ตอนที่ 345 หากไม่มีเด็กก็ไม่มีหมากต่อรองแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 345 หากไม่มีเด็กก็ไม่มีหมากต่อรองแล้ว

ตอนที่ 345 หากไม่มีเด็กก็ไม่มีหมากต่อรองแล้ว

ทันทีที่เสิ่นเถี่ยจวินขว้างจอกชามา หลิวจื้อหมิงก็รีบเข้ามาขวางกั้นด้านหน้าของเสิ่นอวี้อิ๋ง

เสิ่นอวี้อิ๋งน้ำตารินไหล ไม่กล้าสบสายตาเสิ่นเถี่ยจวิน “พ่อคะ…….”

เสิ่นเถี่ยจวินแผดเสียงดังก้องด้วยใบหน้ามืดมน “แกไม่ต้องเรียกฉันว่าพ่อ ฉันไม่มีลูกสาวแบบแก”

เสิ่นอวี้อิ๋งก้าวเท้าเข้าไปพลางร้องไห้และเอ่ยยอมรับความผิด “พ่อคะ หนูผิดไปแล้ว หนูเลอะเลือนไปชั่วขณะ หนูผิดไปแล้วจริงๆ”

หลิวจื้อหมิงรีบก้าวมาด้านหน้าและยอมรับผิดพร้อมกับปกป้องเสิ่นอวี้อิ๋ง “คุณอาเสิ่นครับ เป็นความผิดของผม อวี้อิ๋งยังเด็ก ยังไม่เข้าใจอะไรดีพอ เป็นผมเองที่รักหล่อนมากเกินไปและหุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะ”

เสิ่นเถี่ยจวินนั่งลงและนิ่งเงียบไม่พูดจา

เขารู้สึกผิดหวังกับลูกสาวคนนี้เป็นอย่างมาก

เขารู้ว่าหล่อนอาศัยอยู่ภายในชนบทมาหลายปีและยังไม่มีประสบการณ์

เมื่อมาถึงเมืองไห่เฉิง เขาก็รู้สึกว่าการพูดจาโกหกเล็กน้อยไม่เป็นปัญหาอะไร

เขารู้สึกละอายใจต่อหล่อน ไม่ได้อบรบสั่งสอนและเลี้ยงดูหล่อน ดังนั้นไม่ว่าลูกสาวจะทำอะไรเขาก็จะปกป้องหล่อนอย่างไม่มีเงื่อนไข

เขารู้ดีว่าตนเองเป็นคนอย่างไร จึงไม่มีข้อกำหนดทางศีลธรรมจริยธรรมต่อหล่อน

แต่หล่อนกลับทำตัวไร้ยางอาย อายุยังน้อยก็ทำเรื่องแบบนั้นกับผู้ชายแล้ว แถมยังท้องก่อนแต่ง ซึ่งเขาไม่สามารถทนได้

แม้จะต้องการทุบตีหล่อน แต่เขาก็ไม่มีคุณสมบัตินั้น

มือของเสิ่นเถี่ยจวินวางอยู่บนที่วางแขนของโซฟา เส้นเลือดด้านหลังมือปูดโปนจากแรงบีบ

“พ่อคะ หนูผิดไปแล้ว”

ใบหน้าของเสิ่นเถี่ยจวินเศร้าโศก ไม่อยากมองเสิ่นอวี้อิ๋งแม้แต่น้อย เขายิ้มขื่นขม “แกไม่ผิดหรอก คนที่ผิดคือฉันเอง”

เนิ่นนานผ่านไป เสิ่นเถี่ยจวินสูดลมหายใจเข้าและหันไปมองพวกเขา

“ตอนนี้พวกแกวางแผนจะทำยังไง?”

