ตอนที่ 338 เทศกาลไหว้บะจ่าง สวนร้อยบุปผาตระกูลหลันครื้นเครงยิ่งนัก (2)
ถ่อมตนทว่าสง่างาม นางดูสดใสและโดดเด่นยิ่งนัก เสมือนดอกไป่เหอบานสะพรั่ง งดงามบริสุทธิ์และสูงสง่า ไม่อาจเอื้อม
เบื้องล่างปูเสื่อเอาไว้ มั่วเชียนเสวี่ยนั่งพิงอยู่ในรถม้าด้วยความเกียจคร้าน รถม้าขับเคลื่อนบนท้องถนน โคลงเคลง ทำให้นางรู้สึกคล้ายตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ตั้งแต่มาถึงโลกประหลาด หรือจะกล่าวว่าตั้งแต่นางมาถึงเมืองหลวง นางเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนั้นเพียงครั้งเดียวทว่าเกิดข้อผิดพลาดขนาดใหญ่
คำเชิญของหลันรั่วเมิ่งในครั้งนี้ ถือเป็นการมาร่วมงานเลี้ยงครั้งที่สอง ไม่รู้ว่าจะมีการนองเลือดใดรอนางอยู่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยเบ้ปากด้วยความเย้ยหยัน ไปเยือนตำหนักจินหลวนเป่านางไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย แล้วการต่อสู้ระหว่างสตรี มีสิ่งใดต้องกลัว!
กลัวก็แต่จะไม่มีเรื่องมากพอ ไม่พอให้นางทำให้ทุกคนตกตะลึง อาศัยโอกาสนี้กำจัดความหยิ่งผยองของคนเหล่านั้น ให้พวกเขาไม่กล้าวางแผนร้ายลับหลังนางอีก
คนที่ติดตามมาร่วมงานในวันนี้กับมั่วเชียนเสวี่ยคือชูอีและสืออู่ งานเลี้ยงของบรรดาคุณหนูและคุณชาย ไม่มีผู้ใดพาหมัวมัวมา ดังนั้นมั่วเหนียงจึงอยู่ที่จวนกั๋วกง
ชูอีและสืออู่นั่งขนาบข้าง เหยียดหลังตรง พร้อมจะทำตามคำสั่งทุกเมื่อ
ลำบากพวกนางแล้ว ทุกครั้งที่ออกนอกเรือน มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นเสมอ
แต่แม้อยากจะพามั่วเหนียงมา มั่วเหนียงก็คงไม่มีวันมา!
เพราะเวลานี้ในจวนกั๋วกงมีสอง ‘พี่น้อง’ คู่นั้นไม่ใช่หรือ ตลอดหลายวันที่่ผ่านมานี้สอง ‘พี่น้อง’ สร้างเรื่องให้นางไม่น้อย
ทุกวันตอนเช้าฟ้ายังไม่สว่าง ก็มารอดูแลรับใช้นางที่หน้าเรือนเชียนเสวี่ย
หากไม่ให้พวกนางเข้ามา พวกนางก็จะร้องห่มร้องไห้ ทำตัวน่าสงสารราวกับกระต่ายน้อยบาดเจ็บ บวกกับพวกนางสองคนแต่งกายเรียบง่ายเลียนแบบมั่วเชียนเสวี่ย ทำให้พวกนางทั้งสองราวกับดอกบัวขาวสองดอกที่บอบช้ำ ยืนบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่หน้าเรือน ไม่ยอมกลับไป
ทางด้านมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้รู้สึกอะไร นางมีความสุขที่มีเรื่องสนุกให้ดู แค่ว่ามั่วเหนียงโมโหเจียนตาย เอาแต่บอกว่าพวกนางสองคนเป็นนางแพศยา อยากจะเลียนแบบคุณหนูใหญ่ เมื่อยามกูเหยียมาอยากจะให้กูเหยียปรายตามองพวกนาง
คนพิสดารเช่นนี้ ตนไม่อยู่ในจวน มั่วเหนียงไม่อาจวางใจ! ต้องให้พวกนางทั้งสองคนอยู่ในสายตาเท่านั้น มั่วเหนียงจึงจะวางใจ
สำหรับเรื่องนี้ มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะ ไม่สนใจว่าพวกนางสองคนจะสร้างเรื่องหรือไม่ เพราะนางไม่ใช่ลูกพลับผลนุ่ม ที่ผู้ใดอยากจะบีบอยากจะรังแกก็ได้ มั่วเชียนเสวี่ยกำลังดูว่าเนื้อแท้ของสตรีตระกูลมั่วจอมเสแสร้งทั้งสองคนนี้ดีหรือไม่ดี
