ตอนที่ 310 การขายตรง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 310 การขายตรง

หลินม่ายรู้แค่ว่าสองแม่ลูกซุนกุ้ยเซียงนั้นหนีเตลิดไปแล้ว เรื่องราวหลังจากนั้นเธอไม่รู้อะไรเลย

เธอหารือกับโจวฉายอวิ๋น ให้หล่อนนั่งรถแทรกเตอร์ของหลี่หมิงเฉิงกลับไปที่เมืองซื่อเหม่ย ไปเรียนวิธีการทำกะปิและซอสพริกกับคุณยายเถียน

เมื่อโจวฉายอวิ๋นทำเป็นแล้ว เธอก็จะเปิดโรงงานทำซอสพริกและผักดองต่างๆ ขาย

ส่วนกะปินั้น ตอนนี้เธอยังไม่มีแผนที่จะขายมัน

เธออยากใช้กะปิเป็นสูตรลับเฉพาะ ให้ไส้ของว่างของร้านตัวเองมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์

หลินม่ายยังกำชับกับโจวฉายอวิ๋นเป็นพิเศษว่าหากมีชาวบ้านมาถาม ให้บอกว่าหล่อนเป็นคนที่เธอส่งไปดูแลคุณยายเถียนสองยายหลาน ไม่ต้องบอกว่ามาเรียนทำอาหารกับคุณยายเถียน เพื่อไม่ให้มีใครบางคนเกิดอิจฉา แล้วสร้างปัญหาขึ้นมาโดยใช่เหตุ

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้าพลางถาม “ถ้าฉันไปเรียนรู้สูตรอาหาร อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนถึงจะกลับมาได้ ในหนึ่งเดือนนี้ใครจะดูแลร้านล่ะ?”

“วังเสี่ยวลี่จะมาทำแทนที่ชั่วคราว”

หลินม่ายเริ่มฝึกฝนวังเสี่ยวลี่ไว้ก่อนแล้ว เธอตั้งใจว่าจะให้หล่อนไปรองผู้จัดการร้านที่ร้านเปาห่าวชือข้างๆ จึงอยากให้หล่อนไปเรียนรู้การจัดการกับเจิ้งซวี่ตง

เธอเห็นว่าโจวฉายอวิ๋นทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ จึงตบแขนของหล่อนเบาๆ แล้วพูด “พี่ตั้งใจเรียนกับคุณยายเถียน เรียนจนเป็นแล้ว ตราบใดที่พี่มีความสามารถ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะยกโรงงานผักดองให้พี่ดูแลก็ได้”

โจวฉายอวิ๋นถาม “แล้วถ้าฉันไม่มีความสามารถนั้นล่ะ?”

“อย่างนั้นก็เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ก็คือสอนการดองผัก การทำซอสพริกน่ะ”

โจวฉายอวิ๋นเบิกตากว้าง “แค่คนทำซอสพริกกับผักดองก็สามารถเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคได้เชียวเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า “ได้สิ นั่นก็เป็นเทคนิคเหมือนกันนี่!”

เมื่อนั้นโจวฉายอวิ๋นที่มีความมั่นใจขึ้นมาแล้วจึงเก็บสัมภาระอย่างสบายใจ จะได้กลับบ้านนอกกับหลี่หมิงเฉิงในวันพรุ่งนี้

หลังจากกินข้าวเที่ยงแล้ว หลินม่ายก็ขนตัวอย่างเสื้อผ้าจำนวนไม่น้อยไปโปรโมทที่ห้าง

ที่แรกที่เธอไปก็คือห้างสรรพสินค้าประจำเมืองเจียงเฉิง

ข้อแรก เพราะห้างเจียงเฉิงนั้นอยู่ใกล้ตนที่สุด โดยมีระยะทางเพียงแค่ร้อยสองร้อยเมตรเท่านั้น

ข้อที่สอง ถ้าห้างเจียงเฉิงยอมขายเสื้อผ้าของเธอ หลังจากนั้นการไปโปรโมทที่ห้างอื่นก็จะสำเร็จได้ง่าย