เรื่องนี้จะต้องได้รับการแก้ไข

หลิวจื้อหมิงแสดงท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก “พวกเราจะแต่งงานกันครับ”

เสิ่นอวี้อิ๋งกลับรีบเอ่ยความคิดของตนเองออกมา “พ่อคะ หนูไม่อยากแต่ง หนูอยากเรียนต่อ หนูอยากเข้ามหาวิทยาลัย”

เสิ่นเถี่ยจวินจ้องมองเสิ่นอวี้อิ๋งด้วยใบหน้ามืดมน คาดไม่ถึงว่าหล่อนจะเห็นต่างจากหลิวจื้อหมิง

เขาคิดว่าเสิ่นอวี้อิ๋งจะร่วมหัวจมท้ายไปกับหลิวจื้อหมิงเสียอีก

เมื่อหล่อนกล่าวว่าต้องการเรียนต่อ สีหน้าของเสิ่นเถี่ยจวินพลันผ่อนคลายลงเล็กน้อย

สมกับเป็นลูกสาวของเสิ่นเถี่ยจวิน ที่ไม่ได้หน้ามืดตามัวไปกับสิ่งที่เรียกว่าความรัก

เมื่อเห็นว่าเสิ่นเถี่ยจวินนิ่งเงียบ เสิ่นอวี้อิ๋งยังคงร้องไห้พลางเอ่ยขอร้อง

“พ่อคะ หนูจะเอาเด็กในท้องออก เดือนหน้าหนูจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างราบรื่น หนูจะตั้งใจสอบให้ดีและทำเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ได้หรือเปล่าคะ?”

“เอาเด็กออกได้เหรอ?” นัยน์ตาของเสิ่นเถี่ยจวินส่องประกายพลางเอ่ยถาม

“ทำได้ค่ะ เมื่อวานนี้พวกเราถามหมอมาแล้ว หมอบอกว่าสามารถทำแท้งได้”

เสิ่นเถี่ยจวินดูราวกับเล็งหาโรงพยาบาลที่สามารถทำแท้งไว้แล้ว หลิวจื้อหมิงที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้พลันร้อนรน

หากไม่มีเด็กก็ไม่มีหมากต่อรองแล้ว

“คุณอาเสิ่นครับ หมอบอกว่าการทำแท้งจะส่งผลเสียร้ายแรงต่อร่างกาย”

เสิ่นเถี่ยจวินเองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ เขากล่าว “รอแม่ของแกกลับมาและฟังความคิดเห็นของหล่อน หล่อนเป็นหมอ หล่อนย่อมเข้าใจเรื่องนี้”

เขาเป็นผู้ชาย จึงยากจะพูดถึงการให้คำปรึกษาเรื่องการทำแท้งกับลูกสาว

เขานั่งลงตรงนั้นด้วยความโกรธและเหนื่อยล้า ท่าทางราวกับหมดอาลัยตายอยาก

“พ่อคะ พ่อบอกแม่หรือยังคะ?” สีหน้าของเสิ่นอวี้อิ๋งดูหวาดกลัวขึ้นอีกครั้ง

เสิ่นเถี่ยจวินเอ่ยตอบด้วยเสียงเคร่งขรึม “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฉันจะไม่บอกหล่อนได้อย่างไร? แกเป็นลูกสาวของพวกฉันทั้งสองคน ต่อให้พวกเรามีความขัดแย้งต่อกัน แต่เมื่อเป็นเรื่องของลูกสาว พวกเราไม่อาจเพิกเฉยต่อแกได้”

เสิ่นเถี่ยจวินเอ่ยกับหลิวจื้อหมิง “หลิวจื้อหมิง เธอกลับไปก่อนเถอะ อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป พวกเรายังต้องรักษาหน้าตัวเองไว้”

เสิ่นเถี่ยจวินขับไล่เขา หลิวจื้อหมิงลังเลไม่อยากจากไป เขามองเสิ่นอวี้อิ๋งและเอ่ยร้องขอครั้งแล้วครั้งเล่า

“อวี้อิ๋ง คุณเก็บเด็กคนนี้ไว้ได้ไหม?”

เสิ่นอวี้อิ๋งขมวดคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “คุณกลับไปก่อน”

หลิวจื้อหมิงช่างเจ้าเล่ห์นัก เขาเป็นฝ่ายเริ่มลงมือกับหล่อนก่อนจนหล่อนตกอยู่ภายใต้สถานการณ์น่าอายเช่นนี้ ทำให้ก้นบึ้งของหัวใจเสิ่นอวี้อิ๋งเริ่มรู้สึกเกลียดชังเขา

เสิ่นอวี้อิ๋งมีท่าทางย่ำแย่มาก

หลิวจื้อหมิงจึงทำได้เพียงจากไปอย่างไม่เต็มใจ

เมื่อเขาจากไปแล้ว ภายในบ้านก็มีเพียงเสิ่นเถี่ยจวินและเสิ่นอวี้อิ๋ง ซึ่งเสิ่นอวี้อิ๋งขณะนี้ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเสิ่นเถี่ยจวิน

