ฮูหยินเหลียงลุกขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อ ท่านอ๋องกับพระชายามาถึงแล้ว”
หยวนชิงหลิงได้ยิน ก็รู้สึกตกใจ ผู้เฒ่าที่หาบปุ๋ยคอกคนนั้นคือเซียวเหยากงหรือ
นางรีบลุกขึ้น ย่อตัวพูดว่า “คำนับท่านผู้เฒ่า ”
เซียวเหยากงมองนาง คิ้วดกดำเลิกขึ้น หัวเราะฮึฮึ “ท่านเป็นพระชายา มาคำนับข้า นี่ไม่เหมาะสม นั่งลงเถอะ”
หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวว่า “ท่านเป็นผู้อาวุโส ย่อมต้องเป็นข้าที่ต้องคำนับ”นับอะไรกับแค่ฐานะพระชายา แม้ฐานะจะสูงศักดิ์ แต่ถ้านับตามกำลังความสามารถ คนอื่นยังห่างไกลจากนางอีกหลายชั้น ต่อหน้าจิ้งจอกเฒ่าเหล่านี้ จะเสียมารยาทไม่ได้
“เจ้าเป็นหญิงที่รู้จักวางตัวจริงๆ ”เซียวเหยากงเอ่ยอย่างชื่นชม สายตาไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของหยู่เหวินเห้า ยิ้มอย่างหยอกล้อ “เจ้าหนุ่ม ไม่เจอกันนาน ยังกลัวว่าข้าจะดีดกะโหลกอีกหรือ”
หยู่เหวินเห้าใบหน้าซึมกะทือ “ท่านเป็นผู้อาวุโสก็ควรทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลัง อย่าทำตัวไม่น่านับถือให้เป็นที่หัวเราะได้”
เซียวเหยากงนั่งลง เท้าเปล่าสองข้างวางไว้บนเก้าอี้เล็ก เท้าดำปี๋เต็มไปด้วยโคลน ราวกับชาวนาที่ทำนาก็ไม่ปาน “ว่าถึงเรื่องทำตัวไม่น่านับถือ ไท่ซ่างหวงเองก็แบกรับหน้าที่ทุกอย่างไม่เคยลังเล เจ้าไปพูดกับเสด็จปู่ของเจ้าก่อนเถอะ”
หยู่เหวินเห้าไม่กล้า
แม้ว่าอยากจะพูดมาตลอด ก็เพราะเสด็จปู่ให้ท้ายตาเฒ่าคนนี้เสียมารยาทอยู่เสมอมา
ที่จริงหยวนชิงหลิงอยากจะคุยเป็นการส่วนตัวกับเซียวเหยากง แต่ว่านางมองไม่เห็นโอกาสนั้นเลย อีกทั้งความสนใจทั้งหมดของเซียวเหยากงก็อยู่ที่ตัวหยู่เหวินเห้า
พูดคุยกันสักพัก เซียวเหยากงก็ลุกขึ้น “เจ้าห้า ไปที่ห้องหนังสือกับข้า”
หยู่เหวินเห้านิ่ง แต่ก็ยอมลุกขึ้นอย่างช้าๆ เดินตามเขาออกไป
หยวนชิงหลิงมองเขาราวกับกำลังไปที่ลานประหารก็รู้สึกขำ เซียวเหยากงคนนี้ช่างเป็นกันเองจริงๆ ทำไมจึงต้องกลัวเขาด้วย
เซียวเหยากงกับหยู่เหวินเห้าเข้าไปพูดคุยกันเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปแล้วก็ออกมา หลังจากออกมา หยู่เหวินเห้าก็บอกว่าจะไปทำธุระ ลากตัวหยวนชิงหลิงไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ง่ายเลยที่หยวนชิงหลิงจะได้ออกมาเยี่ยมสักครั้ง ยังไม่ได้ถามเรื่องที่อยากถามก็ต้องกลับแล้ว รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
แต่ว่า เซียวเหยากงกลับมองมาที่นางและพูดว่า “อีกสองวันข้าจะเข้าวังไปน้อมทักทายไท่ซ่างหวงเสียหน่อย พระชายาหากมีเวลาว่าง ก็ไปด้วยกันสิ”
หยวนชิงหลิงรีบบอกว่า “ได้ ได้ ข้าว่างพอดี ”
พูดจบ จึงเดินออกไปกับหยู่เหวินเห้าอย่างสบายใจ
ขึ้นรถม้าแล้ว หยู่เหวินเห้าเอาแต่นึ่งขรึม สีหน้าหนักอึ้ง
หยวนชิงหลิงถามว่า “อะไรคือเคาะกะโหลก ”
หยู่เหวินเห้ามองนางแวบหนึ่ง “ก็เขกหน้าผากไง เมื่อก่อนเขาชอบดีดหน้าผากข้าที่สุดเลย ”
“อ๋อ เขาแข็งแรงปานนั้น ลงมือน่าจะหนักทีเดียว”หยวนชิงหลิงมองเขาที่ยังคงดูหนักอึ้ง จึงถามขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