ต้องเข้าใจว่าห้างเจียงเฉิงคือแกะจ่าฝูงของห้างชั้นนำในเมืองเจียงเฉิง ห้างอื่นๆ ต่างก็ต้องแหงนหน้ามองทั้งนั้น

หลินม่ายมาถึงห้างเจียงเฉิงแล้วก็ไปหาผู้จัดการข่งทันที

ทั่วทั้งห้างเจียงเฉิง เจ้าหน้าที่ที่เธอรู้จักก็มีแค่ผู้จัดการข่งเท่านั้น

แม้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองคนจะมีความบาดหมางกันมาก่อน แต่หลังจากนั้นหลินม่ายก็เขียนบทความว่าห้างเจียงเฉิงนั้นรู้จักยอมรับผิดและปรับปรุงแก้ไขขึ้นมาตามคำขอของเขา ความคับข้องใจของทั้งสองก็คงจะคลี่คลายลงไปแล้วกระมัง

แม้ว่าหลินม่ายจะคิดเช่นนั้น แต่เธอก็ยังเตรียมแผนมาสองชั้น

ถ้าเกิดผู้จัดการข่งเป็นคนแค้นฝังใจ อย่างนั้นเธอก็จะใช้แผนอื่น

ออฟฟิศทั้งหมดของห้างเจียงเฉิงต่างก็อยู่ด้านหลังห้าง ไม่ว่าจะไปหาเจ้าหน้าที่คนไหน ล้วนต้องผ่านการตรวจของยามเฝ้าประตู

หลินม่ายยืนในจุดที่ห่างออกไปไม่กี่เมตร ดูว่าคนอื่นๆ ผ่านยามเฝ้าประตูไปอย่างไร

ทั่วไปแล้วยามจะถามผู้มาเยือนว่าได้นัดไว้หรือเปล่า ถ้านัดไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาถึงจะให้เข้าไป

หลินม่ายลอบขมวดคิ้ว นี่มันทศวรรศที่ 80 แล้วนะ ยังจริงจังกับระบบเจ้าขุนมูลนายของรัฐวิสาหกิจขนาดนี้อีกเหรอ?

ก็แค่เจ้าหน้าที่ของห้างสรรพสินค้าเท่านั้นเอง ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐคนสำคัญที่งานยุ่งสารพัดเสียหน่อย ขนาดต้องนัดล่วงหน้าไว้ก่อนถึงจะได้เจอน่ะ!

หลินม่ายถือโอกาสตอนที่ชายวัยกลางคนคนหนึ่งอยากเข้าไปแต่กลับเข้าไม่ได้ จนเกิดการโต้เถียงกับยามเฝ้าประตู แล้วเธอก็เข็นรถเข็นเล็กที่ใส่เสื้อผ้าตัวอย่างไว้เข้าไปทันที

ยามเฝ้าประตูมองเธออย่างละเอียดแล้วถาม “มาหาใครครับ?”

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “มาหาผู้จัดการข่งค่ะ ฉันนัดกับเขาเอาไว้แล้ว ว่าจะเอาเสื้อผ้าตัวอย่างมาให้เขาดูน่ะค่ะ”

ยามเฝ้าประตูเหลือบมองรถเข็นเล็กของเธอเล็กน้อย ขณะกำลังจะพลิกบันทึกตรวจสอบข้อมูล ดูว่าที่เธอพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ แท้ที่จริงได้นัดกับผู้จัดการข่งเอาไว้หรือเปล่า

—สมุดเล่มเล็กในมือของเขาได้บันทึกการนัดหมายทั้งหมดเอาไว้แล้ว

ชายวัยกลางคนที่เอาแต่โวยวายจะเข้าไปคนนั้นปัดสมุดบันทึกในมือของยามเฝ้าประตูจนปลิว แล้วถามด้วยสีหน้าถมึงทึง “สรุปคุณจะปล่อยให้ผมเข้าไปหรือเปล่า?”

กระทำของเขาทำให้ยามเฝ้าประตูโมโหขึ้นมา “ผมไม่ปล่อยให้คุณเข้าไปหรอก!”

