ไม่ทันรอให้เจียงซื่อเอ่ยปาก อวี้จิ่นก็ตัดบททันควัน “ไม่ได้!”
ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นพลางมองฉูฉู่ด้วยสายตาหยามเหยียด กล่าวเอ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด “พอเห็นคู่หมั้นข้าใจดีหน่อยถึงได้กล้าเรียกร้องขนาดนี้ ในเมื่อมีคนตามล่าเอาชีวิตเจ้า จะช้าหรือเร็วก็ต้องพบเบาะแสเกี่ยวกับเจ้าเข้าจนได้ แล้วพอถึงเวลานั้นเจ้าคงลากคู่หมั้นข้าเข้าไปเอี่ยวด้วยจริงไหม หากจะพูดอีกนัยหนึ่งคือ ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดไร้เหตุไร้ผลไปเสียหมด ฉะนั้นพวกคนที่ไล่ล่าเจ้าย่อมมีเหตุผลเช่นกัน”
ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้ อวี้จิ่นก็เผยยิ้มเย็นเยียบ “หรือว่าบางทีเจ้าอาจรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่แสร้งทำตัวเป็นเหยื่อเพื่อเรียกร้องความสนใจ”
“ข้าเปล่าแสร้งทำตัวเป็นเหยื่อ คนหนึ่งที่ตามไล่ล่าบอกกับข้าว่า ‘ข้าแอบฟังสิ่งที่ไม่ควรฟัง’ แต่ข้าไม่รู้เลยว่าคนพวกนั้นเป็นใคร แล้วข้าจะรู้อยู่แก่ใจได้อย่างไรกัน…” ความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าของฉูฉู่พลันหายไป นางหัวเราะเยาะกับตัวเองพลางส่ายศีรษะ “ช่างเถอะ ข้าคงขอมากเกินไป เรื่องนี้มิได้เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าตั้งแต่ต้น”
นางค่อยๆ พยุงร่างขึ้น และหันไปทางเจียงซื่อพร้อมดึงมุมปากขึ้นเล็กน้อย “อย่างไรก็ตาม ข้าต้องขออภัยสำหรับเรื่องวันนี้ และต้องขอบคุณที่ช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากปัญหาได้ชั่วคราว”
นางค่อยๆ เดินไปที่ประตูทั้งที่ยังมิได้เอ่ยลา และไม่เหลียวหลังมองอวี้จิ่นเลยสักนิด
เจียงซื่อจ้องมองแผ่นหลังของฉูฉู่ ในชั่วพริบตานั้นนางก็เริ่มเข้าใจความคิดแปลกประหลาดที่แวบเข้ามาให้หัวก่อนหน้านี้ หากสิ่งที่ฉูฉู่พูดเป็นความจริง เป็นไปได้ไหม…เป็นไปได้ไหมว่าชายสองคนที่ไล่ล่าคนที่แอบฟังพวกเขาสนทนาจะจำคนผิด…
สายตาของเจียงซื่อที่มองไปยังฉูฉู่พลันลุ่มลึกขึ้นทันใด
หากข้อสันนิษฐานนี้ไม่ผิดพลาด ตอนนี้ฉูฉู่ก็กำลังเป็นแพะรับบาปแทนนาง?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เจียงซื่อก็ไม่อาจปล่อยให้นางกลับไปโดยไม่ไยดี แต่ทว่าความเมตตาสงสารก็ควรมี…
“ช้าก่อน”
ฉูฉู่ชะงักฝีเท้าและหันหลังกลับมา
“เจ้าหลบอยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อนเถิด”
ทั้งอวี้จิ่นและฉูฉู่ต่างก็ประหลาดใจกันถ้วนหน้า
“อาซื่อ…”
เจียงซื่อเอ่ยเสียงเบา “ข้ามีแผนของข้า ไว้ข้าจะเล่าให้ท่านฟังภายหลังนะ”
การที่สามารถแอบเข้าไปในรถม้าของผู้อื่นและทำการจี้ได้สำเร็จเช่นนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าฉูฉู่มิใช่คนโง่ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบตกลงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “บุญคุณคราวนี้ ข้าจะตอบแทนอย่างแน่นอน”
เจียงซื่อรับคำนั้นโดยมิได้รู้สึกละอายใจเลยแม้แต่น้อย นางเพียงแต่เอ่ยเสียงเรียบ “ตามข้ามา”
เรือนหลังนี้เป็นเรือนสี่ประสานขนาดเล็กที่พบเห็นได้ทั่วไป มีเรือนตรงกลางและเรือนขนาบทั้งสองข้างซ้ายขวา รวมทั้งหมดเป็นสามห้อง ส่วนกลางเป็นห้องสำหรับใช้ต้อนรับแขกผู้มาเยือน เรือนฝั่งตะวันออกถูกจัดแต่งเป็นห้องสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ส่วนเรือนฝั่งตะวันตกถูกใช้เป็นห้องตำรา
เจียงซื่อเดินนำฉูฉู่เข้าไปในเรือนฝั่งตะวันออก
“แม่นางฉูฉู่พักที่นี่ก่อนเถิด ผ้าปูนี้เพิ่งถูกเปลี่ยนใหม่ ยังไม่มีผู้ใดใช้งาน”
ฉูฉู่สงสัยเล็กน้อย “แล้วเจ้า…”
เจียงซื่อเผยยิ้มจางๆ “แน่นอนว่าข้ามิได้อยู่ที่นี่”
ฉูฉู่กล่าวขอบคุณแล้วไปนั่งลงที่ข้างเตียง
เจียงซื่อเดินกลับเข้าไปในห้องโถงกลางเพื่อรินน้ำใส่ถ้วยมาให้ฉูฉู่ “เย็นชืดไปหน่อย แม่นางฉูฉู่ดื่มแก้ขัดไปก่อน เดี๋ยวข้าจะให้คนต้มน้ำอุ่นๆ มาให้”
เมื่อเห็นฉูฉู่กระดกน้ำเย็นชืดในถ้วยรวดเดียวหมด เจียงซื่อจึงเอ่ยถาม “เจ้าบาดเจ็บงั้นหรือ”
ฉูฉู่ชะงักไป มือของนางกำถ้วยใบนั้นไว้แน่นระคนฝืนยิ้มอย่างขมขื่น “ถูกพวกหมาบ้าที่ไหนไม่รู้ไล่ตามอยู่หลายวัน ยังมีชีวิตรอดมาได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว”
เจียงซื่อยังไม่แน่ใจว่าข้อสรุปของตนถูกต้องหรือไม่ จึงยังไม่อาจรับปากเรื่องใดส่งเดชได้ นางจึงทำได้เพียงเอ่ยปลอบใจเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะกลับไปหาอวี้จิ่น
ครั้นจัดการเรื่องของฉูฉู่เรียบร้อยแล้ว อวี้ชีก็กำลังรอคำอธิบายจากนางอยู่พอดี
“เข้าไปเดินเล่นในสวนเถอะ”
ใบไม้ในสวนเริ่มละจากกิ่งก้าน เมื่อสายลมยามค่ำคืนพัดผ่านมา ใบไม้แห้งทั้งหลายก็ปลิดปลิวว้าว่อนไปทั่ว
อาเฟยกำลังต้มน้ำอยู่ในห้องครัว ในขณะที่เหล่าฉินกำลังนั่งยองอยู่ใต้ต้นไม้พลางครุ่นคิดบางอย่าง ส่วนเหลิงอิ่งหายตัวไปแล้วราวกับไม่เคยปรากฏกายในที่แห่งนี้มาก่อน
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อและอวี้จิ่นกำลังเดินตรงมาที่โต๊ะหินใต้ต้นไม้ เหล่าฉินก็ย้ายไปนั่งยองอยู่ที่ริมกำแพง
“เหตุใดเจ้าถึงให้นางอยู่ต่อ” อวี้จิ่นเท้ามือสองข้างลงบนโต๊ะพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้เจียงซื่อ นัยน์ตาสีนิลส่องเป็นประกาย
เจียงซื่อหยิบใบไม้แห้งที่ร่วงอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเล่นไปพลาง รู้สึกว่าหากพูดประโยคเหล่านี้ออกไป อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผลนัก แต่หากต้องเอ่ยต่อหน้าอวี้ชี นางก็มิได้รู้สึกลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ข้าสงสัยว่าพวกคนที่ตามฆ่าแม่นางฉูฉู่กำลังตามล่าคนผิด เพราะจริงๆ แล้วคนที่พวกนั้นต้องการเอาชีวิตคือ…ข้าเอง”
แม้อวี้จิ่นจะอยากหัวเราะออกมาทว่าไร้ซึ่งอารมณ์จึงได้แต่ฟังอยู่เงียบๆ
เจียงซื่อปล่อยให้ผงใบไม้แห้งที่ตนขยี้ด้วยปลายนิ้วเกลื่อนกล่นไปตามสายลม แล้วหันไปถามอวี้จิ่น “ยังจำเรื่องที่ข้าบอกว่าได้ยินคนสองคนคุยกันได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าหนีออกมาได้แล้ว แต่หลังจากนั้นมาคิดได้ว่า วันที่เกิดเหตุมีฝนตก ต่อให้ข้าระวังตัวดีเพียงใดก็ยากที่จะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ หากทั้งคู่มาพบรอยเท้าของข้าเข้าก็คงเดาได้ว่าคนที่แอบฟังเป็นหญิงสาว…”
“คนพวกนั้นเลยไปไล่ตามแม่นางฉูฉู่?” อวี้จิ่นรู้สึกว่าเจียงซื่อคิดมากไปเอง
ในโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนั้นได้อย่างไร
“อาซื่อ เจ้าไม่อาจแบกภาระทุกอย่างไว้กับตัว”
เจียงซื่อถอนหายใจ “แต่วันนั้นแม่นางฉูฉู่ช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งเอาไว้ หากคนพวกนั้นเห็นทักษะฝีมือของนางก็อาจเข้าใจผิดได้ว่านางคือคนที่ลอบฟัง ไม่ว่าจะอย่างไร ให้เมื่อมีความเป็นไปได้เช่นนี้ ข้าก็ไม่อาจเมินเฉยกับความทุกข์ของนางได้หรอก”
ถึงเจียงซื่อมิได้เป็นคนฆ่านาง แต่นางก็จะต้องตายเพราะเจียงซื่ออยู่ดี นางไม่อยากมีบาปติดตัวมากไปกว่านี้
“เอาเถอะ หากเจ้าอยากให้นางอยู่ต่อก็ให้นางอยู่ต่อ ข้าจะไปสืบจากเบาะแสนี้ดูว่า หากพวกคนที่ตามไล่ล่าแม่นางฉูฉู่คือคนที่เจ้าไปแอบฟัง ไม่แน่ว่าข้าอาจได้รู้เหตุผลที่คนพวกนั้นจ้องจะเล่นงานข้าก็เป็นได้”
หลังจากตกลงเรื่องฉูฉู่เรียบร้อยแล้ว เจียงซื่อก็นึกถึงเรื่องที่อวี้จิ่นเคยเอ่ยก่อนหน้านี้ “คณิกาที่แม่น้ำจินสุ่ยถูกฆาตกรรมงั้นหรือ”