หยู่เหวินเห้าเอ่ยเบาๆว่า “คนที่จ้างคนมาลอบสังหารข้า เซียวเหยากงหาตัวพบแล้ว”
“หาเจอแล้ว ทำไมไม่ส่งให้ทางการจัดการแต่กลับมาบอกกับท่านเล่า หรือไม่ก็รายงานฮ่องเต้โดยตรงก็ได้ ”หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“เขาได้ถวายรายงานแล้ว แต่ว่าเสด็จพ่อไม่ได้มีพระบัญชาอะไร ”หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วแน่น “แม้แต่ เรียกเขาเข้าไปสอบถามก็ไม่มี ”
“เป็นอ๋องจี้ใช่หรือไม่ ”
“อืม ”หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “เป็นเขา ข้ารู้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีหลักฐาน ตอนนี้เซียวเหยากงหาหลักฐานได้แล้ว เสด็จพ่อกลับไม่สนใจ หมายความว่าอย่างไร ”น้ำเสียงเข้าเต็มไปด้วยความโกรธและผิดหวัง หยวนชิงหลิงกุมมือของเขาเอาไว้ เอ่ยเบาๆว่า “เขาสร้างคุณงามความดีกลับมา แล้วตอนนี้ก็ยังจะแต่งคนของตระกูลฉู่มาเป็นพระชายารอง ตอนนี้สถานการณ์พลิกผันกะทันหัน บางที เสด็จพ่อน่าจะคิดแต่งตั้งให้เขาเป็นองค์รัชทายาทก็ได้ ”
คนที่ใช้วิธีการสกปรกปองร้ายผู้อื่น ทำไมฮ่องเต้ยังเลือกเขา หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจ
หยู่เหวินเห้าเอ่ยเสียงเย็นว่า “ในเมื่อเสด็จพ่อต้องการปกป้องเขา ข้ายิ่งจะสาวไส้อันเน่าเหม็นของเขาออกมาให้ทุกคนได้เห็น ไม่ว่าใครจะเป็นรัชทายาทก็ตาม แต่ต้องไม่ใช่เขา ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกเป็นกังวล “ถ้าหากเสด็จพ่อแต่งตั้งเขาจริงๆ ท่านทำเช่นนี้ ก็เท่ากับคัดค้านความคิดของเสด็จพ่อ เกรงว่า ……”
หยู่เหวินเห้าสายตามีแววแค้นเคืองพูดขึ้นว่า “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก เรื่องนี้เสด็จพ่อไม่สืบสาวเอาเรื่อง เขาก็จะยิ่งฮึกเหิมได้ใจ ได้คืบเอาศอก เจ้าคิดว่าข้างกายเสด็จพ่อจะไม่มีคนของเขาหรือ เรื่องที่เซียวเหยากงส่งรายงาน เขาก็ต้องรู้แน่นอน หลายวันนี้เขาเก็บหางไว้อย่างดีไม่กล้าก่อเรื่อง ข้ายังคิดว่าหลังจากทำคุณงามความดีให้ประเทศแล้วจะรู้จักทำตัวถ่อมตนลง ไม่คิดเลยว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะเรื่องนี้นี่เอง”
พูดจบ เขาก็มองหยวนชิงหลิง มีความกังวลใจขึ้นมา “ความกังวลหนึ่งเดียวของข้า ก็คือความปลอดภัยของเจ้า ถ้าหากข้าประกาศสงครามกับเขา เจ้าต้องเป็นเป้าหมายแรกที่เขาต้องลงมือแน่ ”
“ข้าไม่กลัว มากสุดก็ออกจากจวนน้อยหน่อย เขาคงไม่ถึงกับส่งคนมาลอบสังหารถึงจวนหรอกนะ ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าอดทนต่อไปไม่ใช่ทางออกที่ดี สักวันคงมีคนมารังแกถึงที่แน่
หยู่เหวินเห้าพิจารณาอยู่ชั่วครู่ ก็พูดว่า “ให้ข้าคิดวิธีการที่รอบคอบก่อน ”
เขาไม่ไว้ใจ หยวนชิงหลิงกับลูกคือจุดอ่อนของเขา
หยวนชิงหลิงมองตาเขา เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่เห็นด้วยที่ท่านจะไปหาเรื่อง แต่ว่าเมื่อเกิดเรื่องแล้ว พวกเราจะหลบไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะหลบอย่างไรก็ไม่พ้น หรือว่าเราจะไม่โต้กลับ เขาก็จะปล่อยเราหรืออย่างไร เป็นไปไม่ได้ เกรงว่าจะยิ่งได้ใจ ท่านไม่ต้องห่วงข้า ข้าจะดูแลตัวเองอย่างดี ถ้ายังไม่พอ ข้ายังมีตอเป่ายังมีอะซี่คอยปกป้อง”
