ร่างของหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นกระตุกเกร็งเล็กน้อย กลิ่นคาวเลือดจางๆ ในตอนแรกรุนแรงขึ้น เห็นได้ชัดว่านางได้รับบาดเจ็บก่อนที่จะจับเจียงซื่อเป็นตัวประกันเสียอีก ครั้นถูกอวี้จิ่นจับโยนลงพื้นเช่นนี้ บาดแผลนั้นถึงได้ฉีกขาดหนักกว่าเก่า
บริเวณที่รถม้าจอดอยู่คือในตรอกซงจื่อ
ในตรอกนั้นเงียบสงัด นกตัวหนึ่งบนต้นไม้รีบโบยบินหนีไป แต่ด้วยความตกใจจึงทำให้มันบินเฉี่ยวเข้ากับโคมไฟที่ห้อยอยู่ที่ชายคาบ้าน โคมนั้นจึงแกว่งส่ายไปมา
แสงไฟที่ตกกระทบลงบนใบหน้าของหญิงสาวจึงพลอยสะบัดแกว่งไปด้วย จากมืดเป็นสว่าง จากสว่างเป็นมืดโดยฉับพลัน รูปลักษณ์ของนางจึงดูพิลึกเกินบรรยาย
มือเรียวยาวแข็งแรงข้างหนึ่งช้อนร่างสตรีนางนั้นขึ้น เหลิงอิ่งยืนนิ่งมิได้เอื้อนเอ่ยวาจา เพียงแต่เฝ้ารอคำสั่งจากอวี้จิ่นเท่านั้น
ใบหน้าของอวี้จิ่นแข็งกร้าวประหนึ่งใบมีดคมปลาบ แววตาเย็นเยียบราวกับน้ำค้างแข็งก็ไม่ปาน “พานางกลับไป เฝ้าไว้อย่าให้ตาย”
“ขอรับ” เหลิงอิ่งหันหลังกลับไปขณะที่มือยังอุ้มร่างนั้น
หญิงสาวดิ้นพล่าน “ปล่อยข้า เจ้าพวกคนชั่ว กูไหน่ไนไปทำอะไรให้พวกเจ้า พวกเจ้าถึงได้ตามจองล้างจองผลาญข้าถึงเพียงนี้!”
“ปิดปากนางให้สนิทด้วย” อวี้จิ่นเอ่ยเสียงเรียบ
เหลิงอิ่งมิใช่บุรุษที่เลือกปฏิบัติเพียงเพราะเป็นสตรีเพศ จึงยื่นมืออีกข้างไปอุดปากนางไว้ทันที
เสียงด่าสาปส่งของหญิงสาวกลายเป็นเสียงอู้อี้แทบจะทันที เรียกว่านางกำลังตกที่นั่งลำบากก็ย่อมได้
เจียงซื่อเอ่ยปากในที่สุด “ข้าว่าพานางเข้าไปด้านในก่อนจะดีกว่า”
เหลิงอิ่งหันไปมองอวี้จิ่น
อวี้จิ่นลังเลชั่วครู่ ทว่าพยักศีรษะตกลง
เรือนหลังน้อยดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันตา
“ให้นางคอยที่นี่ก่อนแล้วกัน” อวี้จิ่นหันไปออกคำสั่ง แล้วหันไปลากเจียงซื่อเข้าไปในห้อง
แสงไฟสว่างไสว อวี้จิ่นดึงร่างเจียงซื่อมาไว้ในอ้อมแขนพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงพะวง “ข้าบอกว่าจะไปส่งเจ้า เจ้าก็ไม่ยอม หากเมื่อครู่เกิดเรื่องขึ้นจะทำอย่างไร”
ทว่าเจียงซื่อมิได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
บางทีอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของนางที่ทำให้มั่นใจว่า หญิงสาวผู้นั้นไม่มีทางลงมือทำร้ายนาง
ก็แค่สตรีนางหนึ่งที่ร้องขอให้ผู้ที่โดนจี้ช่วยหาที่อยู่ปลอดภัยให้ตนเองเท่านั้น เนื้อแท้ภายในมิได้มีสิ่งในซ่อนเร้น คนประเภทนี้มักจะพบเจอเรื่องเลวร้ายมาไม่มากนักจึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะกล้าลงมือกับผู้บริสุทธิ์
ในจุดนี้เจียงซื่อถึงได้เฝ้าดูสถานการณ์อยู่เงียบๆ
“เจ้าทราบได้อย่างไรว่าเกิดเรื่อง” เจียงซื่อผละออกจากพันธนาการของอวี้จิ่นเพื่อเว้นระยะให้ห่างจากชายหนุ่ม
“แค่ดูรถม้าคันนั้นก็ทราบได้แล้ว”
เจียงซื่อช้อนสายตาขึ้นมองคนตรงหน้า
อวี้จิ่นจึงอธิบายต่อ “ก็ดูจากร่องทางเกวียนก็พอจะกะน้ำหนักคร่าวๆ ได้แล้ว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะประเด็นสำคัญอยู่ที่ท่าทีของเจ้า”
“ท่าทีของข้าทำไมรึ”
