บทที่ 270 เหยาซูมาเมืองหลวง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 270 เหยาซูมาเมืองหลวง
บทที่ 270 เหยาซูมาเมืองหลวง

จดหมายของเหยาซูยังไม่ทันถึงมือของหลินเหรา เจ้าตัวก็มาถึงที่หมายเสียก่อน

นางไม่ใช่คนประเภทบ้าบิ่นกระทำการใดโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา น้อยนักที่มีช่วงเวลาบุ่มบ่าม

เพียงแต่สองสามวันนี้ได้เกิดเรื่องราวมากมาย จิตใจของนางจึงฟุ้งซ่าน ซึ่งความจริงแล้วคือเป็นห่วงสามีและลูกชายที่อยู่แดนไกล

โชคดีที่กิจการในอำเภอถูกจัดการไปเรียบร้อยพอสมควรแล้ว

วันที่สองหลังจากที่เหยาซูส่งจดหมายออกไป นางก็รวบรวมเงินทองและของมีค่า ก่อนจะพาลูกทั้งสองคนจ้างรถม้าหนึ่งคัน บังคับตรงไปยังเมืองหลวงในทันที

ยามถึงเมืองหลวง นางเพิ่งพบว่าตัวเองบุ่มบ่ามเกินไป…

อาซือไม่คิดถึงเรื่องนี้ ทิวทัศน์ที่แตกต่างกันระหว่างทางทำให้นางตื่นเต้นไปหลายวัน

หลังจากรถม้าขับเคลื่อนมาถึงเมืองหลวง กำแพงสูงใหญ่ ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ ล้วนทำให้อาซือตื่นเต้นอย่างมาก

ดวงตาเล็กคู่นั้นเปล่งประกายทอแสง จากนั้นก็มองเหยาซูและพูดว่า “ท่านแม่เจ้าคะ! เรามาถึงเมืองหลวงแล้ว!”

เหยาซูยิ้มบางพลางลูบศีรษะของเด็กสาวอย่างเบามือ และตอบรับด้วยเสียงเบาว่า “อื้อ มาถึงเมืองหลวงแล้ว”

ซานเป่าอยู่ในวัยที่กำลังเรียนรู้ สองสามวันที่ถูกขังในรถม้า เขาคลานเล่นไปมาจนเบื่อ

เขาถูกเหยาซูอุ้มอยู่ในอ้อมกอด เด็กน้อยส่งเสียงอ้อแอ้ไม่หยุด เพราะอยากลงไปเล่น

เหยาซูพูดปลอบใจว่า “พอได้แล้ว ซานเป่า รอให้เราถึงที่หมายก่อน แม่จะให้ซานเป่าเล่นอย่างมีความสุข ดีหรือไม่? ตอนนี้เชื่อฟังสักหน่อยเถิด”

รถม้าขับเคลื่อนต่อไปอย่างเชื่องช้า รอแค่เพียงกลุ่มคนตรงหน้าเข้าแถวตรงไปยังประตูเมือง

อาซือเปิดผ้าม่านและมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างมีความสุขและเบิกบานใจ จากนั้นก็ซักถามเหยาซูอย่างต่อเนื่อง “ท่านแม่ อีกประเดี๋ยวเราจะไปหาท่านพ่อและท่านพี่เลยใช่หรือไม่เจ้าคะ? จดหมายที่ข้าเขียนให้ท่านพี่ เขาได้รับมันแล้วหรือยังเจ้าคะ? คนอื่นที่อยู่ด้านหน้าต่างพากันลงจากรถม้ากันแล้ว เราต้องลงเลยหรือไม่เจ้าคะ?”

เพราะท่าทางตื่นเต้นของนาง ในใจของเหยาซูจึงค่อย ๆ ผ่อนคลาย

นางยิ้มและตอบคำถามของอาซือทีละคำถาม “ส่งจดหมายไปเมืองหลวงย่อมต้องใช้เวลา ทั้งยังใช้เวลาสิ้นเปลืองมากกว่าที่เราเดินทางเสียอีก เกรงว่าพ่อและพี่ของเจ้าคงยังไม่ได้รับจดหมาย เราหาที่พักเสียก่อนแล้วค่อยนัดหมายกับพวกเขา”

อาซือเงยหน้าขึ้น และถามว่า “เช่นนั้นเราจะพักกันที่ไหนหรือเจ้าคะ?”

เหยาซูพูดอย่างอ่อนโยน “พักในโรงเตี๊ยมกันก่อน เราไปเก็บของให้เรียบร้อย แล้วค่อยไปหาพวกเขากัน”

ตอนนี้หลินเหราและเหยาเฉายังอยู่ในจวนเซี่ย เหยาซูไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า และไม่อยากพาเด็ก ๆ ไปหาโดยที่ยังไม่พร้อม จึงทำได้แค่หาที่พัก

อาซือไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติแต่อย่างใด ตอบแค่ “อื้อ” พยางค์เดียว ก่อนจะฮัมเพลงพลางเหม่อมองออกไปนอกรถม้าต่อไป

…..

