กิจการร้านเจ้า ทุกโต๊ะเต็มหมด ด้านนอกยังมีคนต่อแถว ทั้งถนนกุ้งร้านของเจ้ารสเด็ดที่สุด ได้เรียนวิชาจากที่นี่ของพวกเจ้า เป็นบุญชองชิงเอ๋อร์!”

เฉียวเวยคิดในใจว่าเดี๋ยวจะต้องมีคำว่าแต่แน่นอน

แล้วก็เป็นดังคาด ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านแววตาไหววูบหนึ่งแล้วคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “แต่เสี่ยวเฉียว เหยาชิงเขาเป็นพ่อครัวไม่ได้จริงหรือ”

“ไม่ใช่ว่าเป็นไม่ได้ แต่ทุกสิ่งล้วนต้องมีขั้นมีตอน ล้างผัก หั่นผัก ช่วยงานจิปาถะ พ่อครัวคนใดล้วนเคยทำเช่นนี้ เรื่องนี้ก็เหมือนคนฝึกวรยุทธ์ต้องฝึกท่านั่งม้า มันเป็นทักษะพื้นฐานอย่างหนึ่ง พ่อครัวทั้งหลายในห้องครัวเวลาปรุงอาหารก็ไม่ได้ปิดบังเขา เขาอยากดูล้วนดูได้ทั้งหมด หากจะเอาเพียงจดจำขั้นตอน ถ้าเช่นนั้นเขาก็จบการฝึกได้ตลอดเวลา ข้าว่าเอาเช่นนี้ ท่านไปถามความเห็นของเขาเองเลยดีกว่า”

ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านจึงไปถามเหยาชิง เริ่มแรกเหยาชิงก็คิดเหมือนกับสองแม่ลูก เพียงเห็นวิธีการก็คงพอทำได้แล้ว แต่หลายวันที่ผ่านมาเขาค้นพบว่าการจะทำอาหารจานหนึ่งออกมาให้ผู้คนพึงพอใจในรสชาติ แต่ละขั้นตอนจะทำอย่างขอไปทีมิได้ หั่นผักแม้ดูง่ายดาย แต่กลับมีเรื่องที่ต้องรู้มากมาย ตัวอย่างเช่นวิธีหั่นเนื้อวัวกับเนื้อหมูก็ไม่เหมือนกันแล้ว หั่นเนื้อวัวขวางหั่นเนื้อหมู่ตั้ง หากหั่นเนื้อวัวผิด เส้นเอ็นจะยังเหลืออยู่ หลังจากผัดแล้วเนื้อจะเหนียว เคี้ยวไม่ขาด เนื้อหมูก็เช่นกัน หากหั่นผิด จะทำให้ผัดแล้วเนื้อเละ

เมื่อเข้ามาสัมผัสในแวดวงจึงทราบว่าศาสตร์ของมัน ‘ลึกล้ำกว้างขวาง’ เหยาชิงยินดีเรียนรู้ เรียนรู้อย่างเอาจริงเอาจัง

ลูกเขยมีนิสัยเช่นไร ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านรู้ดียิ่งกว่าผู้ใด หัวสูง หยิ่งยโส รักหน้าตา เมื่อได้ยินว่าเขาถูกส่งไปทำงานจิปาถะ นางหวาดกลัวตั้งเท่าใดว่าเขาจะสะบัดแขนเสื้อเดินหนี…ในเมื่อเขายอมกล่าวเช่นนี้ ก็คงจะเรียนรู้อะไรได้จริงๆ

ภรยาหัวหน้าหมู่บ้านพูดถ้อยคำน่าฟังกับเฉียวเวยอีกไม่น้อย มีทั้งคำขอโทษ มีทั้งคำขอบคุณ สุดท้ายนางจึงกินกุ้งหนึ่งชั่งกับบุตรสาวอย่างเบิกบานใจและยืนยันไม่ให้เฉียวเวยออกเงินเลี้ยง

จบเรื่องฝั่งนี้ เฉียวเวยก็เข้าไปห้องบัญชีของตนเอง เถ้าแก่หรงหอบกองสมุดบัญชีตั้งใหญ่ตามหลังเข้ามา

นับตั้งแต่ค้นพบโดยบังเอิญว่าเฉียวเวยมีความสามารถทางบัญชีอันน่าตกตะลึง เถ้าแก่หรงก็แอบเกียจคร้าน ผลักเรื่องคิดคำนวณใส่มือเฉียวเวยทั้งหมด

ได้ควบคุมเงินทุกก้อนของหรงจี้ย่อมเป็นเรื่องที่เฉียวเวยปรารถนายิ่งนัก นางย่อมไม่รังเกียจความลำบาก

เฉียวเวยคำนวณได้น่าตกตะลึง เพียงกวาดสายตาผ่านรายการบัญชีหนึ่งหน้ากระดาษก็มีคำตอบปรากฏขึ้นในสมองโดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องใช้ลูกคิดแม้แต่น้อย แต่เพื่อรอบคอบไว้ก่อน หลังจากคำนวณเสร็จแล้ว นางจะใช้ลูกคิดตรวจสอบความถูกต้องอีกหนึ่งรอบ

นิ้วมือเรียวดีดลูกคิดอย่างว่องไว ลูกคิดส่งเสียงดังป็อกแป็ก ในห้องบัญชีอันเงียบสงัดฟังดูดังกังวาน

เมื่อเฉียวเวยตั้งใจ นางก็เข้าสู่สภาพลืมสรรพสิ่งรอบด้าน แม้แต่ด้านหลังมีคนผู้หนึ่งมายืนอยู่ก็ไม่รู้ตัว

จีหมิงซิวมาได้พักหนึ่งแล้ว เห็นนางคำนวณอย่างจดจ่อจึงไม่กวนนาง

ฤดูคิมหันต์อากาศร้อน หน้าผากกับลำคอของนางมีเม็ดเหงื่อแวววาวซึมออกมา จีหมิงซิวมองรอบด้านก็พบพัดหญิงงาม[1]เล่มหนึ่งอยู่บนตู้ จึงหยิบมาพัดให้นางเบาๆ หลานชายคนโตของตระกูลจีผู้มีคนปรนนิบัติพัดวีตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยใส่ใจผู้ใดเท่านี้มาก่อน

จีหมิงซิวเหลือบมองภาพวาดคนคู่หนึ่งบนพัดอย่างไม่ได้ตั้งใจ สิ่งที่น่าสนใจก็คือฝ่ายที่แสดงความรักอย่างลึกซึ้งอยู่ด้านบนคือฝ่ายหญิง

จีหมิงซิวหลุบสายตาลง มองผู้ชายที่อยู่ด้านล่าง บนใบหน้าชองชายผู้นั้นถูกคนวาดหน้ากากทับลงไป

ประเดี๋ยวก่อน นี่มิใช่หน้ากากของเขาหรือ

แววตาของจีหมิงซิวดำมืด

เขาคว้าพู่กันขึ้นมาวาดใบหน้าของใครบางคนอย่างประณีตบรรจงทับลงบนใบหน้าของคนงามผู้นั้น แล้วจึงวางพู่กันลงอย่างพึงพอใจ

[1] พัดหญิงงาม พัดชนิดหนึ่ง ตัวพัดเป็นรูปกลมรีมีก้านจับหนึ่งก้านติดไว้