ตอนที่ 343 เธอทำอะไรอวี้อิ๋ง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 343 เธอทำอะไรอวี้อิ๋ง

ตอนที่ 343 เธอทำอะไรอวี้อิ๋ง

หลิวจื้อหมิงได้ยินคำพูดของแม่ตนเองแล้วก็รีบวิ่งไปยังร้านขายของชำด้านนอก ซื้อเหล้าชั้นดีมาสองขวดและหยิบเนื้อกระป๋องนำเข้าสองกระป๋อง

เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง แม่และลูกชายก็ไปยังบ้านตระกูลเสิ่น

บ้านตระกูลเสิ่นตอนนี้มีเพียงเสิ่นเถี่ยจวินอยู่ลำพัง เขาเพิ่งต้มบะหมี่หนึ่งชามให้กับตนเอง

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เขาเดินไปเปิดประตู จากนั้นเห็นหลิวจื้อหมิงและแม่ของเขากำลังถือของขวัญมากมายยืนอยู่ด้านหน้าประตู จึงให้พวกเขาเข้ามาด้านในด้วยท่าทางกระตือรือร้น

เมื่อเห็นสิ่งของภายในมือของพวกเขา ปฏิกิริยาแรกของเสิ่นเถี่ยจวินก็คือหลิวจื้อหมิงคงมาที่นี่เพื่อเรื่องหน้าที่การงานของเขา

ความจริงแล้วเสิ่นเถี่ยจวินรู้สึกละอายใจต่อหลิวจื้อหมิงในเรื่องนี้

หลิวจื้อหมิงถูกควบคุมตัว ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเป็นฝีมือของเขา

หลิวจื้อหมิงจงรักภักดีและไม่ซัดทอดถึงเขา ทำให้เขารอดพ้นจากข้อหาทำให้ผู้อื่นเจ็บป่วยสาหัส

หลังจากหลิวจื้อหมิงได้รับการประกันตัวและถูกปล่อยออกมา เดิมทีเขาควรกลับมาเริ่มทำงานในทันทีเพื่อลดความเสียหายของเรื่องราวนี้ให้น้อยลงมากที่สุด

แต่เจียงกั๋วเซิงและเลขาหวังได้ออกหน้าขัดขวาง เนื่องด้วยหลิวจื้อหมิงมีคดีความติดตัว พวกเขาจึงไม่ยินยอมให้หลิวจื้อหมิงกลับมาทำงานภายในโรงงานอีกต่อไป

พวกเขาทั้งสองคนมีท่าทางแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก หากเรื่องราวนี้มีการจัดการประชุมเฉพาะในแกนนำสมาชิก และรองผู้อำนวยการเจียงกับคนอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเหมือนก่อนหน้านี้ การใช้อำนาจเพื่อทำให้หลิวจื้อหมิงกลับมาทำงานนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผู้อำนวยการโรงงานอย่างเขา

แต่เรื่องนี้กลับกลายเป็นประเด็นใหญ่และมีการประชุมแกนนำหลัก ทั้งโรงงานต่างก็รับรู้ ทำให้อำนาจของเขาในฐานะผู้อำนวยการโรงงานไม่อาจทำอะไรได้

กลุ่มผู้นำใช้กฎของโรงงานมาจัดการ ไม่สามารถใช้เส้นสายได้เลย

“พี่สะใภ้ จื้อหมิง นั่งลงก่อน”

หลิวจื้อหมิงสังเกตเห็นบะหมี่บนโต๊ะ เขาเอ่ยถาม “คุณอาเสิ่น คุณยังไม่กินข้าวเหรอครับ?”

เสิ่นเถี่ยจวินกล่าว “เพิ่งกลับมาจากโรงงานแล้วก็เพิ่งจะต้มบะหมี่เสร็จน่ะ”

“งั้นคุณรีบกินเถอะครับ”

เสิ่นเถี่ยจวินกล่าว “ได้ งั้นฉันจะกินไปพลางและพูดคุยกับพวกคุณไปพลาง”

เสิ่นเถี่ยจวินกินบะหมี่ หลิวจื้อหมิงและแม่ของเขานั่งลงด้านข้าง ไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดจากตรงไหน

พวกเขาไม่กล้ารีบร้อนเอ่ยถึงเรื่องการตั้งครรภ์ของเสิ่นอวี้อิ๋ง ทำได้เพียงแค่นั่งลงตามสถานการณ์และรอเขากินบะหมี่เสร็จ จากนั้นค่อยกล่าวถึง

เสิ่นเถี่ยจวินกำลังหิวจริงๆ เขากินบะหมี่หมดชามภายในไม่กี่คำ

“พี่สะใภ้ ผมรู้ว่าพวกคุณมาเพราะเรื่องหน้าที่การงานของจื้อหมิง” เสิ่นเถี่ยจวินแสดงสีหน้าเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “เดิมทีผมจะทำให้จื้อหมิงได้เลื่อนตำแหน่ง ผมเองก็ชื่นชมเขามาก เขาเป็นชายหนุ่มผู้โดดเด่นมาก ทำให้ผมอยากจะฝึกฝนเขาตั้งแต่แรกเริ่ม เพียงแต่ว่า…….”

