บทที่ 359 โรงบ่มไวน์

อู๋ฝานที่หลบออกจากบ้านของตัวเอง เดิมคิดตรงไปที่ร้าน แต่กลางทางกลับได้รับโทรศัพท์จากหวังจื่อหมิง กล่าวว่าเรื่องที่ขอไปครั้งก่อนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว

ชายหนุ่มจึงเลี้ยวรถ มุ่งหน้าตรงไปพบเจอหวังจื่อหมิง ขณะขับรถไปถึง ก็พบว่าอีกฝ่ายมารออยู่ก่อนแล้ว

“พี่หวัง นี่โรงงานที่เคยพูดถึงเหรอครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถามขณะสำรวจมองโรงงานที่อยู่ตรงหน้า

“ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ?” หวังจื่อหมิงตอบกลับ “เข้าไปดูด้านในกันก่อน เจ้าของโรงงานกำลังรอพวกเราอยู่”

“ครับ” อู๋ฝานตอบรับ

คนทั้งสองเดินเข้าไปพร้อมกัน

ที่นี่เป็นโรงบ่ม พื้นที่ก็ไม่ใช่น้อย ๆ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้มีความทะเยอทะยานตั้งแต่ก่อตั้ง แต่ตอนนี้อาจถึงช่วงถดถอยจนทำให้ต้องขายที่แห่งนี้ทิ้ง

ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เฉินปิงเหยารายงานให้อู๋ฝานรู้เรื่องผลกำไรของร้านต่ำกว่าที่คาดเอาไว้ และพบว่าผลกำไรส่วนใหญ่ได้รับมาจากเครื่องดื่มมึนเมา เขาจึงมีความคิดที่จะทำไวน์ของตัวเองขึ้นมา เพราะทำกิจการร้านอาหารอยู่ จึงทราบดีว่าเครื่องดื่มมึนเมานั้นมีกำไรดีเพียงใด

แม้อู๋ฝานจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการซื้อไวน์เข้าร้าน โดยอาศัยอิทธิพลเส้นสายของถังอวี่เฟยหรือหวังจื่อหมิงได้ แต่การทำเช่นนั้นคือการเป็นหนี้น้ำใจผู้อื่น อีกทั้งจำนวนเหล้าไวน์ที่ต้องใช้ก็มีจำนวนค่อนข้างมาก มันจะดีกว่าหากเขาสามารถผลิตไวน์ได้ด้วยตัวเอง อย่างไรตนก็ครอบครองวิชาบ่มไวน์ระดับสูง ไวน์ที่ทำขึ้นย่อมมีรสชาติไม่เลวร้าย กระทั่งว่าอาจได้รับความนิยม เมื่อถึงเวลานั้นไม่เพียงแต่จะใช้ในร้านของตนเอง ทว่ายังสามารถขายให้โลกภายนอกได้ นับเป็นอีกธุรกิจที่สามารถทำเงิน

แต่แค่รู้กลวิธีบ่มไวน์ก็ใช่ว่าจะทำได้ เพราะจำเป็นต้องมีโรงบ่มไวน์ก่อน ดังนั้นเขาจึงขอให้หวังจื่อหมิงช่วยหาโรงบ่มที่คิดขายกิจการ พร้อมทั้งคิดซื้อมาเป็นของตัวเอง และเริ่มทำกิจการบ่มไวน์ขาย

ทว่าเรื่องที่ทำให้อู๋ฝานประหลาดใจอยู่พอสมควร คือการที่หวังจื่อหมิงใช้เวลาไม่นานก็ได้เจอโรงบ่มไวน์ที่ต้องการขายออก พอนึกถึงช่วงที่ต้องหาซื้อทำเลร้านอาหาร เขากลับต้องหาอยู่เป็นเวลานาน จนสุดท้ายต้องอาศัยเส้นสายของหลิวอี้เตาในแวดวงทำอาหารจนหาเจอ แต่หากเทียบเปรียบกับอีกฝ่ายแล้ว ก็ยังได้เห็นว่าเป็นคนละระดับกัน

อิทธิพลของตระกูลหวังและอำนาจในเจียงโจว ไม่ใช่แค่เรื่องโอ้อวดอย่างแน่นอน

“นายจะซื้อโรงบ่มไปทำอะไรเนี่ย? อยากจะบ่มไวน์ขายเองรึไง?” ระหว่างเดินหวังจื่อหมิงถามอู๋ฝาน