หยู่เหวินเห้ามองแววตาที่มุ่งมั่นไร้ความหวาดกลัว แม้จะรู้สึกว่าอะซี่กับตอเป่าก็ไม่ได้จะมีประโยชน์อะไร แต่เขาก็สนับสนุนอย่างห้าวหาญ ทำให้เขาตัดสินใจได้ เขาจูบที่หน้าผากนาง เอ่ยเบาๆว่า “ได้ภรรยาที่ดีเช่นเจ้า ยังมีอะไรต้องไขว่คว้าอีก ”
นี่คือคำชมและความมั่นใจสูงสุดที่มีต่อหยวนชิงหลิง
หยวนชิงหลิงประสานนิ้วมือเข้ากับเขา เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า ระหว่างสามีภรรยา ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ฝ่าฟันลมฝนด้วยกัน
หยู่เหวินเห้าเริ่มลงมือจากคนของอ๋องจี้
พวกของอ๋องจี้ ได้รวมตัวกันเป็นพรรคทำการอย่างเปิดเผย ช่วงที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้ทำตัวโดดเด่นอะไรนัก แต่ว่า หยู่เหวินเห้าได้เตรียมกันป้องกันพวกเขาไว้นานแล้ว และได้ให้ทังหยางไปตรวจสอบพวกเขาแล้วด้วย
กลับไปปรึกษากับทังหยาง จะโต้กลับอ๋องจี้ ก็ต้องตัดขาดเส้นทางที่มาของเงินทอง
หลายปีมานี้อ๋องจี้เสียเงินไปไม่น้อย เพื่อใช้ในการรวบรวมเหล่าขุนนาง ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ต้องเพิ่งตระกูลมารดาของพระชายาจี้ในการสนับสนุน ค้ำจุนอย่างยากลำบาก
แต่ว่า แค่นี้คงไม่พอ ฉะนั้น เข้าต้องมีที่มาของเงินอีกทาง
ไม่ผิดจากที่คาด เป็นสินน้ำใจจากเหล่าขุนนางในพื้นที่
ขุนนางตามมณฑลต่างๆ ต่างก็มีชีวิตอยู่ในกำมือของผู้อื่น ฮ่องเต้ผู้สูงส่งนั้นอยู่ไกล จะประเมินตรวจสอบ ก็คงไม่ใช่ฮ่องเต้ที่ทรงจะปลอมตัวมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเองได้ ฉะนั้นราชสำนักได้มีการส่งตัวแทนพระองค์ของฮ่องเต้ออกไปตรวจตราในทุกที่ และทุกปีอ๋องจี้จะกระตือรือร้นในการส่งคนในพรรคของตนเพื่อรับตำแหน่งนี้ ไม่ว่าจะเรื่องคดีความ การเก็บภาษี การป้องกันอุทกภัยเป็นต้น ถ้าทำการตรวจสอบอย่างจริงจัง ต้องมีตอผุดขึ้นมาแน่
ฉะนั้น พวกเขาต้องกตัญญูต่อคนที่มีอำนาจในเมืองหลวง แบ่งเบาภาระ ในค่าใช้จ่ายของอ๋องจี้ ส่วนใหญ่แล้วเงินก็มาจากตรงนี้
หยู่เหวินเห้าเป็นเจ้ากรมการพระนคร อยากจะกระชากผมของอ๋องจี้ ก็ต้องเริ่มจากคดีความที่ทำผิด
แต่เรื่องนี้ ถ้าทำการตรวจสอบอย่างเปิดเผย ต้องให้กรมอาญาสั่งการ คำสั่งการของกรมการพระนครมีจำกัดอยู่แค่ในเมืองหลวง ถ้าจะตรวจสอบคดีที่เหล่าขุนนางใต้บังคับบัญชาของอ๋องจี้ ต้องให้กรมอาญาออกหน้า
ทังหยางออกเดินทางในรุ่งเช้าของอีกวัน ไปยังเมืองถิงเจียง
เมืองถิงเจียงเป็นพื้นที่ที่อ๋องจี้เพิ่งไปทำภารกิจนำความสำเร็จกลับเมืองหลวง อ๋องจี้สามารถปราบกบฏได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียงหนึ่งเดือน เห็นได้ชัดว่าเมืองถิงเจียงเป็นพื้นที่ในอำนาจของเขา และก่อนหน้านี้เขามีความคิดจะเสนอให้หยู่เหวินเห้าเป็นคนมาปราบกบฏที่ถิงเจียง หากไม่ใช่เพราะว่าสามารถควบคุมทุกการกระทำของหยู่เหวินเห้าในเมืองถิงเจียงได้ เขาคงไม่มีทางเสนอแนะแน่
และเจ้าเมืองของเมืองถิงเจียง ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระชายาจี้