ตอนที่ 311 บังเอิญเจอฟางถิง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 311 บังเอิญเจอฟางถิง

ระบบงานของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเชื่อมโยงกันหมด

ตัวอย่างเช่นอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ตั้งแต่กระบวนการเลือกวัตถุดิบ การทอผ้า การตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป จนมาถึงการขาย ล้วนดำเนินการโดยรัฐวิสาหกิจทั้งหมด

รูปแบบธุรกิจรัฐวิสาหกิจที่เป็นเส้นตรงแบบนี้ สามารถรับประกันได้ว่าหน่วยงานไม่มีทางปิดตัวลง คนงานไม่มีทางตกงาน

แต่รูปแบบธุรกิจดังกล่าวก็มีข้อเสียอยู่บ้าง เพราะไม่สามารถแข่งขันกันในท้องตลาดได้ อีกทั้งสิ่งผลิตยังปราศจากนวัตกรรมใหม่ ๆ

คำตอบของผู้จัดการข่งเป็นไปตามที่หลินม่ายคาดคิดไว้

ประสบการณ์ชีวิตในชาติที่แล้ว ทำให้เธอพอรู้เกี่ยวกับนโยบายของพวกเขา

จวบจนถึงปัจจุบัน หน่วยงานรัฐระดับสูงก็ยังให้ความคุ้มครองและให้การสนับสนุนรัฐวิสาหกิจ

ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งหรือสองปี กว่ารัฐบาลจะยอมปล่อยมือ และให้องค์กรรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่หาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเอง โดยไม่อุปถัมภ์ค้ำชู

ถึงเวลานั้นเมื่อไร หน่วยงานรัฐวิสาหกิจย่อมล้มละลายไปตาม ๆ กัน

หลินม่ายแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ทำไมห้างสรรพสินค้าถึงผูกขาดเสื้อผ้าจากโรงงานตัดเสื้อของรัฐเท่านั้นล่ะคะ?”

“เพราะว่าห้างสรรพสินค้าของเรามีข้อกำหนดว่าจะต้องรับซื้อเสื้อผ้าจากโรงงานของรัฐเท่านั้นน่ะสิ”

พอนึกถึงเรื่องนี้ ผู้จัดการข่งก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา

โรงงานตัดเสื้อของรัฐคิดว่าตัวเองทำการค้าแบบผูกขาดกับห้างสรรพสินค้าของรัฐ พวกเขาจึงไม่กลัวว่าเสื้อผ้าที่ตัวเองผลิตออกมาจะขายไม่ออก

ต่อให้รูปแบบการตัดเย็บหรือคุณภาพของเนื้อผ้าจะไม่ได้ดีอะไรมากมาย ผู้บริโภคก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมซื้อ ถึงแม้จะไม่ค่อยพึงพอใจในตัวสินค้าเท่าไรก็ตาม

ที่จริงเขาอยากรับซื้อเสื้อผ้าแบรนด์ Unique ที่ดูขายออกง่ายตั้งแต่แรกเห็นมากกว่า

หลินม่ายแสร้งทำเป็นรู้แจ้งขึ้นมาทันที “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”

ก่อนจะเจรจาต่อไป “ในเมื่อห้างสรรพสินค้าของคุณไม่สามารถรับซื้อสินค้าจากฉันได้ ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยจัดสรรพื้นที่เล็ก ๆ ให้ฉันเช่าเพื่อขายเสื้อผ้าได้หรือเปล่าคะ? นอกจากฉันจะจ่ายค่าธรรมเนียมเช่าสถานที่แล้ว ฉันจะแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากการขายเสื้อผ้าจำนวนห้าเปอร์เซ็นต์ให้ด้วย คุณคิดว่าไงคะ?”

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้จัดการข่งได้ยินรูปแบบการค้าในทำนองนี้ ดูเหมือนว่าข้อเสนอของเธอค่อนข้างเป็นประโยชน์ต่อห้างสรรพสินค้าของเขาโดยที่ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงใด ๆ

ค่าคอมมิชชั่นห้าเปอร์เซ็นต์ ฟังแล้วอาจดูเหมือนน้อย แต่พอดูในภาพรวมแล้วไม่น้อยเลย

ถึงแม้เสื้อผ้าแบรนด์ Unique ของเธอจะขายได้แค่วันละหนึ่งร้อยตัว ถึงยังไงยอดขายก็ไม่ต่ำกว่าสองพันหยวน

ห้างสรรพสินค้าจะได้รับส่วนแบ่งจากร้านของเธอหนึ่งร้อยหยวน เท่ากับสามพันหยวนต่อเดือน ซึ่งเป็นจำนวนมากทีเดียว

หรือถ้าเลวร้ายไปกว่านั้น เกิดร้านเสื้อผ้า Unique ขายไม่ได้เลยสักตัว ทางห้างสรรพสินค้าก็ยังได้รับเงินค่าเช่าพื้นที่จากเธออยู่ดีไม่ใช่เหรอ?