ชายวัยกลางคนคว้าคอเสื้อของยามเฝ้าประตู “ถ้าแกไม่ให้ฉันเข้าไป ฉันจะต่อยแกให้น่วม!”

หลินม่ายพูดกับชายวัยกลางคนคนนั้นอย่างมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม “ทำร้ายคนอื่นเป็นเรื่องไม่ถูกต้องนะคะ!”

จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้มพูดกับยามเฝ้าประตู “ให้ฉันเข้าไปก่อนได้ไหมคะ? ฉันกลัวว่าผู้จัดการข่งจะรอนานจนอารมณ์ไม่ดีน่ะค่ะ”

ยามเฝ้าประตูเห็นว่าหลินม่ายช่วยพูดแทนเขา จึงค่อนข้างประทับใจในตัวเธอ

บวกกับที่เธอบอกว่าได้นัดไว้ล่วงหน้า จึงโบกมือปล่อยให้เธอเข้าไปได้ ส่วนเขาก็ยื้อยุดฉุดกระชากกับชายวัยกลางคนคนนั้นต่อไป

หลังจากหลินม่ายเข็นรถเข็นเล็กเข้าไปอย่างรวดเร็วแล้ว เธอก็ชะโงกหน้ามองเข้าไปในประตูของแต่ละออฟฟิศ

ตอนที่ชะโงกหัวมองเข้าไปในประตูออฟฟิศห้องที่ห้า เธอก็พบกับผู้จัดการข่ง จึงรีบเข็นรถเข็นเดินเข้าไปทันที

หัวหน้าข่งนั้นกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่พอดี เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามา เขาก็เหลือบตาขึ้นมาแล้วถามขึ้น “คุณเป็นใคร? มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ?”

หลินม่ายตะลึงไปเล็กน้อย ผู้จัดการข่งจำเธอไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?

พวกผู้ดีชอบวางมาดใหญ่โตลืมมิตรภาพเก่าๆ อย่างที่คิด

เธอชั่งน้ำหนักอยู่ในใจว่าจะบอกผู้จัดการข่งว่าตนคือใครดีหรือไม่

หากไม่บอกเขาว่าตนคือใคร ไม่แน่ว่าอาจจะเจรจาธุรกิจสำเร็จได้ง่ายก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้บาดหมางกันนี่นา

แต่ถ้าบอกเขาตนคือใคร บางทีเขาอาจจะแค้นฝังใจ แล้วเจรจาธุรกิจสำเร็จยากขึ้นก็ได้

หลังจากเถียงกับตัวเองอยู่ในใจครู่หนึ่ง หลินม่ายก็ตัดสินใจพูดตามความจริง

เธอไม่ได้ทำธุรกิจกับห้างเจียงเฉิงแค่ช่วงสั้นๆ และเป็นไปได้มากว่าจะทำธุรกิจระยะยาว

หลอกผู้จัดการข่งครั้งหนึ่ง แล้วจะหลอกเขาไปได้ทั้งชาติหรือ?

เมื่อถึงเวลาต้องเปิดโปง นอกจากตัวเองจะดูแย่แล้ว ยังเสียความน่าเชื่อถืออีกด้วย

คนที่ทำธุรกิจนั้น เมื่อไม่มีความน่าเชื่อถือแล้ว ก็ก้าวหน้าได้ยาก

หลินม่ายแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้ม “ฉันก็คือลูกค้าที่มาซื้อเสื้อผ้าที่ห้างของคุณเมื่อปีที่แล้ว แต่เพราะพนักงานขายแสดงกิริยาไม่ดีจึงเกิดการขัดแย้งกัน ชื่อว่าหลินม่ายน่ะค่ะ”

แม้ว่าจะเคยเกิดความบาดหมางกันมาก่อน แต่ความผิดไม่ได้อยู่ที่ตน เรื่องนี้เธอจำเป็นต้องประกาศให้ชัดเจน