แต่ว่า นางไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของมั่วเหนียงได้
มั่วเชียนเสวี่ยดึงสติกลับมา ชำเลืองมองไปรอบๆ เห็นชูอีและสืออู่เหยียดตัวตรง! ราวกับหอก ภายในใจของมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกขันเล็กน้อย
ด้วยฐานันดรศักดิ์ของนางในตอนนี้ ว่าที่ฮูหยินตระกูลชั้นสูงอันดับหนึ่ง จะมีคนชั่วคนใดกล้าหาเรื่องนางซึ่งหน้า
คิดอีกด้านหนึ่ง รู้สึกว่าสาวใช้จงรักภักดีทั้งสองคนนี้ ยังต้องสั่งสอนอีกเล็กน้อย จึงจะใช้งานได้ดียิ่งขึ้น เพราะถึงอย่างไรแม้พวกนางจะปรนนิบัติรับใช้เสวี่ยเอ๋อร์มานานหลายปี แต่เสวี่ยเอ๋อร์เป็นคนเปราะบางและขวัญอ่อน คาดว่าคงไม่เคยเข้าร่วมงานใหญ่ใดๆ จึงอย่าพูดถึงเรื่องที่ว่าจะพวกนางไปร่วมงาน
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยพูดขึ้นกะทันหัน “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่างานเลี้ยงชมดอกไม้ชมหิมะเหล่านี้ มีความหมายโดยรวมว่าอย่างไร”
ชูอีและสืออู่ได้ยินคุณหนูถามเช่นนี้ พวกนางมองตากันครู่หนึ่ง แววตาของทั้งสองฉายความฉงน สืออู่เป็นคนตรงไปตรงมา เมื่อคิดแล้วไม่เข้าใจนางก็ไม่คิดมาก ถึงอย่างไรก็เข้าใจเหมือนในอดีตที่นางเคยเข้าใจ
“แค่ชมดอกไม้ อ่านกลอน วาดภาพไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่บอกว่านางคิดถูกหรือคิดผิด หันไปมองชูอี
ชูอีเป็นคนฉลาด แต่ความฉลาดของนางอยู่ที่ความปลอดภัยของคุณหนู อยู่ที่เสื้อผ้าและอาหารการกินของคุณหนู สำหรับงานชมดอกไม้เช่นนี้ แม้นางจะเคยได้ยินหมัวมัวพูดขึ้นบ้าง แต่นางไม่เคยมาเข้าร่วมงานมาก่อน
ในสายตาของนางคุณหนูใหญ่ไม่เพียงยิ่งอยู่ยิ่งงดงาม ยิ่งอยู่ยิ่งมีความสง่างามของคุณหนูตระกูลใหญ่ แต่ยังฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก
นางเป็นคนรอบคอบ ด้วยเหตุนี้จึงไม่พูดโอ้อวดพร่ำเพรื่อ ชูอีย่อตัวลงเล็กน้อย ตอบคำถาม “ชูอีไม่แน่ใจเจ้าค่ะ คุณหนูโปรดบอกกล่าว”
คำตอบของนางชัดเจน ไม่แน่ใจเท่าใดนักก็หมายความว่าไม่รู้
มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำตอบ กลับกลายเป็นสาวใช้ทั้งสองคนที่ชะงักเล็กน้อย ความเป็นจริงมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้หัวเราะเยาะสาวใช้ทั้งสองคน แต่นางคิดถึงเรื่องเมื่อชาติก่อน รายการหาคู่ที่ฉายในโทรทัศน์เช่นรายการไม่จริงใจก็อย่ามากวน รายการลองมาเชื่อมโยงความรักเป็นต้น มีรายการเทือกนี้นับไม่ถ้วน!
หลันรั่วเมิ่งส่งเทียบเชิญมาให้นาง หลังจากนางกวาดตาดูเทียบเชิญ อยากจะหัวเราะโดยไม่ส่งเสียง…
เห็นชัดว่านี่คืองานเลี้ยงหาคู่ของสมัยโบราณ!
ชมดอกไม้ ชมบุปผา ล้วนเป็นสิ่งที่สตรีควรทำ แต่ว่าพวกนางกลับเชิญคุณชายทั้งหลายมาเขียนกลอนมาวาดภาพ ความหมายที่ซ่อนไว้ไม่จำเป็นต้องพูดก็เข้าใจได้!