ผู้จัดการข่งถาม “คุณอยากเช่าพื้นที่ประมาณเท่าไหร่? ค่าเช่ากี่หยวนต่อเดือน?”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พื้นที่ประมาณยี่สิบตารางเมตรก็พอแล้วค่ะ ฉันจะจ่ายค่าเช่าให้คุณเดือนละหนึ่งร้อยหยวนเป็นอย่างไรคะ?”

ร้านขายเสื้อผ้าบนชั้นสองของห้างครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่จนเบียดเบียนผู้ประกอบการรายอื่น ไม่ต้องพูดถึงพื้นที่ว่างยี่สิบตารางเมตร ต่อให้เธอร้องขอพื้นที่สองร้อยตารางเมตรก็ไม่ใช่ปัญหา

ติดก็ตรงค่าเช่า…

“หนึ่งร้อยน้อยเกินไป อย่างต่ำสองร้อย!”

หลินม่ายยิ้ม “ค่าเช่าเดือนละหนึ่งร้อยหยวน ปีหนึ่งก็เกินหนึ่งพันแล้วนะคะ ไหนจะค่าคอมมิชชั่นที่ได้จากการขายเสื้อผ้าอีก”

“แต่ถ้าเสื้อผ้าของคุณขายไม่ออก ทางเราก็ไม่ได้ค่าคอมมิชชั่น”

หลินม่ายพูดอย่างมั่นใจ “คุณคิดว่าเสื้อผ้าของฉันจะขายไม่ออกเชียวเหรอ?”

ผู้จัดการข่งไม่สนใจ “ไม่ว่าคุณจะขายได้หรือไม่ได้ก็ตาม ผมไม่สามารถปล่อยเช่าพื้นที่ให้คุณในราคาหนึ่งร้อยหยวนได้ เงินหนึ่งร้อยหยวนสำหรับห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงไม่พอซื้อข้าวสารกรอกหม้อด้วยซ้ำ”

ท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายก็สามารถเจรจาตกลงกันได้ ค่าเช่าตกอยู่ที่เดือนละหนึ่งร้อยห้าสิบหยวน

จากหนึ่งร้อยหยวน เพิ่มมาเป็นหนึ่งร้อยห้าสิบ ผู้จัดการข่งรู้สึกราวกับได้รับชัยชนะ

แต่หลินม่ายกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบ

เธอรู้ความจริงดีว่าในยุคสมัยนี้ พื้นที่ว่างสำหรับเช่าประกอบกิจการภายในห้างสรรพสินค้าเป็นเงินเป็นทอง ค่าเช่าที่เธอยอมจ่ายถือว่าต่ำมากแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงค่าเช่าหนึ่งร้อยห้าสิบหยวนที่ผู้จัดการข่งเรียก ถึงสุดท้ายแล้วเขาจะยืนกรานเก็บค่าเช่าที่สองร้อยหยวน เธอก็ยินดีจ่าย

พอเวลาผ่านไปสองถึงสามทศวรรษ ตอนนั้นใครที่อยากเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง จะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าหลายแสน โดยที่ไม่สามารถต่อรองได้

แค่พื้นที่ยี่สิบตารางเมตร ค่าเช่าก็ปาไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นหยวนต่อเดือนแล้ว

หลินม่ายและผู้จัดการข่งลงนามในสัญญาทันที

ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า ภายในห้าวัน หลินม่ายจะนำค่าเช่าล่วงหน้าสำหรับหนึ่งปีมาจ่าย ส่วนผู้จัดการข่งจะจัดเตรียมสถานที่ เพื่อรองรับเสื้อผ้าแบรนด์ Unique ของหลินม่าย

พวกเขาเพิ่งจะลงนามเสร็จสิ้น ยามเฝ้าประตูก็เคาะประตูและเดินเข้ามา

สีหน้าของเขาดูกังวล กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง

แต่สถานการณ์ตรงหน้ากลับทำให้เขายืนตัวแข็งอยู่กับที่ มองคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างงุนงง