ผู้จัดการข่งยิ้มอย่างคลุมเครือเล็กน้อย “มิน่าผมถึงรู้สึกว่าคุณค่อนข้างคุ้นตาทีเดียว ที่แท้ก็เป็นสหายหลินม่ายที่ผมขอให้เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์เพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ห้างของเรา แล้วสุดท้ายก็ใช้เวลาเขียนเสียเนิ่นนานกว่าจะเขียนคนนั้นนี่เอง คุณกระตือรือร้นในการฟ้องร้องมาก แต่กับการช่วยคนอื่นสร้างภาพลักษณ์ที่ดีนี่ชักช้ายืดยาดเชียว”

หลินม่ายได้ยินคำพูดนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าผู้จัดการข่งเป็นคนแค้นฝังใจ

เธอแตะซองแดงในกระเป๋าเล็กน้อย กำลังคิดจะหยิบออกมาให้สินบนกับผู้จัดการข่ง

อีกฝ่ายแค้นฝังใจแล้วทำไมกัน? ไม่มีอะไรที่เงินจัดการไม่ได้หรอก

การใช้ซองแดงเปิดทาง ก็คือแผนที่สองของหลินม่าย

ทันใดนั้นก็ได้ยินผู้จัดการข่งถามขึ้น “คุณมาหาผมมีธุระอะไรเหรอครับ?”

หลินม่ายควักซองแดงวางไว้บนโต๊ะทำงานของผู้จัดการข่ง “ตอนนี้ฉันเป็นเจ้าของโรงงานเสื้อผ้ายูนีค ฉันมาหาคุณเพราะอยากให้คุณโปรโมทเสื้อผ้าของโรงงานเราน่ะค่ะ”

ผู้จัดการข่งชำเลืองมองซองแดงนั้นอย่างเรียบเฉยเล็กน้อย

คนที่มาติดต่อธุรกิจกับเขาไม่น้อยมักจะยัดซองแดงให้กับเขา เขาเคยชินกับมันไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้แสดงความโลภใดๆ ต่อซองแดงของหลินม่ายแม้แต่น้อย

ตรงกันข้ามกลับเปลี่ยนมุมมองต่อหลินม่าย

เวลาผ่านไปเพิ่งจะครึ่งปีกว่าๆ เด็กสาวตรงหน้าก็สวยขนาดนี้ ราวกับเปลี่ยนเนื้อกลับร่างใหม่อย่างไรอย่างนั้น

เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ ไม่นึกว่าจะตั้งโรงงานเสื้อผ้าอีกต่างหาก!

“เอาเสื้อผ้าตัวอย่างมาด้วยไหม ถ้าเอามาแล้วก็ให้ผมดูสักหน่อย” ผู้จัดการข่งพูด

“เอามาค่ะ เอามาค่ะ!” หลินม่ายรีบหยิบเสื้อผ้าในรถเข็นเล็กออกมา แล้ววางเอาไว้บนโต๊ะทำงานของเขา

ผู้จัดการข่งดูเสื้อผ้าตัวอย่างของหลินม่ายรอบหนึ่ง

ทั้งสไตล์ เนื้อผ้าและเนื้องานนั้นไม่มีอะไรต้องพูด ดีกว่าเสื้อผ้าที่ผลิตจากโรงงานของรัฐวิสาหกิจเกินไปมาก

หากโปรโมทที่ห้างล่ะก็ จะต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่

เขาอยากได้มาก แต่ก็เอามาไม่ได้

ห้างเจียงเฉิงนั้นเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการโดยรัฐ มันมีกฏระเบียบข้อบังคับในตัวมันเอง

หากอยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับนี้ ผู้จัดการข่งสามารถดำเนินการเองได้

แต่นอกเหนือจากกฎระเบียบข้อบังคับไป เขาไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น

ผู้จัดการข่งวางเสื้อผ้าในมือลง “แม้ว่าเสื้อผ้าพวกนี้ของคุณจะไม่เลวเลย แต่พวกเราขายแค่เสื้อผ้าของโรงงานเสื้อผ้ารัฐวิสาหกิจเท่านั้น ไม่สามารถรับเสื้อผ้าของคุณมาขายได้หรอกครับ”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พอกันกับหน่วยงานราชการบ้านเราเลย ทุกอย่างต้องเป็นขั้นเป็นตอน

ม่ายจื่อจะมีแผนสำรองไหมนะ

ไหหม่า(海馬)