เมื่อชาติก่อน งานเลี้ยงหาคู่เป็นที่นิยมแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าในสมัยโบราณ แม้ชายหญิงโดยมากจะไม่ถือตัวมากนัก แต่ไม่น่าจะมีงานเลี้ยงหาคู่เช่นนี้!
“ไม่เป็นเช่นไร ระมัดระวังให้มากก็พอแล้ว ดูให้มากฟังให้มากและพูดให้น้อย เรื่องทุกอย่างต้องคิดหน้าคิดหลังอย่างมีสติ แม้ภายในงานจะไม่เต็มไปด้วยอันตราย แต่ย่อมไม่สงบอย่างแน่นอน” พูดจบ มั่วเชียนเสวี่ยโบกมือ ก้มหน้าลงเล็กน้อย หลับตาพักผ่อน
งานเลี้ยงวันนี้คืองานเลี้ยงในนามชมดอกไม้ แต่แท้จริงแล้วเป็นการเริ่มต้นสานสัมพันธ์กับสังคมของคนในสมัยโบราณ แน่นอนนางย่อมไม่บอกสาวใช้ทั้งสองคนว่างานเลี้ยงชมดอกไม้นี้คืองานเลี้ยงหาคู่ของตระกูลชั้นสูงที่หนึ่งปีจัดขึ้นเพียงหนึ่งครั้ง เพราะยังมีกุ่ยซาติดตามอยู่ด้านหลัง
เรื่องบางเรื่องรู้ดีแก่ใจก็พอแล้ว เมื่อพูดออกไปจะกลายเป็นเรื่องไม่ดีเอาได้
ไหน้ำส้มสายชูหมื่นปีอยู่ตรงนั้น หากไม่ระวังทำให้น้ำส้มสายชูหกขึ้นมา เกรงว่าจะเปรี้ยวจนทำให้คนตายได้!
ทว่า แม้จะรู้ความหมายของงานชมดอกไม้เป็นอย่างดี แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วมาร่วมงาน ความสัมพันธ์ระหว่างสตรีชั้นสูง สืบเรื่องต่างๆ ของกันและกันอย่างแยบยล เพียงไม่ระมัดระวังตัวเล็กน้อยก็จะเผลอพูดออกมา…เรื่องราวเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องสำคัญ!
ถอยหนึ่งก้าวแล้วพูด ชื่นชมสวดดอกไม้เลื่องชื่อของเทียนฉี จรรโลงจิตใจ ดูบุรุษรูปงามในสมัยโบราณเป็นอาหารตา ก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นเดียวกัน
หากหนิงเซ่าชิงรู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยคิดเช่นนี้ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาต้องบูดบึ้งทันทีอย่างแน่นอน สีหน้าราวกับเทพแห่งความตาย
ครุ่นคิดดูแล้วเขาเป็นถึงหัวหน้าตระกูลชั้นสูง คู่หมั้นต้องอาศัยบารมีของผู้อื่นเพื่อชมสวนดอกไม้อันเลื่องชื่อด้วยหรือ ต้องมาชมบุรุษรูปงามด้วยหรือ เช่นนี้เป็นการทำให้เขาขายหน้าไม่ใช่หรือ
ขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง เห็นได้ชัดว่ามั่วเชียนเสวี่ยก็คิดถึงข้อนี้ เพียงแค่คิดถึงใบหน้าหล่อเหลาของเขาบูดบึ้งด้วยความขุ่นเคือง นางก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุข!
ชูอีและสืออู่สบตากันครู่หนึ่ง เห็นความจนปัญญาฉายออกมาจากดวงตาของกันและกัน
อุปนิสัยของคุณหนูแตกต่างจากเดิมยิ่งนักกล่าวได้ว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ! เมื่อก่อนตอนอยู่ที่ตระกูลเฟิง คุณหนูอยู่ในเรือนตลอดเวลา เมื่อออกนอกเรือน มีครั้งใดบ้างที่ไม่เหมือนกำลังถูกสอบปากคำ
หลังเหยียดตรง นั่งด้วยความสง่างาม ไม่พูดแม้แต่ถ้อยคำเดียว แม้มีความจำเป็นต้องสั่งพวกนางทั้งสองคน ก็ล้วนพูดกระซิบกระซาบ เสียงเบายิ่งนัก จะหัวเราะเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว
———————————————-