อวี้จิ่นยิ้มพลางสัมผัสแผ่วเบาที่ปลายจมูกของนาง “เจ้าหาใช่สตรีขี้อายที่ไหนกัน หากรู้ว่าข้ามาหาก็คงเปิดม่านออกมาด่าให้หนำใจ ไม่มีทางหลบอยู่หลังม่านไม่ยอมพบหน้าข้าเช่นนั้น ในตอนนั้นข้าจึงคิดว่า เป็นไปได้ไหมว่าจะมีชายโฉดแอบอยู่ในรถม้านั่น…”
เจียงซื่อจ้องเขม็ง
อวี้จิ่นปล่อยให้นางจ้องอยู่อย่างนั้นและเอ่ยต่อ “ข้าจึงส่งสัญญาณให้อาเฟยและคนอื่นๆ หาที่จอด ในขณะนั้นคนที่อยู่ด้านนั้นจะถูกดึงความสนใจได้ง่าย ข้าจึงแอบย่องเข้าไปทางประตูด้านหลัง… นึกไม่ถึงว่าแทนที่จะพบชายโฉดกลับกลายเป็นหญิงโฉดเสียได้”
ครั้นว่าถึงตรงนี้ อวี้จิ่นก็ได้แต่ถอนหายใจยาว “อาซื่อ คราวหน้าคราวหลังเจ้าเลิกแต่งตัวเป็นชายเสียเถอะ”
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านเลิกต่อปากต่อคำได้แล้ว” เจียงซื่อเหลือบมองไปที่เขาแวบหนึ่งก่อนจะลูบเบาๆ บริเวณด้านหลังเอว นางยังคงจดจำความรู้สึกเย็นเฉียบของกริชเล่มนั้นได้ดี
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“อาเฟยเป็นคนไปเช่ารถม้านั้นมา ข้าคิดว่าหญิงสาวผู้นั้นคงอาศัยจังหวะที่อาเฟยเผลอลอบเข้ามาข้างใน”
นางลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “ข้าเคยพบนางมาก่อน”
อวี้จิ่นไม่มีท่าทางล้อเล่นอีกต่อไป “หากว่าเช่นนั้นแสดงว่านางหมายตาเจ้าไว้แต่แรก?”
เจียงซื่อส่ายศีรษะ “เปล่า ทันทีที่นางรู้ว่าข้าเป็นสตรี นางก็ตกใจอยู่ไม่น้อย”
“พวกเจ้าเคยพบกันที่ไหนหรือ”
เจียงซื่อเล่าเหตุการณ์ระหว่างทางกลับจากวัดไป๋อวิ๋นให้อวี้จิ่นฟังคร่าวๆ “ความจริงแล้วนางเป็นคนจิตใจดี มิฉะนั้นคงไม่กระโดดลงจากม้าที่กำลังพยศไปช่วยคนเช่นนั้นหรอก”
“เช่นนั้นก็ไปถามให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
อวี้จิ่นเดินไปที่ประตูก่อนส่งสัญญาณให้เหลิงอิ่งพาตัวหญิงสาวเข้ามา
ขณะอยู่ภายใต้อาณัติของเหลิงอิ่ง หญิงสาวไร้ซึ่งแรงต่อต้าน แต่ทว่าท่าทียังคงแข็งกร้าวดื้อดึง นางหันไปสบตากับอวี้จิ่นพลางเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ข้าช่างโชคร้ายที่บังเอิญไปยั่วยุหมาบ้าอย่างพวกเจ้า ใคร่จะฆ่าข้า หรือฉีกทึ้งร่างของข้าก็เชิญตามสบาย”
อวี้จิ่นยกมือข้างหนึ่งขึ้น เหลิงอิ่งจึงปล่อยร่างของหญิงสาวผู้นั้น และหายวับไปยังหน้าประตูอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ไม่มีคนจับร่างของนาง หญิงสาวจึงทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น
เท้าคู่หนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้าของนาง ครั้นนางช้อนสายตาขึ้นไปมองก็พบว่าเป็นใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่งที่ละม้ายคล้ายกับรูปปั้นน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าจะว่าเจ้าบังเอิญเข้าไปอยู่ในรถม้าคู่หมั้นของข้า แล้วยังจงใจปล้นจี้คู่หมั้นข้าอีก มาถึงตอนนี้ยังมาเรียกพวกข้าว่าเป็นหมาบ้า แม่นาง ลอบกัดผู้อื่นเช่นนี้ คนเช่นเจ้ามิใช่หรือที่เป็นหมาบ้า”
ถุย! หญิงสาวสบถพลางถ่มน้ำลายลงพื้น
อวี้จิ่นนั่งลงบนเก้าอี้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ข้าคือเจ้าหน้าที่ตรวจการที่คอยดูแลคดีความ ข้าชักจะสงสัยว่าเจ้าคือคนร้ายคดีฆาตกรรมต่อเนื่องหญิงงามเมืองที่แม่น้ำจินสุ่ยเมื่อเร็วนี้ๆ”
หญิงสาวตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ “ข้าไม่ได้ฆ่าสตรีพวกนั้น! พวกเจ้าเล่นมาสงสัยข้าส่งๆ เช่นนี้ ซ้ำยังให้คนมาตามฆ่าข้าไม่ว่างเว้น ข้าถามหน่อยเถอะ คนที่ถูกฆ่าเป็นเพียงหญิงงามเมืองจริงๆ งั้นหรือ ดูจากการที่พวกเจ้าให้ความสำคัญขนาดนี้ ข้าว่าคงจะเป็นเหนียงเหนียงจากในวังหลวงมากกว่ากระมัง”
อวี้จิ่นหัวเราะเบาๆ พลางเอนหลังพิงพนักอย่างเกียจคร้าน “แม่นาง คนเราไม่อาจโตแต่ตัว แต่ไร้ซึ่งการพัฒนาทางสติปัญญา ด้วยความสามารถระดับเจ้า ข้ามีความจำเป็นใดต้องส่งคนไปตามฆ่าไม่เว้นวันงั้นหรือ เจ้าคิดว่าคนของข้าเป็นพวกไร้น้ำยาหรืออย่างไร”
หญิงสาวชะงักไป นางขมวดคิ้วด้วยความสับสนเต็มประดา “หรือว่าที่แท้พวกเจ้าไม่ใช่คนพวกเดียวกับที่มาไล่ฆ่าข้า”
“พวกข้าไม่ใช่คนที่ตามฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน แต่หากแม่นางยังไม่กล่าวแจ้งแถลงไขว่าเจ้าเป็นใคร เห็นทีข้าคงต้องพาตัวไปยังแผนกตรวจการแล้วกระมัง”
หญิงสาวยื่นมือออกไปกอดเข่า นางเบนสายตาจากอวี้จิ่นไปที่เจียงซื่อ แล้วดวงตาของนางก็พลันเป็นประกาย
คนพวกนี้มิใช่คนที่ตามล่าเอาชีวิตนาง งั้นนางก็ไม่ต้องตายเปล่าๆ แล้วสิ
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่ประสบในช่วงสองสามวันมานี้ หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังตกอยู่ในฝันร้าย อีกทั้งยังเป็นฝันร้ายที่ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุเสียด้วย
“นามของเจ้า?”
“ฉูฉู่” ครั้นหญิงสาวกล่าวจบก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงหันไปจ้องเขม็งใส่อวี้จิ่น
อวี้จิ่นยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจการ มีสิทธิ์ในการจับตัวคนร้าย”
“ข้ามิใช่คนร้าย!”
อวี้จิ่นหัวเราะ “ข้ามีสิทธิ์ในการจับตัวคนที่ข้าสงสัยว่าเป็นคนร้าย เอาล่ะ เจ้าอธิบายมาให้กระจ่าง หากข้าคิดว่าเจ้ามิได้มีทีท่าน่าสงสัย ข้าก็จะปล่อยตัวเจ้าไป”
ฉูฉู่เม้มปาก พยายามข่มกลั้นความโกรธเอาไว้และเล่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
“เรื่องราวเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“วันนั้นข้าไปที่วัดไป๋อวิ๋น น่าจะเป็นช่วงเดือนก่อนวันที่ยี่สิบแปด… ใช่ วันที่ยี่สิบแปด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีคนของจ้องจะเล่นงานข้าตลอดเวลา…”
อวี้จิ่นหันไปมองเจียงซื่ออย่างอดไม่ได้
เจียงซื่อแปลกใจเล็กน้อย
ช่างบังเอิญอะไรเยี่ยงนี้ ที่แท้แล้ววันที่ยี่สิบแปดเดือนแปด แม่นางฉูฉู่โชคร้ายกว่านางเสียอีก เพราะดันไปทำให้คนตามฆ่าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ความคิดแปลกประหลาดแล่นไปมาให้หัวของเจียงซื่อ แม้ยังสรุปหาเหตุผลไม่ได้ แต่ก็มั่นใจว่าหญิงสาวผู้นั้นมิได้โป้ปด จึงบอกไปว่า “ปล่อยตัวนางไปเถอะเจ้าค่ะ”
แน่นอนว่าอวี้จิ่นไม่มีทางหักหน้าเจียงซื่อ จึงส่งสัญญาณเป็นเชิงให้หญิงสาวนางนั้นออกไป
“ทำไมล่ะ” อวี้จิ่นเลิกคิ้วถามอย่างเสียมิได้
ฉูฉู่หันกลับมาและหันไปบอกเจียงซื่อ “ไหนๆ ข้าก็มาแล้ว ให้ข้าหลบอยู่ที่นี่ก่อนจะได้หรือไม่”