ก่อนหน้านี้ตอนที่อู๋ฝานขอให้หวังจื่อหมิงช่วยหาโรงบ่มที่ต้องการขายให้ หวังจื่อหมิงก็ตกลงรับปากโดยไม่ได้ถามรายละเอียดใด ตอนนี้เมื่อได้เจอกัน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยจนเอ่ยถาม

“พี่หวังเดาถูกต้องแล้วครับ ผมกำลังเตรียมบ่มไวน์เป็นของตัวเอง” อู๋ฝานหัวเราะ

เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องซ่อน อีกทั้งกับหวังจื่อหมิงนั้นแทบไม่จำเป็นต้องมีอะไรปิดบัง เพราะอีกฝ่ายคอยช่วยเหลือเขาด้วยดีมาตลอด

“วงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค่อนข้างซบเซานะ ยกเว้นยี่ห้อดัง ยี่ห้ออื่นตอนนี้มีผลกำไรถดถอยกันทุกปี วงการนี้มีการแข่งขันกันสูง ถ้านายเข้าวงการตอนนี้ ฉันคิดว่าอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไหร่” หวังจื่อหมิงตอบกลับ เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอู๋ฝาน เขาจึงไม่อาจมองข้ามและต้องเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “แต่ถ้านายแค่บ่มไวน์ขายในร้านตัวเอง ก็คงไม่มีปัญหาอะไร”

“พี่หวังรู้เรื่องแวดวงการค้าดีขนาดนี้เลยเหรอครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม

“ตระกูลฉันแหวกว่ายในธุรกิจส่วนนี้มานาน แต่เพราะผลกำไรช่วงหลัง ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ ก็เลยต้องขายโรงบ่มไวน์ทั้งหมดและออกจากตลาดไป” หวังจื่อหมิงหัวเราะตอบรับ “ถ้านายบอกฉันเร็วกว่านี้ บางทีอาจจะยกโรงงานของตระกูลให้สักที่หนึ่งก็ยังได้”

อู๋ฝานรู้ดีอยู่แก่ใจว่าต่อให้ตนเองรู้จักกับหวังจื่อหมิงหลายปีก่อนหน้านี้ เขาก็คงไม่อาจขอโรงบ่มจากอีกฝ่ายเป็นของขวัญได้ ไม่ใช่เพราะชายหนุ่มในเวลานั้นเป็นคนเลวร้าย แต่เพราะเขาตอนนั้นยังไม่ได้เกี่ยวข้องกับแหวนวิเศษ ดังนั้นต่อให้รู้จักกับหวังมื่อหมิง ก็คงไม่ได้มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเช่นตอนนี้ กระทั่งโอกาสพบเจอคงแทบไม่มีด้วยซ้ำ

ขณะคนทั้งสองพูดคุย พวกเขาก็มาถึงหน้าสำนักงานของโรงบ่ม ที่ซึ่งชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยกำลังรออยู่ เมื่อเห็นอู๋ฝานและหวังจื่อหมิงปรากฏตัว เขาจึงเข้ามาทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“นายน้อยหวัง เชิญทางนี้ครับ เพราะรู้ว่าคุณจะมา ผมเลยเลื่อนนัดลูกค้าคนอื่นให้รอไปก่อน โดยบอกพวกเขาไปว่าไว้ค่อยพูดคุยอีกทีหลังช่วงกลางวัน” ชายวัยกลางคนเผยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรให้หวังจื่อหมิง

“ไม่เอาน่า ไม่ต้องยกยอฉันขนาดนั้น คุณว่างขนาดนับนกแถวโรงงานได้ด้วยซ้ำไม่ใช่เหรอ จะมีลูกค้าอะไรมาอีกกัน? ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะค้างจ่ายคนงานมาสองเดือนแล้วด้วยรึเปล่า? ยังจะเอาเงินจากที่ไหนไปดื่มอีกล่ะ?” หวังจื่อหมิงเอ่ยขึ้น

หวังจื่อหมิงค่อนข้างออกหน้าแทน เพราะทราบว่าอู๋ฝานมีความคิดต้องการซื้อโรงบ่ม เขาจึงจงใจสาธยายสถานการณ์ของโรงงานแห่งนี้ออกมา