หล่อนรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก เอาแต่ก้มหน้าอยู่เสมอและไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

เสิ่นเถี่ยจวินชำเลืองมองหล่อนด้วยสายตาเยือกเย็น จากนั้นเดินเข้าไปภายในห้องนอน

เสิ่นอวี้อิ๋งได้ยินเหมือนว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่

ช่วงเวลาเที่ยง เซี่ยหลานก็มาถึง

เมื่อเข้ามาภายในบ้าน หล่อนก็เห็นเสิ่นอวี้อิ๋งก้มศีรษะด้วยท่าทางสำนึกผิดและไม่กล้าสบสายตากับตน จึงรู้ว่าสิ่งที่เสิ่นเถี่ยจวิ้นพูดผ่านทางโทรศัพท์นั้นเป็นเรื่องจริง

หัวใจของเซี่ยหลานขณะนั้นพลันจมลงก้นบึ้งทันใด

ท้องก่อนแต่งงาน

แถมยังเป็นนักเรียนที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิยาลัย

เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่เพียงแต่จะทำลายชื่อเสียงเท่านั้น

แต่ยังทำลายอนาคตของตนเองอีกด้วย

เสิ่นอวี้อิ๋งเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกในชนบทมาเป็นเวลาหนึ่งปีหกเดือนแล้ว ตอนนี้กำลังเรียนซ้ำชั้นและอีกหนึ่งเดือนก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย หล่อนทำให้ตนเองตกต่ำ ในฐานะผู้เป็นแม่เห็นแล้วก็รู้สึกเสียใจมากจริงๆ

เสิ่นอวี้อิ๋งก้าวไปด้านหน้า ร้องไห้และจับมือของเซี่ยหลานอย่างระมัดระวัง

“แม่คะ หนูขอโทษ หนูผิดไปแล้ว”

เซี่ยหลานจ้องมองหล่อนด้วยสีหน้าเศร้าโศกและนิ่งเงียบ

เห็นเซี่ยหลานนิ่งเงียบไม่พูดจา ในใจของเสิ่นอวี้อิ๋งก็ยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจมากขึ้น

หากเซี่ยหลานเข้ามาแล้วก่นด่าตนเอง หล่อนยังสามารถหาเหตุผลโต้แย้งได้

ตัวอย่างเช่น การใช้ถ้อยคำไม่พอใจกล่าวว่าหล่อนถูกพวกเขาสลับตัวมาเป็นเวลายี่สิบปี ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ ล้มเหลวต่อภาระหน้าที่ที่พ่อและแม่ควรจะมี ทำให้พวกเขารู้สึกผิดอยู่ในใจ

แต่เสิ่นเถี่ยจวินไม่ได้ก่นด่าหล่อน ส่วนเซี่ยหลานไม่เพียงแต่ไม่ก่นด่า กลับไม่พูดไม่จากับหล่อนเลยแม้แต่ประโยคเดียว

กระนั้นหล่อนก็มองเห็นแววผิดหวังภายในสายตาของเซี่ยหลาน มีแม้กระทั่งความสิ้นหวัง

ภายในหัวใจของเสิ่นอวี้อิ๋งตื่นตระหนกสุดขีด

“แม่คะ หนูผิดไปแล้ว แม่ด่าหนูเถอะ จะตบจะตีก็ได้ทั้งนั้น หนูผิดไปแล้ว”

เสิ่นอวี้อิ๋งร้องไห้สะอึกสะอื้นและดึงมือของเซี่ยหลานให้ทุบตีตนเอง

เซี่ยหลานดึงมือของตนเองกลับและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พ่อของแกล่ะ?”

เสิ่นเถี่ยจวินอยู่ในห้องและได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จากนั้นเดินออกมา

เซี่ยหลานนั่งลงบนโซฟาและเอ่ยถามพวกเขา “พวกคุณวางแผนจะจัดการยังไงคะ?”

