ตอนที่ 426 อย่าบังคับให้ข้าถอนขนท่าน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 426 อย่าบังคับให้ข้าถอนขนท่าน

เฟิงซิวและฉินหลิวซีรู้จักกันเมื่อห้าปีที่แล้ว ในเวลานั้นเขาบำเพ็ญเพียรมาจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ หลังจากกลืนผลไม้ศักดิ์สิทธิ์อายุพันปีลงไปลูกหนึ่ง โอกาสสำหรับการกลายร่างที่รอคอยมานานก็มาถึง แต่ในเวลานั้น เขากลับไม่เคยพบนักพรตที่มีตบะบำเพ็ญมากพอที่จะให้สรรเสริญให้พรเขาได้

ทุกสรรพสิ่งในโลกและปีศาจทุกตัวที่ต้องการก้าวหน้าจะต้องได้รับการสรรเสริญให้พร การสรรเสริญให้พรสำหรับปีศาจทั้งหมดแล้วเป็นสัญลักษณ์ของการยอมรับและความโชคดี เมื่อได้รับการยอมรับจากมนุษย์แล้ว ก็จะไปไหนมาไหนในโลกมนุษย์ได้อย่างมีตัวตน

ขณะที่เฟิงซิวต้องทุกข์ทนกับการไม่มีใคร ฉินหลิวซีก็ปรากฏตัวขึ้น นางก็ให้พรแก่เขา แม้แต่ตอนที่เขาแทบจะต้านทานทัณฑ์อสุนีบาตไม่ไหว นางยังแผ่แสงทองแห่งบุญมากมายให้เขา ทำให้เขาทำสำเร็จได้

ต่อมาเขาก่อร่างสร้างร้านยาตำหนักอายุวัฒนะขึ้นมา นางมาหารือเรื่องความร่วมมือ ให้เขาหาสมุนไพร นางก็ปรุงยา ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองใกล้ชิดกันขึ้น

ในชั่วพริบตาห้าปีต่อมา จากเด็กหญิงตัวเล็กๆ ก็กลายเป็นหญิงสาว แม้ว่าเขาจะอยู่ข้างๆ นางเป็นครั้งคราว แต่เขาก็รู้ว่านางจะก้าวไปตามทางที่นางตัดสินใจไว้แล้วเท่านั้น

นิสัยของนางเป็นดังคำกล่าวที่ว่า รู้ทั้งรู้ว่าบนภูเขามีเสือก็ยังชอบไปเที่ยวภูเขา

ดังนั้นเมื่อเฟิงซิวรู้ว่าฉินหลิวซีต้องการทำลายคำสาปเลือดให้ตระกูลซือ เขาจึงแค่พูดอะไรออกมาเล็กน้อย ไม่ได้เกลี้ยกล่อมนาง เพราะรู้ดีว่าเอ่ยไปก็เท่านั้น

เขาโน้มตัวไปด้านข้างฉินหลิวซีอย่างง่ายๆ ก่อนจะมองออกไปข้างนอก “นี่ไม่ใช่ทางกลับไปเมืองหลีนี่ จะไปไหนหรือ”

ฉินหลิวซีเล่าเรื่องตุ๊กตาดินเผาให้ฟังแล้วถามว่า “ท่านก็ถือว่าเป็นปีศาจใหญ่ที่มีพลังบำเพ็ญมาเป็นพันปี โลกมนุษย์เปลี่ยนไป เปลี่ยนฮ่องเต้ไปไม่รู้กี่ราชวงศ์กี่ยุคสมัยแล้ว คงเห็นโลกมามาก พอจะรู้หรือไม่ว่าคนที่บงการอยู่เบื้องหลังประสงค์สิ่งใด”

ปีศาจใหญ่บำเพ็ญเต๋ามานานนับพันปีหรือ เถิงเจ้าเลิกคิ้วแล้วหันไปมองเฟิงซิว

ที่แท้ก็เป็นปีศาจเฒ่า!

เฟิงซิวไม่รู้ว่าตนเองกลายเป็นปีศาจเฒ่าไปแล้ว เพียงขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “ฟังจากที่ท่านพูดแล้ว มันก็ทำให้ข้านึกถึงเมื่อห้าร้อยปีก่อน มีวิชาต้องห้ามที่ชั่วร้ายและเป็นหยินอย่างยิ่ง ที่เรียกว่าธงเก้าหยินกลืนกินวิญญาณ

ฉินหลิวซีเริ่มสนใจ “ลองว่ามาหน่อย”

“มันก็เหมือนกับตุ๊กตาดินเผานี้” เฟิงซิวเอ่ยยานคาง “ปีนั้นนักพรตชั่วได้กักขังวิญญาณทารกหญิงเอาไว้ในรูปปั้นกิเลน แล้วให้ฮูหยินนำกลับบ้านไปบูชา ทำให้ผีทารกกลับมาเกิดใหม่ แล้วก็แท้งไปไม่หยุด ทั้งหมดเก้าครั้ง จนทำให้ผีทารกเริ่มก่อไอแค้น และผีทารกเช่นนี้ก็มีทั้งหมดเก้าสิบเก้าตน แล้วนักพรตชั่วก็นำวิญญาณแค้นของผีทารกทั้งเก้าสิบเก้าตนนี้ไปหลอมเป็นธงวิญญาณที่ชื่อว่าธงเก้าหยินกลืนกินวิญญาณ เมื่อใดที่ธงนี้ได้รับการสังเวย แค่เสียงร้องของผีทารกเพียงลำพังก็สามารถทำให้คนหูหนวกได้แล้ว มันทิ่มแทงใจ สะกดจิตให้งงงวย และฉวยโอกาสในขณะที่คนอยู่ในภาพลวงตาที่เกิดจากไอชั่วร้าย ผีทารกก็จะกัดกินวิญญาณ ทำให้เลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดจนตาย”

“หลังจากกินวิญญาณไปแล้วเล่า” เถิงเจาถาม

เฟิงซิวเอ่ย “ทุกครั้งที่วิญญาณถูกกลืนกิน ธงเก้าหยินกลืนกินวิญญาณก็จะยิ่งทรงพลังขึ้น จริงสิ เพื่อให้สร้างธงนี้ได้สำเร็จ จะต้องเพิ่มกระดูกและเลือดของทารกหยินบริสุทธิ์เก้าคนด้วย”

เถิงเจาหนาวสันหลัง ความหนาวยะเยือกแผ่ซ่านจากกระดูกสันหลังตรงไปยังกลางศีรษะ

“หรือก็คือหากต้องการได้ทารกหญิงหยินบริสุทธิ์ ก็ต้องบีบให้นางทำแท้งตามเวลาที่เหมาะสม” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

เฟิงซิวพยักหน้า “แน่นอน ใช่ว่าไม่มีทารกหญิงที่เกิดในปีหยิน เดือนหยิน วันหยิน ยามหยิน แต่การรวบรวมให้ได้ครบทั้งเก้าคนพร้อมกันนั้นจะต้องมีสิ่งเร้าจากภายนอก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะต้องใช้แบบที่เพิ่งหลุดออกจากครรภ์มารดาด้วย”

เถิงเจากำหมัดแน่น “ชั่วร้ายนัก”

เฟิงซิวเหลือบมองเขา “ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่านักพรตชั่วได้อย่างไร ได้ยินมาว่าเพื่อที่จะฆ่านักพรตชั่ว และทำลายธงกลืนกินวิญญาณเก้าหยินนั้น มีคนต้องพลีชีพไปถึงสิบคน”

เถิงเจาหันไปมองฉินหลิวซีก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ตุ๊กตาดินเผาพวกนั้นก็น่าจะมีจุดประสงค์เพื่อหลอมของชั่วร้ายเช่นนั้นขึ้นมาเหมือนกัน”

ฉินหลิวซีพยักหน้า หันไปมองเฟิงซิว “วิชาต้องห้ามธงเก้าหยินกลืนกินวิญญาณไม่ได้ถูกทำลายหรือปิดผนึกไว้หรอกหรือ”

“เรื่องทำลายก็ทำลายอยู่หรอก แต่นักพรตชั่วนี่ พวกเขาล้วนแต่เจ้าเล่ห์เพทุบาย ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะเหลือม้วนกระดาษอื่นไว้อีกหรือไม่ แม้ว่าจะเหลือเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของม้วนหนังสือ ขอเพียงเป็นผู้มีคาถาอาคมที่มีตบะบำเพ็ญก็น่าจะรู้แจ้งได้” เฟิงซิววางหมอนบนตักนางอย่างเงียบๆ พลางหรี่ตาจิ้งจอกแคบยาวแล้วเอ่ย “บนโลกใบนี้ ไม่ได้มีแค่ข้าและท่านที่ฉลาดนี่”

ฉินหลิวซีสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขาและส่งเสียงเยาะ “ถ้าท่านเป็นปีศาจที่ฉลาด ก็คงไม่รนหาที่ตายมานอนบนตักของข้าหรอก”

ฟึ่บ

เปลวไฟเล็กๆ พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของนาง มันเปล่งแสงสีแดงอันน่าสะพรึงกลัว

“หน้าหนาวแล้ว อย่าบังคับให้ข้ากำจัดขนให้ท่านนะ” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างชั่วร้าย

“ดับเลยๆ” เฟิงซิวรีบผงะถอยหลังและจ้องหน้านาง “เด็กน้อยจะมาเล่นกับไฟได้อย่างไรเล่า อีกอย่างก็ทุกครั้งเล่นแต่ไม้นี้ คิดอะไรแปลกใหม่บ้างได้หรือไม่”