เมื่อเหยาซูจัดหาที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็พาเด็กทั้งสองไปยังจวนเซี่ย

จวนเซี่ยมีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองหลวง เหยาซูซักถามเอาข้อมูลมาได้อย่างง่ายดาย

โชคดีที่โรงเตี๊ยมที่นางเลือกอยู่ห่างจากจวนไม่ไกลนัก เดินมาไม่นานก็ถึง

อาซือมองขวาแลซ้ายด้วยความอยากรู้อยากเห็นไปตลอดทาง และตามเหยาซูอย่างเชื่อฟัง ไม่ทำให้ผู้ใหญ่เป็นห่วง

ซานเป่าอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่และเชื่อฟังเป็นอย่างมาก

ครั้นถึงหน้าประตูจวนเซี่ย เหยาซูก็แสดงสถานะต่อคนเฝ้าประตู

เด็กรับใช้เห็นรูปโฉมของนาง กอปรกับกลิ่นอายที่ดูโดดเด่น แม้ว่าจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา แต่กลับมีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดายิ่งกว่าหญิงสาวที่แต่งกายด้วยผ้าไหมผ้าแพรเหล่านั้นมากโข กระทั่งดูรอบคอบมากอีกด้วย

คนเฝ้าประตูเดินเข้ามารายงานภายในจวน ไม่นานก็มีเสียงเคลื่อนไหวออกมาจากในจวน

พ่อบ้านเซี่ยหมิงรุดหน้าเข้ามาต้อนรับ เอ่ยถามด้วยสีหน้าแปลกใจ “ฮูหยินหลิน? เดินทางไกลคงจะลำบากแย่ ท่านเข้าเมืองมาวันนี้หรือขอรับ? เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินคุณชายหลินเอ่ยถึงมาก่อน?”

เหยาซูยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ได้บอกเจ้าของบ้านว่าจะมารบกวน ข้าเสียมารยาทเอง”

นางมีท่าทางอ่อนโยน รูปโฉมไม่ธรรมดา ดวงตาเรียวดุจดอกท้อคู่นั้นเหมือนกันเหยาเฉาไม่มีผิด ครั้งแรกที่เห็นเซี่ยหมิงก็จำสถานะของเหยาซูได้ในทันที

หลินเหราเป็นหลานชายแท้ ๆ ของเซี่ยเชียน และเป็นสายเลือดที่หลงเหลืออยู่ของตระกูลเซี่ย แม้ว่าจะต่างกันแต่เซี่ยเชียนก็ปกป้องในฐานะคนของตระกูลเซี่ยอย่างชัดเจน มิเช่นนั้นไม่มีทางให้พวกเขาอยู่ในจวนมาตลอดเช่นนี้

ภรรยาของหลินเหรา ก็คือเจ้านายของตระกูลเซี่ย

เซี่ยหมิงรีบพูดว่า “ที่ไหนกันละขอรับ ฮูหยินก็เกรงใจเกินไป เชิญตามข้าน้อยมาพักผ่อนในห้องโถงด้านหน้าก่อน ข้าน้อยเป็นพ่อบ้านของตระกูลเซี่ย ฮูหยินเรียกข้าว่าเซี่ยหมิงก็ได้ขอรับ”

เหยาซูไม่ได้แสดงท่าทีเกรงใจนัก คิดว่าลูก ๆ ก็คงเหนื่อยกันมากแล้ว จึงตามเซี่ยหมิงเข้าไปในจวน

ยามเดินผ่านศาลาพักผ่อนแห่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายขานเรียนด้วยความตื่นเต้น “ท่านแม่!”

เหยาซูอุ้มซานเป่าหันกลับไป กระทั่งเห็นอาจื้อที่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยหมึกดำ จากนั้นก็วิ่งมาหานางด้วยความตื่นเต้นดีใจ

เด็กหนุ่มวิ่งไปพลางตะโกนด้วยความเหนื่อยหอบไปพลาง “ท่านแม่! เอ้อเป่า! ซานเป่า!”

อาซือได้ยินเสียงของพี่ชาย จึงฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ครั้นเห็นอาจื้อวิ่งมาทางนี้ จึงรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันทีเช่นกัน

เหยาซูยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าที่ดูงดงามและละเอียดอ่อนได้แสดงความอ่อนโยน แต่เนื่องจากกลัวว่าเด็กทั้งสองคนจะสะดุดหกล้มจึงรีบตะโกนไปทางพวกเขา “วิ่งช้าลงหน่อย! หยุดเดี๋ยวนี้ ๆ!”

นางยังคงอุ้มเด็กทารกที่พูดไม่ได้อยู่ในอ้อมกอด เมื่อเห็นเด็กทั้งสองคน ร่างทั้งร่างก็เริ่มอ่อนแรงลง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความกังวลที่มีต่ออาจื้อและอาซือ

เซี่ยหมิงมองไปทางเหยาซู ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ภายใน ‘ถ้าจวนเซี่ยมีนายหญิงที่อ่อนโยนเช่นนี้อยู่ คลอดเด็ก ๆ สักสองสามคนให้แก่นายท่าน ในจวนคงจะไม่เงียบสงัดเช่นนี้กระมัง?’

อาจื้อและอาซือสองพี่น้องวิ่งเข้ามากอดกัน หลังจากเจอกันได้ไม่นาน ก็พากันพูดคุยเจื้อยแจ้ว

“เอ้อเป่า พวกเจ้ามาได้อย่างไร? มาถึงตั้งแต่เมื่อใด? รู้อย่างนี้ ข้ากับท่านพ่อไปรับพวกเจ้าดีกว่า!”

อาซือยิ้มพลางกอดอาจื้อตอบ ก่อนจะพูดด้วยความดีใจว่า “ท่านแม่บอกว่า อยากมาสร้างความประหลาดใจให้พวกเจ้า! ท่านพ่อล่ะ? ท่านลุงล่ะ?”

“พวกเขาออกไปข้างนอก! เอ้อเป่า ข้าเตรียมของดีอย่างหนึ่งให้เจ้าด้วย…”

ทั้งสองคนเดินคุยกัน กระทั่งมาถึงข้างกายของเหยาซู อาจื้อเงยหน้าขึ้นพลางฉีกยิ้ม

“ท่านแม่! คาดไม่ถึงว่าพวกท่านจะมาตอนนี้!”

เหยาซูยิ้มตาหยี “ทำไม มาตอนนี้ อาจื้อไม่ดีใจหรือ?”

อาจื้อกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ดีใจ ดีใจ ดีใจที่สุดเลย!”

เซี่ยหมิงยืนอยู่ด้านข้าง มองภาพสี่คนแม่ลูกมารวมตัวกัน ในใจก็อดผ่อนคลายลงไม่ได้

เขายิ้มพลางพูดกับอาจื้อว่า “นายน้อย ฮูหยินเดินทางมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย ไปคุยกันในห้องโถงด้านหน้ากันเถอะ”

เมื่อทุกคนไปห้องโถงด้านหน้าแล้ว ฝูหยาก็ยกน้ำชาและขนมเข้ามา เซี่ยหมิงพูดด้วยความละอายใจ “วันนี้นายท่านเซี่ยไม่อยู่ในจวน คุณชายหลินและคุณชายเหยาก็ออกไปข้างนอก ในบ้านไม่มีเจ้านาย แต่ยังเชิญฮูหยินเข้ามานั่ง ช่างเสียมารยาทยิ่งนักขอรับ”

เหยาซูยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญเอง”

เซี่ยหมิงยังยืนกรานที่จะไม่นั่ง ทำได้แค่ยืนคุยกับเหยาซูครู่หนึ่ง รู้ว่านางพาเด็ก ๆ มาพักที่โรงเตี๊ยม จึงพูดขึ้นว่า “ฮูหยินพักที่โรงเตี๊ยมหลังไหนหรือขอรับ? ข้าน้อยจะส่งคนไปเก็บข้าวของเครื่องใช้ เชิญฮูหยินมาพักในจวนเซี่ยแทน”

เหยาซูส่ายหน้า “ข้าพาเด็ก ๆ มาด้วย ไม่อยากรบกวนจวนของท่าน สองสามวันนี้ตั้งใจจะพักอยู่ในโรงเตี๊ยมก่อน รอหาบ้านได้ค่อยย้ายเข้าไป”

เซี่ยหมิงพูดโน้มน้าวต่อ “เหตุใดฮูหยินถึงเกรงใจเช่นนี้? ท่านพาเด็ก ๆ มาด้วย ไปอยู่ในโรงเตี๊ยมเกรงว่าจะไม่สะดวกนะขอรับ”

อาจื้อไม่อยากให้ท่านแม่และน้อง ๆ ต้องไปอยู่ข้างนอก จึงเบิกตากว้างแสดงสีหน้าเศร้าหมอง “ท่านแม่ จวนของท่านปู่เซี่ยก็ใหญ่โตเพียงนี้ ลานบ้านของเราก็พักได้ขอรับ”