“มีอะไร?” ผู้จัดการข่งมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ

ยามเฝ้าประตูมองหลินม่าย หลินม่ายก็มองเขาโดยที่ไม่หลบสายตา ไม่มีความรู้สึกผิดหรือเป็นกังวล ทั้งยังดูไร้เดียงสาเอามาก ๆ

พอเห็นสีหน้าของเธอ ยามเฝ้าประตูก็มั่นใจในความคิดของตัวเอง

หญิงสาวอายุยังน้อยคนนี้ โกหกเขาว่าตัวเธอมีนัดกับผู้จัดการข่ง

เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า แต่กลับหาทางล่อหลอกจนได้เข้ามา แถมยังเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว…

ช่างเถอะ โชคดีที่สาวน้อยคนนี้หน้าตาดี ผู้จัดการข่งเองก็ไม่ได้ติดใจเอาความ เขาไม่จำเป็นต้องเข้มงวดมากนัก

ยามเฝ้าประตูชี้ไปทางหลินม่าย “เปล่าครับ พอดีสหายคนนี้ลืมลงทะเบียน ก็เลยมาตามหาหล่อนให้ออกไปเซ็นชื่อลงทะเบียนหน่อย”

หลินม่ายรีบตอบรับ “ฉันจะออกไปลงทะเบียนเดี๋ยวนี้ค่ะ” ว่าแล้วก็เก็บเสื้อผ้าตัวอย่างแล้วเดินตามยามเฝ้าประตูออกไป

ผู้จัดการข่งหยิบซองสีแดงที่เธอวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาเปิดดู ด้านในมีธนบัตรหน่วยใหญ่จำนวนห้าใบ

เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางประตูสำนักงานที่ว่างเปล่า

ผู้หญิงคนนี้อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี แต่กลับรู้ธรรมเนียมทุกอย่างที่ควรทำ

แตกต่างจากผู้หญิงในวัยเดียวกันที่ยังสับสนกับสถานการณ์จนหยิบจับทำอะไรไม่ถูก

ตอนที่เธอมาซื้อเสื้อผ้า พนักงานขายในห้างแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสม แต่เธอกลับรู้ว่าควรจัดการกับอีกฝ่ายอย่างไร แถมยังรู้ว่าต้องประจานลงหนังสือพิมพ์

ตอนนี้เธอกำลังจะเปิดร้านขายเสื้อผ้า ก็ยังรู้ว่าควรมอบซองอั่งเปาให้กับเขา จำนวนเงินในซองไม่มากหรือน้อยจนเกินพอดี

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผู้จัดการข่งประทับใจในตัวเธอ สิ่งที่เขาประทับใจในตัวเธอมากที่สุด คือความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของหลินม่าย

ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงมีข้อกำหนดว่าห้ามนำเข้าเสื้อผ้าจากที่อื่นที่ไม่ใช่โรงงานของรัฐ

แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ ในเมื่อคุณรับซื้อเสื้อผ้าของฉันไว้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันขอเช่าสถานที่ของคุณเพื่อขายเสื้อผ้าเองก็พอ และยังเสนอค่าคอมมิชชั่นให้อีกด้วย

ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว ใครบ้างจะไม่ถูกล่อลวง จนทั้งสองบรรลุข้อตกลงร่วมกันอย่างรวดเร็ว

หลินม่ายเดินตามยามเฝ้าประตูออกไปได้ไม่ไกล เขาก็หันมาตำหนิเธออย่างไม่สบอารมณ์ “สหายเอ๋ย คุณรู้จักหลอกลวงคนอื่นตั้งแต่อายุยังน้อย นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจเลย!”

ในขณะที่เขาพูดไม่ทันจบ หลินม่ายก็ยัดบุหรี่ใส่มือเขา

ยามเฝ้าประตูชำเลืองมองบุหรี่ซองใหญ่ในมือ พอเห็นว่าเป็นยี่ห้อต้าเฉียนเหมินก็หยุดบ่นทันที สีหน้าที่เคยบึ้งตึงกลับมาดีขึ้นทันตาเห็น

พอออกมาจากห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงแล้ว หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเท้าไปที่สถานีขนส่ง ตั้งใจว่าจะไปที่ห้างสรรพสินค้าซือเหมินโข่ว

แม้ว่าไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงจะยังมีห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงของเจียงเฉียง แต่เธอคิดว่าในฮั่นโข่วควรมีร้านขายเสื้อผ้าจากโรงงานของเธอแค่ร้านเดียวพอ