ชายวัยกลางคนที่ได้ยินคำพูดของหวังจื่อหมิง พลันต้องเผยสีหน้ากระดากใจตอบกลับมา “แค่เงินเลี้ยงเครื่องดื่มนายน้อยหวังก็ต้องมีอยู่แล้วสิครับ”

“ที่ยินดีซื้อเครื่องดื่มให้ฉัน เพราะฉันมาที่นี่วันนี้เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาต่างหากมั้ง” หวังจื่อหมิงตอบกลับ

“นายน้อยหวังต้องการซื้อโรงบ่มเหรอครับ?” ชายวัยกลางคนเผยดวงตาทอประกายตอบคำกลับ เขาคิดอยากเชิญหวังจื่อหมิงไปร่วมดื่มด้วยจริง ๆ แต่นั่นก็เพราะต้องการขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย

อิทธิพลของตระกูลหวังในเจียงโจวเป็นเช่นไร ชายวัยกลางคนทราบดี นับตั้งแต่หวังจื่อหมิงมาเยือนที่นี่ด้วยความตั้งใจของตัวเอง รวมกับเรื่องที่พูดขึ้นเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายทราบสถานการณ์ของโรงงานเป็นอย่างดี ดังนั้นชายวัยกลางคนจึงไม่คิดปิดบังความจริงที่ว่าต้องการขายที่นี่

“มีคนอยากซื้อโรงบ่มของคุณ แต่ไม่ใช่ฉัน เป็นเขาต่างหาก” หวังจื่อหมิงชี้ไปทางอู๋ฝานที่ยืนด้านหลังตนเอง

“ขอเรียนถามชื่อได้ไหมครับ?” ชายวัยกลางคนมองอู๋ฝานด้วยความสงสัย แม้ไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่เขาไม่มีทางกล้าดูแคลน มีหรือคนเช่นหวังจื่อหมิงจะพาคนธรรมดาที่ไหนมาด้วยตัวเองถึงขนาดนี้?

“อู๋ฝานครับ” อู๋ฝานตอบกลับ

ชายวัยกลางคนรู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้น ๆ แต่นึกอยู่นานก็ยังนึกไม่ออก

“เถ้าแก่ร้านโลกในแหวน” หวังจื่อหมิงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เอ่ยเสริมขึ้น

ชายวัยกลางคนจึงรู้ได้ทันที เขายื่นมือเข้าไปทักทายอู๋ฝานด้วยท่าทีอบอุ่นเป็นกันเอง “ที่แท้ก็เป็นนายน้อยอู๋ ยินดีที่ได้พบครับ”

ชื่อเสียงของร้านโลกในแหวน ปัจจุบันโด่งดังในแวดวงระดับกลางและระดับสูงในเจียงโจว คนธรรมดาอาจไม่รู้ แต่ผู้มั่งมีในเจียงโจวทราบ โดยเฉพาะบรรดาระดับสูง พวกเขาคุ้นเคยกับสถานที่ดังกล่าวดี และชายวัยกลางคนผู้นี้ก็เช่นกัน

เพื่อขายโรงบ่มแห่งนี้ ก่อนหน้าเขาเคยเชิญคนมากมายมาร่วมทานอาหารที่เจียงโจว บ่อยครั้งยังไปใช้บริการที่ร้านโลกในแหวน ดังนั้นจึงรู้จักสถานที่ดังกล่าว และแน่นอนว่าย่อมไม่พลาดที่จะรู้ว่าเถ้าแก่ของที่นั่นเป็นใคร

“ยินดีที่ได้พบครับ” อู๋ฝานตอบรับ “ผมได้ยินจากพี่หวังว่าคุณต้องการขายที่นี่เหรอครับ?”

“เรื่องนี้…” หลังชายวัยกลางคนรู้ว่าอู๋ฝานต้องการซื้อสถานที่แห่งนี้ เขาจึงอยากโก่งราคาเพื่อหาโชคลาภสักก้อนหนึ่ง อย่างไรคนที่สามารถเปิดร้านใหญ่โตได้ ย่อมเป็นคนมั่งมีอย่างไม่ต้องสงสัย

“อย่าคิดจะขูดรีดอู๋ฝานเชียวล่ะ ไม่งั้นฉันคนนี้จะทำให้โรงบ่มนี่เน่าตายคามือคุณด้วยตัวเองแน่!” หวังจื่อหมิงราวกับเห็นความคิดของอีกฝ่าย ตอนนี้อดไม่ได้จนต้องเอ่ยคำเตือนที่ชัดเจนออกมา