บทที่ 296: กองทัพผีดิบ
ซูอันไม่คิดว่าคำพูดของเขาจะส่งผลโดยตรงกับจางฮั่นเช่นนี้ ชายหนุ่มถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าทำอะไรผิดงั้นเหรอ?”
ท่ามกลางหมอกสีดำ จางฮั่นยืนสั่นสะท้านราวกับว่าน้ำตากำลังไหลอาบใบหน้าของเขา “แม้ว่าข้าจะต้านทานได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ภายใต้การนำของข้าท้ายที่สุดกองทัพฉินก็ถูกกำจัดจนหมดสิ้น ข้าเป็นคนเดียวที่ทำลายความหวังสุดท้ายของอาณาจักร และสุดท้ายเราก็พ่ายแพ้ให้แก่หกอาณาจักรตะวันออก!*[1]”
ประวัติศาสตร์จากปากของจางฮั่นนั้นไม่ต่างจากที่ซูอันจำได้ เขาเลือกที่จะไม่ถามเรื่องนี้อีกต่อไปด้วยกลัวว่าจะไปกวนใจจางฮั่นมากไปกว่านี้ ชายหนุ่มแสร้งถอนหายใจเฮือกใหญ่และคร่ำครวญว่า “นั่นแหละคือชีวิต มนุษย์ย่อมไม่อาจขัดประสงค์ของสวรรค์ได้”
จางฮั่นตกตะลึง จักรพรรดิที่เขาจำได้มีจิตใจเข้มแข็งและหนักแน่น ดังนั้นการแสดงออกที่ดูอ่อนไหวของอีกฝ่ายจึงทำให้เขารู้สึกเคลือบแคลง
ซูอันหันไปมองที่ทะเลสาบและถามว่า “ว่าแต่ทำไมเมื่อครู่เจ้าถึงแสดงสีหน้าวิตกกังวลใจขนาดนั้น มีอะไรที่ถูกผนึกอยู่ในนั้น?”
นี่คือสิ่งที่เขากังวลมากกว่าการตอบคำถามของจางฮั่น เนื่องจากอีกฝ่ายมีบทบาทส่วนใหญ่อยู่ในยุคของฉินเอ้อร์ซี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ จิ๋นซีฮ่องเต้จะไม่ทราบเรื่องของจางฮั่นสักเท่าไหร่
“มันเป็นวิญญาณของกบฏหลายแสนคนจากหกอาณาจักร เราใช้ผนึกปราบปรามวิญญาณเพื่อผนึกพวกมันไว้ใต้ทะเลสาบจนถึงตอนนี้ แต่ข้าไม่คิดว่าฝ่าบาทจะ…”
“ถ้าอย่างนั้นเราต้องแน่ใจว่าค่ายกลยังคงปกติดี กองทัพของหกอาณาจักรมีความขุ่นเคืองอย่างมากต่ออาณาจักรฉินของเรา ถ้าพวกมันหลุดลอดออกมาได้ อาจจะรบกวนการหลับใหลของจักรพรรดินีของข้า”
คำพูดเหล่านั้นทำให้เปลวไฟสีน้ำเงินในเบ้าตาของจางฮั่นสั่นไหวเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ว่าแต่ขุนนางของข้า ไม่มีทางอื่นที่จะซ่อมแซมค่ายกลแล้วงั้นเหรอ? นางเป็นสหายของข้าในยุคนี้ ข้าขอสั่งให้เจ้าไว้ชีวิตนาง!”
“ฝ่าบาท วิญญาณเหล่านี้ถูกผนึกในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาโดยใช้ค่ายกลที่มีดอกบัวเร้นลักษณ์เป็นแกนกลาง แต่ตอนนี้ดอกบัวเร้นลักษณ์ได้หายไป แกนกลางของค่ายกลจึงถูกทำลายไปแล้ว ผนึกปราบปรามวิญญาณจึงใกล้จะสลายไปทุกที เราต้องใช้เลือดเนื้อของนางเพื่อทำให้เหล่าวิญญาณร้ายสงบลงก่อนที่นางจะดูดซับคุณสมบัติทางยาของ ดอกบัวเร้นลักษณ์ไปจนหมด จากนั้นเราจะได้มีเวลามากขึ้นที่จะคิดหาวิธีอื่นในการเสริมความแข็งแกร่งของค่ายกล! เราควรให้ความสำคัญกับอาณาจักรเป็นอันดับหนึ่ง! ฝ่าบาท ขอทรงพิจารณาใหม่ด้วยเถิด!”
ซูอันรู้สึกหงุดหงิดที่ได้ยินจางฮั่นยืนยันว่าจะใช้เลือดของฉู่ชูเหยียนเป็นเครื่องบูชายัญ เขาไม่ใช่จิ๋นซีฮ่องเต้ และความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่น่าจะเทียบได้กับจักรพรรดิราชวงศ์ฉิน ถ้าจางฮั่นยืนกรานที่จะไม่ฟัง เขาคงไม่สามารถทำอะไรได้…
“อย่างไรก็ตาม เราสามารถปล่อยผู้หญิงคนนี้และให้นางรับใช้ฝ่าบาทแทน” จางฮั่นจับเฉียวเสวี่ยอิงและผลักนางลงคุกเข่าต่อหน้าซูอัน
เฉียวเสวี่ยอิงดิ้นรน แต่นางไม่สามารถเอาชนะแรงของจางฮั่นได้
เมื่อมองเฉียวเสวี่ยอิงที่กำลังคุกเข่าทำหน้ามุ่ยตรงหน้าเขา ชายหนุ่มก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย “ไหนตอนนี้เจ้าช่วยเรียกข้าว่านายท่านหน่อยสิ”
“ถุย!”
เฉียวเสวี่ยอิงถ่มน้ำลายใส่ซูอัน แต่น้ำลายของนางพลาดไปถูกจางฮั่นที่ก้าวมาบังเขาไว้
“เจ้ากล้าดียังไงมาทำหยาบคายใส่ฝ่าบาท? รับโทษตายซะ!” จางฮั่น คำราม หมอกสีดำรอบตัวเขาปั่นป่วนราวกับพายุคลั่ง
“อย่าใส่ใจเลย ข้าจะไว้ชีวิตนาง นางเป็นสหายของข้าเช่นกัน” ซูอันรีบหยุดเขา
“สหาย?” มีวี่แววของการดูถูกในน้ำเสียงของจางฮั่น
หัวใจของซูอันเต้นผิดจังหวะ ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของจางฮั่นดูไม่เคารพเขาเหมือนตอนแรก หรือว่าข้าจะถูกจับได้แล้วงั้นเหรอ? บัดซบเอ๊ย! ผีดิบนี่ฉลาดขนาดนั้นหรือเปล่า?!
ทันใดนั้น พื้นผิวของทะเลสาบก็เริ่มเดือดปุด ๆ ราวกับว่ามีบางอย่างจะฝ่าผ่านชั้นหมอกสีดำบนพื้นผิว ด้านใต้มีร่างโปร่งแสงสีน้ำเงินจำนวนมากที่ดูเหมือนจะดิ้นรนให้พ้นจากทะเลสาบขึ้นมา
ร่างสีน้ำเงินเหล่านี้ดูเหมือนทหารชั้นยอด พวกมันสวมชุดเกราะและถือกระบี่ที่แหลมคม
จางฮั่นตื่นตระหนก ม้าสีดำคู่ใจปรากฏขึ้นข้างเขาอย่างเงียบ ๆ แม่ทัพผีดิบจึงกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างรวดเร็วแล้วรีบควบไปที่ทะเลสาบ
ในเวลาเดียวกัน ทหารดินเผาก็ยกอาวุธขึ้นและพุ่งไปที่ทะเลสาบเช่นกัน
ในเวลาเพียงชั่วครู่ ร่างสีน้ำเงินโปร่งแสงกว่าร้อยร่างก็พุ่งออกมาจากทะเลสาบ พวกมันต่างจากผีดิบทหารตรงที่ไม่มีร่างกาย และดูเหมือนดวงวิญญาณมากกว่า…
เมื่อพวกมันเห็นจางฮั่น พวกมันเริ่มโวยวายใส่กัน แม้ว่าจะแยกแยะเสียงของแต่ละฝ่ายได้ยาก แต่ก็เกรี้ยวกราดมากเกินพอที่จะเผยให้เห็นถึงความเกลียดชังที่ฝังรากลึกมานาน
พวกมันรวมตัวกันเป็นแถวและพุ่งเข้าหาจางฮั่นทันที
“ข้าตาฝาดไปหรือเปล่า?” ซูอันขยี้ตาด้วยความสับสน เขารู้สึกว่ากระบวนทัพที่ทั้งสองฝ่ายใช้ดูคล้ายกันอย่างผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เขารีบวิ่งไปที่โต๊ะหินกลางแท่นบูชาเพื่อพาฉู่ชูเหยียนออกมา
เฉียวเสวี่ยอิงกัดริมฝีปากขณะที่วิ่งไปช่วยฉู่ชูเหยียนด้วยเช่นกัน
“ก่อนหน้านี้เจ้าช่วยข้าไว้ และตอนนี้ข้าตอบแทนแล้ว หนี้ชีวิตเราถือว่าหายกัน!” ซูอันกล่าว
“ขอบคุณ” เฉียวเสวี่ยอิงตอบเบา ๆ แต่หลังจากนั้นไม่นาน นางคร่ำครวญว่า “แต่ก่อนหน้านี้ข้าช่วยเจ้าไว้สองครั้ง หากนับให้ยุติธรรมจริง ๆ เจ้ายังเป็นหนี้ข้าอยู่อีกครั้งหนึ่ง”
ซูอันนิ่งอึ้ง
ผู้หญิงคนนี้นี่ไม่ยอมเสียเปรียบเอาซะเลย!