“สำหรับท่าน ไม้เดียวก็พอแล้ว จะต้องคิดอะไรใหม่ๆ ไปเพื่ออะไร ทำไมหรือ อยากเล่นกับไฟยี่สิบสี่แบบหรือ” ฉินหลิวซีดุเขาอีก

เฟิงซิว “…”

ข้าสงสัยว่าท่านกำลังเอ่ยไร้สาระ แต่ข้าไม่มีหลักฐาน

“เอาล่ะ ท่านกลับไปได้แล้ว ผู้ดูแลไหลคิดถึงท่านนานแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย

เฟิงซิว “ท่านอยู่ที่นี่ แล้วจะให้ข้ากลับไปที่ไหน ผู้ชายอกสามศอกอย่างผู้ดูแลไหลจะต้องการอะไรจากข้า ข้าไม่สนหรอก เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว ต้องอยู่กันจนเบื่อไปเลย”

“ไปให้พ้น!”

“ได้เลย!”

เฟิงซิวเปลี่ยนร่างกลายเป็นจิ้งจอกสีแดงเพลิงที่งดงาม กลิ้งไปมาในรถม้า “ข้าไปแล้ว และก็กลับมาแล้ว!”

เถิงเจา “!”

สิ่งที่เรียกว่าปีศาจพันปีนั้นปัญญาอ่อนถึงเพียงนี้!

ฉินหลิวซีกลอกตา “ปัญญาอ่อน!”

เฟิงซิวยิ้ม อุ้งเท้าเล็กของขาหน้าเขาค่อยๆ ก้าวเข้าไป ขดตัวอยู่ข้างๆ นาง แถมยังวางอุ้งเท้าลงบนตักที่กำลังขัดสมาธิของนางอย่างใจกล้า แล้วก็นอนลงทันที

ฉินหลิวซีไม่ได้โกรธ แต่เมื่อเห็นขนสีแดงเพลิงบนร่างเขาที่เงางาม เรียบรื่น และหนาฟู นางก็เอื้อมมือออกไปลูบ

ดวงตาจิ้งจอกของเฟิงซิวยิ่งหรี่เล็กลง ร่างกายของเขาก็ผ่อนคลายมากขึ้น

มันรู้ดีที่สุดว่าจะทำให้บรรพชนตัวน้อยพอใจได้อย่างไร

เถิงเจามองไปก็รู้สึกคันไม้คันมือเล็กน้อย อยากจะสัมผัสมันบ้าง

เขายื่นมือออกไป และขณะที่กำลังจะแตะลงบนร่างของเฟิงซิว เฟิงซิวก็ลืมตาขึ้น “อย่าลูบ ระวังอาจตัดอุ้งเท้าเจ้า”

เถิงเจาชักมือกลับด้วยใบหน้าเหยเก

ฉินหลิวซีรู้สึกขบขันกับสีหน้าที่หาดูได้ยากของลูกศิษย์ตน แล้วจับมือเขามาลูบที่คอเฟิงซิว

มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาของเถิงเจา เขาได้ลูบคอของปีศาจใหญ่แล้ว มันช่างดีจริงๆ

เฟิงซิวขนลุกชัน แยกเขี้ยวยิงฟันทันที แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของฉินหลิวซี เขาก็ใจอ่อนลงทันที ช่างเถิด แค่นางมีความสุขก็พอ

สองมนุษย์หนึ่งจิ้งจอกพูดคุยหัวเราะกันไปบนรถม้า

ส่วนเติ้งต้าอู่ที่สามารถบังคับรถม้าให้แล่นไปอย่างมั่นคงได้ในที่สุดปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากของเขา ขณะฟังเสียงในรถม้า หัวใจของเขาก็เต้นแรงไม่หยุด

นี่เป็นเสียงพูดคุยกันสามคนอย่างชัดเจน

นอกจากท่านอาจารย์ทั้งสองแล้ว ยังมีใครอีกหรือ ไม่สิ มีผีอีกหรือ

เติ้งต้าอู่ท่องอมิตาภพุทธในใจหลายครั้งอย่างเงียบๆ และตั้งสมาธิขับรถม้า เมื่อมาถึงอำเภอหลิง เขาก็จอดรถม้าลงตรงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งตามที่ฉินหลิวซีต้องการ และมองฉินหลิวซีและเถิงเจาก้าวลงมาจากรถม้าพร้อมกับบุรุษที่สวยเกินมนุษย์มนาอีกคนตาปริบๆ

เติ้งต้าอู่โงนเงน ตาเหลือก ท่าทางเหมือนจะเป็นลม

เฟิงซิวขยิบตาให้เขา และขยับเข้าไปใกล้ “เราอยู่ด้วยกันมาตลอดนะ”

เติ้งต้าอู่สะดุ้งโหยงและมึนงงเล็กน้อย สหายผู้นี้ของท่านอาจารย์มาได้อย่างไรกัน