แม้ว่าน้ำเสียงของเซี่ยหลานจะสงบ แต่เสิ่นเถี่ยจวินเข้าใจหล่อนดีที่สุด ยิ่งการแสดงออกของหล่อนสงบมากเท่าไร ภายในหัวใจก็ยิ่งรู้สึกเป็นทุกข์มากเท่านั้น

หล่อนมักจะเก็บเรื่องทุกอย่างไว้ภายในหัวใจ

ไม่ระบายความโกรธลงกับคนอื่น มีแต่ทรมานตนเอง

“เสี่ยวหลาน ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คุณก็อย่าโกรธเลย พวกเรามาแก้ไขปัญหากันเถอะ”

เมื่อเสิ่นเถี่ยจวินกล่าวเช่นนี้ เซี่ยหลานก็มองเขาด้วยความรู้สึกไม่มั่นคง “เสิ่นเถี่ยจวิน อวี้หลงยังคงนอนอยู่อย่างนั้น พ่ออายุเจ็ดสิบปีของฉันกำลังดูแลเขา ฉันยังต้องไปทำงาน เรื่องที่เกิดขึ้นกับอวี้อิ๋งทำให้ฉันรู้สึกทุกข์ใจมากที่เป็นแม่ผู้ล้มเหลวต่อความรับผิดชอบ คุณที่เป็นพ่อและอาศัยอยู่กับหล่อนตลอดกลับไม่พบอะไรเลยในช่วงนี้งั้นเหรอ?”

เสิ่นเถี่ยจวินก้มศีรษะลงและไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

เขาไม่พบอะไรเลยจริงๆ

เป็นเพราะว่าช่วงนี้เขากำลังวุ่นวายอยู่กับเรื่องงานภายในโรงงานของหลิวจื้อหมิง

เขาไม่ได้สนใจเสิ่นอวี้อิ๋งเลย ส่วนเสิ่นอวี้อิ๋งก็พักอยู่ภายในโรงเรียน จะกลับมาบ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น

อีกทั้งเสิ่นอวี้อิ๋งยังรู้ความจริงเรื่องการสลับตัวในปีนั้นแล้ว หล่อนจึงตีตัวออกห่างจากตนเองอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นนอกจากการขอโทษแล้ว เสิ่นเถี่ยจวินเองก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับหล่อนอย่างไร

ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกในระยะนี้จึงไม่ค่อยใกล้ชิดสนิทสนมกันเท่าไรนัก

“ทางบ้านของหลิวจื้อหมิงมีความเห็นว่ายังไงคะ? ตอนนี้ก็ท้องสามเดือนแล้ว ต้องการแต่งงานหรือว่าจะทำอย่างไร?” เซี่ยหลานเอ่ยถาม

เสิ่นเถี่ยจวินกล่าว “เมื่อคืนนี้หลิวจื้อหมิงกับแม่ของเขามาที่นี่แล้ว และบอกว่าต้องการให้พวกเขาแต่งงานกัน”

“พ่อคะ แม่คะ หนูไม่อยากแต่งงาน หนูอยากเข้ามหาวิทยาลัย หนูรู้ว่าหนูผิด ทำให้ผลกระทบของเรื่องนี้น้อยลงที่สุดได้ไหมคะ หนูไม่อยากให้พวกคุณอับอายขายหน้า หนูอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยและจะพยายามเพื่อพวกคุณ ฮือๆๆๆ”

เสิ่นอวี้อิ๋งร้องไห้พลางกล่าววกไปวนมาเป็นการป้องกันตัวเอง

“พ่อคะ แม่คะ หนู……. หนูผิดไปแล้ว หนูอายุยังน้อยและไม่มีประสบการณ์ หนูยังอ่อนต่อโลก ไม่เข้าใจอะไรเลย……. หนูถูกพวกเขาเกลี้ยกล่อมและเดินทางผิด พวกคุณให้อภัยหนูเถอะแล้วหนูจะไปทำแท้ง ได้หรือเปล่าคะ?”

เซี่ยหลานจับประเด็นสำคัญภายในคำพูดของเสิ่นอวี้อิ๋งได้อย่างรวดเร็ว “พวกเขาเหรอ?”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เรื่องมันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอยัยอวี้อิ๋ง เจ้ากรรมนายเวรเธอแต่ละคนไล่ยากด้วยนะ

สงสารเซี่ยหลานที่สุดแล้ว นอกจากทุกข์กับอดีตสามีแล้วยังต้องทุกข์กับลูกทั้งสองคนอีก

ไหหม่า(海馬)