ซูอันไม่ต้องการทะเลาะกับนางตอนนี้ เขาพุ่งความสนใจไปที่การแก้เชือกสีดำที่ผูกฉู่ชูเหยียนอยู่ ซึ่งเชือกสีดำนี้ก็มีความยืดหยุ่นมากกว่าวัสดุอื่น ๆ ที่เขาเคยเจอมาเสียอีก
เขาทดลองใช้แท่งพิษ แต่ก็ไม่สามารถทำลายมันได้
“หลีกไป!” เฉียวเสวี่ยอิงชูมือขึ้น ใบไม้สีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มหมุนรอบร่างกายของนาง พวกมันคมกริบราวกับมีดโกนขณะพุ่งเข้าหาเชือกสีดำที่มัดฉู่ชูเหยียนไว้
แต่ในทันทีที่ใบไม้สีเขียวสดสัมผัสกับเชือกสีดำ พวกมันก็เริ่มเหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็ว เฉียวเสวี่ยอิงพยายามทำแบบเดิมอีกสองสามครั้ง แต่เชือกสีดำไม่แม้แต่จะมีรอยขีดข่วน การกระทำของนางไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากเสียพลังชี่ไปถึงครึ่งหนึ่งอย่างเปล่าประโยชน์
“เชือกนี้ทำมาจากพลังแห่งความตายของแม่ทัพผีดิบ ระดับการบ่มเพาะของเจ้าแตกต่างกับเขามากเกินไป ดังนั้นเจ้าจึงตัดมันออกไม่ได้” ฉู่ชูเหยียนเอ่ยขึ้น “รีบหนีกันไปเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า!”
อย่างไรก็ตามซูอันก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้วข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร? นอกจากนี้ ข้ายังป้อนดอกบัวเร้นลักษณ์ให้เจ้ากินไปแล้วด้วย! ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้าก็เท่ากับว่าเสียดอกบัวไปเปล่า ๆ น่ะสิ!”
ฉู่ชูเหยียนพูดไม่ออก สุดท้ายซูอันก็ยังเป็นซูอัน
“ไอ้ผีขี่ม้านั่นไม่ได้คุกเข่าให้เจ้าเมื่อกี้เหรอ? สั่งให้มันปล่อยคุณหนูซะสิ!” เฉียวเสวี่ยอิงตะโกนร้อง
ซูอันกลอกตา “เจ้าตาบอดเหรอ? เจ้าไม่เห็นข้าสั่งให้มันปล่อยนางแล้วหรือไงเมื่อกี้นี้?”
เฉียวเสวี่ยอิงหันไปมองทะเลสาบที่จางฮั่นกำลังต่อสู้กับพวกวิญญาณทหารสีน้ำเงินและกัดริมฝีปากด้วยความวิตกกังวล “แล้วเราจะทำยังไง? หากมันจัดการกับพวกวิญญาณนั่นเสร็จแล้ว มันจะต้องกลับมาบูชายัญคุณหนูแน่ ๆ!”
“ข้าจะลองใช้ไม้แข็งดู เขาอาจจะกลัวข้าแล้วไม่อยากขัดใจข้า” เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว เขาคงทำได้แค่เพียงใช้ฐานะของจิ๋นซีฮ่องเต้ในการข่มขู่จางฮั่น
“ฮึ่ม คิดตื้น ๆ!” เสียงกระซิบก็ดังขึ้นข้างหูของเขาอีกครั้ง
“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาสักที!” ซูอันกัดฟันด้วยความโกรธ ปัญหาทั้งหมดนี้เกิดจากเสียงกระซิบผู้หญิงคนนี้มาตั้งแต่แรก
“เจ้ากำลังคุยกับใคร?” หญิงสาวทั้งสองถามด้วยความงุนงง
ซูอันตกตะลึงเมื่อได้ยินคำถามนี้ ทั้งสองคนไม่ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนี้งั้นเหรอ?
“เจ้าคิดว่าจางฮั่นเชื่อจริง ๆ เหรอว่าเจ้าคืออิ่งเจิ้ง? เมื่อเขาจัดการกับวิญญาณพวกนั้นเสร็จแล้ว ไม่เพียงแต่นังผู้หญิงนั่นของเจ้าจะต้องตาย ชะตาของเจ้าเองก็คงไม่ได้ดีไปกว่านางหรอก!” เสียงกระซิบพูดอย่างเย็นชา