หลินม่ายตั้งใจจะเปิดร้านอีกสาขาหนึ่งที่อู่ชาง ห้างสรรพสินค้าซือเหมินโข่วจึงกลายเป็นตัวเลือกแรก

จากการตัดสินใจของเธอ ฮั่นโข่วกับอู่ชางจะมีร้านเสื้อผ้าของเธอทั้งสองที่ สามารถตีตลาดผู้บริโภคทั้งหมดในสองภูมิภาค

สำหรับฮั่นหยาง ในยุคนี้ความเจริญยังไม่อยู่ในระดับที่พัฒนาแล้ว ตามหลังฮั่นโข่วและอู่ชางอยู่มากโข

ที่นั่นไม่มีแม้แต่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ความสามารถในการใช้จ่ายของผู้คนก็ไม่มากเท่าฮั่นโข่วกับอู่ชาง หลินม่ายจึงยังไม่อยากเปิดสาขาที่นั่น

หลินม่ายใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงกว่าจะเดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าซือเหมินโข่ว โดยขึ้นรถประจำทางแล้วต่อเรือข้ามฟาก

ข้อเสียคือขนาดเมืองค่อนข้างใหญ่ แค่ข้ามอำเภอก็ไกลเหมือนกับเดินทางไปเมืองอื่น

หลินม่ายทักทายพนักงานขายคนหนึ่งที่กำลังจัดเสื้อผ้าโดยที่หันหลังให้ตัวเอง “คนสวย สำนักงานผู้จัดการห้างของคุณอยู่ตรงไหนเหรอคะ?”

สาวสวยคนนั้นหันกลับมามองเธอ จากนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “ม่ายจื่อ! เธอนั่นเอง!”

หลินม่ายก็หัวเราะออกมาเช่นกัน เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้เจอฟางถิงที่นี่

พอเห็นว่าฟางถิงสวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นเครื่องแบบของห้างสรรพสินค้าซือเหมินโข่ว ก็ถามว่า “เธอทำงานที่นี่เหรอ?”

ร่องรอยความลำบากใจฉายผ่านแววตาของฟางถิง

ก่อนหน้านี้หล่อนเคยทำงานในสำนักงานยาสูบ มีรายได้หลายร้อยหยวนต่อเดือน

แต่ตอนนี้หล่อนต้องทำงานในห้างสรรพสินค้า ได้รับเงินเดือนแค่ไม่กี่สิบหยวน ช่องว่างของรายได้ห่างกันเกินไป

หล่อนพยักหน้า หัวเราะแห้ง ๆ สองครั้ง “ฉันเองก็ต้องกินต้องใช้นะ”

ประโยคเหล่านั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

หลินม่ายมองหล่อนด้วยความชื่นชม

เมื่อก่อนหล่อนอาจจะเคยทำตัวเย่อหยิ่ง หรือเคยเป็นที่หมายปองของคนอื่น

แต่ตอนนี้… ถึงคนเหล่านั้นจะไม่หัวเราะเยาะหล่อนต่อหน้า แต่พวกเขาต้องหัวเราะเยาะลับหลังอย่างแน่นอน ทั้ง ๆ ที่หล่อนประสบความล้มเหลวอย่างรุนแรง แต่กลับยืดอกเผชิญหน้ามันได้อย่างเข้มแข็ง

ความจริงแล้ว ต่อให้หล่อนไม่พาตัวเองออกมาหางานทำ ครอบครัวของหล่อนคงพอมีกำลังเลี้ยงดูเธอได้อยู่แล้ว แต่หล่อนกลับเลือกที่จะหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง

หลินม่ายส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ “ดีแล้วล่ะที่มีงานทำ สมัยนี้คนหนุ่มสาวในเจียงเฉิงที่ตกงานมีอยู่ถมไป ทุกคนต่างก็อยากมีงานทำกันทั้งนั้น!”

“จริงด้วย จริงด้วย!” เมื่อฟางถิงเห็นว่าหลินม่ายไม่ได้แสดงอาการดูหมิ่น หล่อนก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

หล่อนชี้ไปที่เสื้อผ้าตัวอย่างในรถเข็นคันเล็กแล้วถามว่า “เธอมาที่นี่ทำไมเหรอ?”

หลินม่ายอธิบายจุดประสงค์ของตัวเองให้ฟัง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สนใจรับฟางถิงไปเป็นพันธมิตรการค้าไหมม่ายจื่อ น่าจะช่วยโปรโมตสินค้าได้เร็วขึ้นนะ

ไหหม่า(海馬)