เขารำพึงรำพันด้วยท่าทางลำบากใจ

จากนั้นก็เห็นแม่ของหลิวจื้อหมิงเอ่ยปากด้วยท่าทางมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก

“ถึงอย่างนั้นผมจะจัดการเรื่องงานของหลี่จื้อหมิงให้ไม่ช้าก็เร็ว รอให้คดีความของสำนักสันติบาลถูกถอดถอนออก การกลับสู่ตำแหน่งก่อนหน้านี้อีกครั้งก็จะไม่ละเมิดกฎของโรงงาน พวกเราอย่าเพิ่งวู่วามและรอคอยอย่างอดทนเถอะ”

แม่ของหลิวจื้อหมิงตอบด้วยรอยยิ้ม “ผู้อำนวยการเสิ่น ขอบคุณที่คุณเป็นกังวลเรื่องงานของจื้อหมิงนะคะ มีคุณอยู่ ฉันไม่กังวลเรื่องงานภายในอนาคตของจื้อหมิงเลยแม้แต่น้อย”

“ใช่ มีผมอยู่ พวกคุณสบายใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์” เสิ่นเถี่ยจวินเอ่ย “แม้ว่าในอนาคตจะกลับไปโรงงานเครื่องจักรไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังมีงานอื่นให้ทำอีก ผู้อาวุโสเสิ่นอย่างผมอยู่ในเมืองไห่เฉิงมานานหลายปีย่อมไม่ไร้น้ำยา ผมพูดเพียงประโยคเดียวก็จัดหางานระดับเดียวกับเมื่อก่อนให้เขาได้อย่างง่ายดายแล้ว”

เสิ่นเถี่ยจวินกล่าวเช่นนี้ ทำให้แม่ของหลิวจื้อหมิงประทับใจเป็นอย่างมากและยิ่งต้องการยืนยันสถานะของลูกชายหล่อนภายในใจของเสิ่นเถี่ยจวิน

“ผู้อำนวยการเสิ่น คุณดูแลหลิวจื้อหมิงของพวกเรามาตลอดหลายปีนี้ พวกเราล้วนจดจำไว้ภายในใจ คุณคือคนที่มาเปลี่ยนชะตาชีวิตของครอบครัวพวกเรา พ่อของจื้อหมิงจากโลกนี้ไปนานแล้ว คุณเป็นเหมือนพ่อในใจของจื้อหมิง เขาเองก็เคยพูดไว้ว่าหากตนเองประสบความสำเร็จในชีวิต เขาจะต้องตอบแทนบุญคุณเป็นอย่างดีแน่นอน เมื่อคุณแก่ชรา เขาจะใช้หัวใจคอยดูแลคุณและอยู่เคียงข้างคุณด้วยความกตัญญู”

คำพูดของแม่หลิวจื้อหมิงประโยคนี้ไม่ว่าจะกล่าวด้วยความเกรงใจหรือกล่าวด้วยใจจริง ล้วนทำให้เสิ่นเถี่ยจวินรู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างมาก

ตอนนี้เขาอยู่เพียงลำพัง เป็นช่วงเวลาที่จิตใจอ่อนแอมากที่สุด พอได้ยินคำพูดอบอุ่นเช่นนี้ ก้นบึ้งหัวใจก็รู้สึกซาบซึ้งไม่น้อย

ลูกชายของเขา ตอนนั้นยังคงนอนอยู่อย่างนั้นและไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นขึ้นมา

อนาคตจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ หากฟื้นขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่สามารถรู้ได้

แพทย์เคยกล่าวว่าแม้จะฟื้นขึ้นมาแล้วก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องมีคนคอยดูแลไปตลอดชีวิต

เซี่ยหลานยืนกรานจะหย่าร้างกับเขา หลายวันมานี้เขาหลบเลี่ยงเซี่ยหลานและอ้างว่าขั้นตอนทางด้านเขานั้นยังไม่พร้อม เช่นนั้นจึงยังไม่สามารถดำเนินการได้และต้องยืดระยะเวลาออกไป

ลูกสาวแม้ว่าจะเป็นลูกทางสายเลือด แต่ไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมานานนับยี่สิบปี อีกทั้งตอนนี้เสิ่นอวี้อิ๋งก็รู้ความจริงของการสลับตัวภายในปีนั้นแล้ว

อนาคตหล่อนจะให้ความจริงใจต่อเขาหรือไม่นั้น เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับหล่อนเลย

ดังนั้นภายในหัวใจของเสิ่นเถี่ยจวินรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก

เขาจำเป็นต้องวางแผนสำหรับอนาคตของเขา

ข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหลิวจื้อหมิงก็คือการเชื่อฟัง