เหยาซูยังคงไม่ตอบสนอง อาจื้อดึงแขนเสื้อของนาง พลางกวัดแกว่งไปมาอย่างเบามือ “ท่านแม่ อยู่เถอะ อยู่เถอะนะขอรับ”

ฝูหยายืนรับใช้อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นท่าทางของอาจื้อ นัยน์ตาจึงอดยิ้มไม่ได้

ในวันปกติแม้ว่านายน้อยจะไม่ได้ตีตัวออกห่างเหมือนกับคุณชายหลิน แต่ก็ยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สุขุมและรู้ความ นางไม่เคยเห็นนายน้อยอยู่ในท่าทีออดอ้อนเช่นนี้มาก่อน

ในหน้าของเหยาซูแสดงสีหน้าอย่างจนปัญญา “อาจื้อ นี่คือจวนของท่านปู่เซี่ย”

เจตนารมณ์ของนางคืออยากจะเตือนอาจื้อ พวกเขาเป็นแขก ไม่ควรทำตามอำเภอใจ

ในใจของเซี่ยหมิงเข้าใจดี จึงยิ้มและพูดว่า “ทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน ไฉนถึงต้องแยกแยะว่าจวนเซี่ยไม่ใช่จวนเซี่ยด้วยละขอรับ? แม้ว่านายท่านจะไม่อยู่จวนในวันนี้ ถ้าเขากลับมา จะต้องออกคำสั่งให้ข้าน้อยรั้งฮูหยินให้อยู่ที่นี่แน่นอน”

อาจื้อออดอ้อนเช่นกัน “ใช่ที่สุด ท่านปู่เซี่ยต้องไม่ให้ท่านแม่ น้องชาย และน้องสาวต้องไปอยู่ข้างนอกอย่างแน่นอน อีกอย่างวันนี้ท่านพ่อก็ไปดูบ้านแล้ว รอให้เขาตัดสินใจเรื่องที่อยู่อาศัยของเราได้ ก็ไม่ต้องรบกวนจวนเซี่ยแล้วขอรับ!”

เหยาซูยิ้ม “วันนี้พ่อเจ้าไปดูบ้านแล้วหรือ?”

อาจื้อพยักหน้า “สองสามวันนี้ท่านพ่อออกไปหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมในเมืองตลอดเลย เช้าตรู่วันนี้ก็ถูกเรียกตัวไปแล้ว”

เซี่ยหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มองอาจื้อแวบหนึ่ง กำลังจะอ้าปากเปลี่ยนหัวข้อ

กระทั่งได้ยินเหยาซูถามออกไปว่า “เขาถูกใครเรียกตัวไปหรือ?“

เรื่องนี้เซี่ยหมิงไม่มีโอกาสตัดบทเลยแม้แต่น้อย เพราะอาจื้อตอบอย่างละเอียด “ก็แม่นางตู้ที่เคยไปบ้านเราในคราวที่แล้วอย่างไรละขอรับ!”

จอกน้ำชาที่อยู่ในมือของเหยาซูหยุดชะงักลง น้ำชาที่ยังร้อนระอุ ได้ลวกหลังมือที่ขาวเนียนของนางทันที ส่งผลให้เป็นรอยแดงเถือกขึ้นฉับพลัน

ฝูหยาขานเรียกเบา ๆ “ฮูหยิน”

นางรุดหน้าขึ้นหลายก้าว ใช้ผ้าที่ชุบน้ำแล้วมาประคบหลังมือของเหยาซู สัมผัสความเย็น ทำให้สติของเหยาซูถูกดึงกลับมาในที่สุด

เหยาซูส่งยิ้มให้ฝูหยา และพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร แค่มือสั่นเท่านั้น ขอบใจแม่นางมาก”

ฝูหยายิ้มบางเบา “ฮูหยินเกรงใจเกินไปเจ้าค่ะ”

นางจัดการบาดแผลบนหลังมืออย่างง่าย ๆ ให้กับเหยาซู จากนั้นก็ถอยหลังไปอย่างเงียบ ๆ

มารู้ตัวอีกทีอาจื้อก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านอารมณ์ของเหยาซูแล้ว

เห็นได้ชัดว่าแม้ท่านแม่ยังคงยิ้ม แต่นัยน์ตาที่อ่อนโยนและอบอุ่นคู่นั้น มีแววตาที่เขาเองก็ไม่เข้าใจอยู่ไม่น้อย…

………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

มาเมืองหลวงกะจะมาเซอร์ไพรส์สามีสักหน่อย แต่มารู้ว่าสามีไปไหนมาไหนกับมือที่สาม เป็นใครใครก็ฉุนค่ะ

หากพี่เหรากลับมาแล้วก็เตรียมคำอธิบายกับอาซูไว้ให้ดี ๆ นะคะ ฮึ่ม

ไหหม่า(海馬)