ก่อนหน้านี้ที่อวี้จิ่นไม่เคยเล่าเรื่องคดีความให้เจียงซื่อฟังเพราะเกรงว่านางจะตกใจกลัว แต่เมื่อเห็นว่านางออกปากถามเช่นนี้ก็มิได้คิดจะปิดบัง “จนถึงบัดนี้มีคณิกาถูกฆาตกรรมไปสี่คนแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นคณิกาจากเรือลำเล็กทั้งสิ้น มีหนึ่งในนั้นมีปัญหากับอิงอิงซึ่งเป็นคณิกาอันดับหนึ่งของหอเยี่ยนชุน เย็นวันนี้ข้าจึงไปหาอิงอิงเพื่อถามเรื่องนี้”
เจียงซื่อดูประหลาดใจอยู่ไม่น้อย “คณิกาหญิงถูกฆ่าไปสี่คนแล้วมิใช่เรื่องเล็กๆ เลย ตอนที่ข้าพบแม่เล้าเย็นวันนี้ นางก็มิได้ดูมีท่าทีผิดปกติแต่อย่างใด”
อวี้จิ่นหัวเราะเยาะ “แน่นอนว่าพวกนางไม่ต้องการให้เรื่องบานปลายใหญ่โต คดีลอบวางเพลิงเมื่อไม่นานมานี้ยังไม่ทันคลี่คลาย หากเรื่องที่คณิกาถูกฆาตกรรมแดงขึ้นมาอีก คงไม่มีผู้ใดกล้ามาสังสรรค์ในที่แบบนั้นเป็นแน่”
ชีวิตด้อยค่าไม่ต่างจากใบหญ้า ครั้นเหล่าหญิงงามเมืองที่ริมฝั่งแม่น้ำจินสุ่ยเสียชีวิตลงก็ถือว่าเป็นจุดจบ ร่างของพวกนางจะถูกมัดถ่วงไว้กับก้อนหินก่อนจะถูกโยนทิ้งน้ำ ไร้แม้แต่เสื่อสาดเก่าๆ ห่อหุ้มกาย
แต่เนื่องจากคดีลอบวางเพลิงบนนาวาใหญ่ยังคงคาราคาซัง เสนาบดีตระกูลหยางจึงคอยจับตาดูความเป็นไปริมฝั่งแม่น้ำอยู่ไม่ห่าง ครั้นเห็นว่ามีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นก็ร้อนถึงเจินซื่อเฉิงทันที เป็นเหตุให้อวี้จิ่นต้องไปลาดตระเวนอยู่ที่แม่น้ำจิ่นสุ่ยในช่วงเวลากลางคืน
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ให้ข้าไปส่งเจ้าเถอะ ช่วงนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งมาที่นี่ ภัยร้ายจะได้มาไม่ถึงตัว ส่วนแม่นางฉูฉู่นั่น ข้าจะสั่งให้คนมาเฝ้าเอง”
“เช่นนั้นข้าจะสั่งงานอาเฟยไว้ด้วยแล้วกัน”
เป็นไปได้ว่าคนที่ไถ่ตัวอวี่เอ๋อร์อาจเป็นพวกอันธพาลข้างถนน อาเฟยอาจจะพอรู้เบาะแสบางอย่าง แม้ว่าเจียงซื่อจะไหว้วานให้อวี้จิ่นไปสืบเรื่องนี้แล้ว แต่นางก็ไม่อาจปล่อยข้อสันนิษฐานที่แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็ตามให้หลุดมือไป
เมื่ออวี้จิ่นไปส่งเจียงซื่อและกลับมาถึงจวนอ๋องแล้วก็พบว่าหลงต้านกลับมาถึงก่อนเขาเสียอีก
“ไฉนเจ้าถึงกลับมาเร็วนัก” อวี้จิ่นขมวดคิ้ว
จากที่เขารู้ หลงต้านควรกลับมารายงานตอนเช้าของอีกวันมิใช่หรือ
สีหน้าของหลงต้านแปลกพิกล “นายท่านขอรับ ข้าน้อยพบคณิกานางหนึ่ง…”
“อืม” อวี้จิ่นฟังโดยมิได้แสดงสีหน้าใดๆ
ใบหน้าของหลงต้านพิลึกพิลั่นยิ่งกว่าเก่า “นายท่าน คณิกานางนั้นดู…ละม้ายคล้ายกับคุณหนูเจียงเลยขอรับ…”
สีหน้าของอวี้จิ่นพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ “เป็นนาวาของที่ไหนกัน”