สิ่งนี้สอดคล้องกับความต้องการของเขา

วัยรุ่นบางคนได้ไปโรงเรียนเพียงไม่กี่วันก็กลายเป็นคนหยิ่งผยองไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา มักจะชอบโอ้อวดเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนเก่า

ตอนนี้เขานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้และต้องการคนสนิทที่เชื่อฟังสักคนหนึ่ง

ครั้นหลิวจื้อหมิงล้างชามเสร็จแล้วเดินออกมา แม่ของเขาก็ยิ้มพลางเอ่ยเรียก “จื้อหมิง รีบมานั่งเถอะ ฉันเพิ่งพูดคุยกับอาเสิ่นของแก เมื่อแกประสบความสำเร็จภายในอนาคต แกจะแสดงความกตัญญูและคอยเลี้ยงดูอาเสิ่นของแก เขานั้นมีพระคุณต่อครอบครัวของพวกเรา”

“แม่ ผมจะทำเช่นนั้นครับ” หลิวจื้อหมิงนั่งลงตรงข้ามกับเสิ่นเถี่ยจวินด้วยท่าทางเชื่อฟัง

เสิ่นเถี่ยจวินเห็นท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนของเขา ก็ยิ่งรู้สึกพอใจกับคนที่ตนเองเลือกฝึกฝนมากยิ่งขึ้น

เขาใช้สายตาชื่นชมมองหลิวจื้อหมิงและเอ่ยด้วยความจริงใจ “จื้อหมิง ฉันมองนายไม่ผิดเลย เรื่องงานของนายนั้นอย่าเพิ่งรีบร้อน ฉันจะคิดหาทางอีกครั้ง ถ้าหากว่าไม่ได้ผล ฉันจะส่งนายไปยังโรงงานอื่น นายยังเด็ก เส้นทางอนาคตยังอีกยาวไกล คนหนุ่มสาวอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยเลย ทองแท้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นทองแท้”

หลิวจื้อหมิงเชื่อฟังเป็นอย่างมาก “ครับ ขอบคุณครับอาเสิ่น ผมเชื่อฟังแผนการของคุณครับ”

เสิ่นเถี่ยจวินให้คำมั่นสัญญา หลิวจื้อหมิงเองก็แสดงท่าทางว่ายอมรับแผนการทั้งหมดของเขา ตามหลักเหตุผลแล้ว เมื่อพูดคุยมาถึงตรงนี้ บทสนทนาระหว่างพวกเขานั้นใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลิวจื้อหมิงและแม่ของเขากลับไม่มีท่าทางว่าจะจากไป

ครั้นเห็นว่าขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว เสิ่นเถี่ยจวินก็เห็นท่าทางอึกอักราวกับว่ามีคำพูดที่ยากจะเอื้อนเอ่ยของสองแม่ลูก จึงยิ้มและเอ่ยถาม “จื้อหมิง ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า?”

“คุณอาเสิ่น ขอโทษนะครับ ผมผิดไปแล้ว”

ทันใดนั้นหลิวจื้อหมิงก็รวบรวมความกล้าและลุกขึ้นยืน จากนั้นโค้งคำนับให้กับเสิ่นเถี่ยจวินพลางเอ่ยร้องขอด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ไม่ว่าคุณจะทุบตีหรือก่นด่า ผมจะยอมรับทุกอย่าง ขอเพียงคุณอนุญาตให้ผมแต่งงานกับอวี้อิ๋ง”

“แต่งงานเหรอ? ทำไมจู่ๆ ถึงเอ่ยเรื่องการแต่งงานล่ะ?” เสิ่นเถี่ยจวินมองหลิวจื้อหมิงที่กำลังโค้งคำนับยอมรับผิด เขาหรี่สายตาลงเล็กน้อย สีหน้าเคร่งเครียดพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เธอทำอะไรอวี้อิ๋ง?”

“ผมกับอวี้อิ๋ง…….”

เมื่อเผชิญกับโทสะของเสิ่นเถี่ยจวิน หลิวจื้อหมิงก็ก้มศีรษะลงและแสดงท่าทางยากจะเอื้อนเอ่ย

เขาไม่รู้ว่าหากตนเองเอ่ยเรื่องการตั้งครรภ์ของเสิ่นอวี้อิ๋งออกไปแล้ว ผลลัพธ์นั้นจะเป็นอย่างไร

แม่ของหลิวจื้อหมิงเห็นว่าลูกชายของตนไม่กล้าเอ่ยปาก หล่อนก็ยืนด้านข้างและเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ผู้อำนวยการเสิ่น คุณอย่าเพิ่งโมโหไปนะคะ เรื่องที่เสิ่นอวี้อิ๋งท้องพวกเราเองก็คาดไม่ถึง เด็กสองคนนี้ก็เพียงมือไวใจเร็วไปชั่ววูบ…….”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ผอ.เสิ่นจะทำยังไงต่อไปน้า แบบนี้เรียกว่ากรรมตามสนองได้หรือเปล่า

ไหหม่า(海馬)