บทที่ 297 ผิดพลาด 3 ประการ

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 297 ผิดพลาด 3 ประการ

“ไร้สาระ! ถ้าเขาไม่เชื่อข้า เขาจะคุกเข่าให้ข้าทำไม…เดี๋ยวก่อน ข้าเกือบโดนหลอกซะแล้ว เขาจะทำอะไรข้าได้ ข้าคือฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ฉิน อิ่งเจิ้ง!”

เสียงกระซิบเงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อ

“เจ้ายังจะพูดแบบนี้อีกเหรอ?” เสียงกระซิบเยาะเย้ย “แล้วเจ้ารู้มั้ยว่าข้าเป็นใคร?”

“เจ้าคือ…” ชายหนุ่มกำลังจะตอบ แต่จู่ ๆ เขาก็จำบทบาทของตนได้และรีบเปลี่ยนคำตอบอย่างรวดเร็ว “เจ้าเป็นภรรยาของข้า ฮองเฮาแห่งราชวงศ์ฉิน?”

เสียงกระซิบว่าต่อ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ควรจะพูดจาไร้สาระต่อหน้าข้าไม่ใช่เหรอ?”

ซูอันเกาหัวอย่างเขินอาย “จะให้ข้าพูดยังไงดี? ข้าเพิ่งฟื้นความจำขึ้นมาได้ มีหลายเรื่องที่ข้ายังจำไม่ได้…”

“หุบปาก! ข้าจะจำสามีของตัวเองไม่ได้ได้อย่างไร อย่าเอาเรื่องไร้สาระที่เจ้าหลอกจางฮั่นมาใช้กับข้า!”

“นอกจากนี้ เจ้าหลอกจางฮั่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” เสียงกระซิบของสตรียังเยาะเย้ยเขาต่อ

“เจ้าหมายถึงอะไร?” ซูอันจำได้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรบางอย่างที่คล้ายกันมาแล้วก่อนหน้านี้ จางฮั่นจับโกหกเขาได้แล้วจริง ๆ เหรอ?

“เจ้าทำผิดพลาดกับจางฮั่นสามครั้ง” เสียงกระซิบกล่าว “อย่างแรก อิ่งเจิ้งเป็นทรราชที่โหดเหี้ยมไม่รู้จักความเห็นอกเห็นใจ ถ้าเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริง ๆ แล้วรู้ว่าจางฮั่นเป็นต้นเหตุที่ทำให้กองทัพอาณาจักรฉินพ่ายแพ้ อิ่งเจิ้งจะไม่มีทางไว้ชีวิตจางฮั่นแน่นอน!”

“ข้ายังอ่อนแอเพราะเพิ่งฟื้นความทรงจำ การที่ข้าพยายามรอมชอมกับเขาก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกนี่” ซูอันรู้สึกว่าเขามีอารมณ์ร่วมอยู่กับการแสดงมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ไม่ผิดที่เจ้าจะพยายามรอมชอมกับเขา แต่คำพูดของเจ้าดูอ่อนแอเกินไป เจ้าพูดว่า ‘นั่นแหละคือชีวิต มนุษย์ย่อมไม่อาจขัดประสงค์ของสวรรค์ได้’ ซึ่งนั่นไม่ใช่บุคลิกของอิ่งเจิ้งแม้แต่น้อย อิ่งเจิ้งเชื่อว่าวาสนาของเขาเหนือกว่าสามราชาห้าจักรพรรดิ และมองว่าการดำรงอยู่ของตัวเองทัดเทียมกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เขาจะพูดจายอมจำนนต่อสวรรค์ได้อย่างไร?” เสียงกระซิบเย้ยหยัน

ซูอันเงียบไป เขาเคยเป็นนักเลงคีย์บอร์ดและอาจจะสามารถครองชุมชนออนไลน์ได้ แต่การแสร้งทำเป็นฮ่องเต้องค์แรกโดยไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้านั้นเกินความสามารถของเขาไปมาก…

“ข้อผิดพลาดที่สองที่เจ้าทำคือการอ้างว่าผู้หญิงผมหางม้าเป็นสหายของเจ้า” เสียงกระซิบกล่าว

“มันแปลกตรงไหนล่ะ?” ซูอันถามด้วยความสงสัย

“อิ่งเจิ้งเป็นคนหยิ่งยโส เขาจะไม่ยอมให้ใครมาเท่าเทียมกับตัวเองได้ นับประสาอะไรกับการมีสหายสักคน เจ้าอาจจะเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าผู้ใต้บังคับบัญชา คนใช้ หรือแม้แต่ของเล่นก็ได้ ซึ่งจางฮั่นจะไว้ชีวิตนาง แต่เจ้ากลับเลือกที่จะเรียกนางว่าสหายของเจ้า…” เสียงกระซิบอธิบาย

ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ นี่อธิบายได้ว่าทำไมน้ำเสียงของจางฮั่นถึงเปลี่ยนไปหลังจากที่เขาพูดว่าเฉียวเสวี่ยอิงเป็นสหายของเขา

แต่อย่างไรก็ตาม เขายังไม่อยากยอมแพ้และพยายามเถียงว่า “ฮึ่ม! ข้าเป็นคนใหม่แล้วหลังจากได้ชีวิตใหม่ ทำไมบุคลิกข้าจะไม่เปลี่ยนไปบ้างล่ะ? เขามั่นใจได้ยังไงว่าข้าเป็นตัวปลอม?”

“บุคลิกภาพของคนจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ได้ยังไง? นอกจากนี้ เจ้ายังมีข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงกว่านั้นอีกนอกจากสองข้อนั้น” เสียงกระซิบ กล่าว

“มันคืออะไร?” หัวใจของซูอันเต้นผิดจังหวะ

“เจ้าบอกเจ้ากังวลว่าวิญญาณจากทะเลสาบจะมารบกวนข้าหากพวกเขาออกมาได้?” เสียงกระซิบเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“มันผิดอะไร? ยังไงเหรอ?” ชายหนุ่มยังรู้สึกสับสน

แทนที่จะตอบคำถามโดยตรง เสียงกระซิบกลับถามว่า “เจ้ารู้ไหมว่าวิญญาณพวกนั้นเป็นใคร?”

“เป็นวิญญาณของกบฏจากหกแคว้นทางตะวันออกไม่ใช่เหรอ?” ซูอันถาม

“ฮ่า ๆ! หากเจ้าต้องการแสดงเป็นอิ่งเจิ้ง เจ้าไม่ควรเชื่อคำพูดของคนอื่นง่าย ๆ!” เสียงกระซิบหัวเราะเยาะเย้ย “วิญญาณเหล่านั้นไม่ใช่กบฏของหกแคว้นตะวันออก แต่เป็นทหาร 200,000 นายจากกองทัพหลวงของราชวงศ์ฉิน!”

“ห๊ะ?!” ซูอันอุทานอย่างตกใจ

“ในตอนนั้น จางฮั่นในฐานะเสนาบดี มีหน้าที่ควบคุมเชลยที่เทือกเขาหลี่ในการสร้างสุสานของจักรพรรดิ และเมื่อราชวงศ์ฉินกำลังตกอยู่ในอันตราย เขานำเชลยจากเทือกเขาหลี่เอาชนะกองทัพทหาร เนื่องด้วยการสนับสนุนของเขา ราชสำนักจึงเริ่มจัดหาทหารให้เขามากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดก็มอบหมายตำแหน่งแม่ทัพกองทัพหลวงให้กับเขา

“จางฮั่นมีความสามารถพอสมควร และด้วยทักษะของเขา เขาได้ปราบปรามศัตรูและเกือบจะจบสงครามทั้งหมดได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม … เขาได้พ่ายแพ้ให้กับ เซี่ยงอวี่ผู้นำกบฏแคว้นฉู่*[1] และเขาก็พ่ายแพ้อีกครั้งใน ยุทธการจั้งอู่เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังรู้สึกผิดใจกับ จ้าวเกา*[2] ด้วยความกลัวว่าตัวเองจะถูกฆ่า เขาจึงหันไปอยู่ฝั่งเดียวกับเซี่ยงอวี่ เขานำทหารชั้นยอด 200,000 นายของราชวงศ์ฉิน เข้าต่อสู้กับเซี่ยงอวี่ แต่แกล้งแพ้จนทหารทั้งหมดต้องตายลง”

“วิญญาณที่ถูกผนึกไว้ใต้ทะเลสาบคือวิญญาณของทหารกองทัพหลวง 200,000 นายของราชวงศ์ฉิน”

ซูอันตื่นตระหนก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมวิญญาณในทะเลสาบจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อจางฮั่น…ที่แท้พวกเขาถูกทรยศ!

“ดังนั้น พวกเขาจะไม่รบกวนเจ้าเพราะพวกเขาเป็นทหารของอาณาจักรฉิน?” ซูอันพยายามหาคำตอบว่าเขาผิดพลาดตรงไหน

“ไม่ใช่ เป็นเพราะอิ่งเจิ้งจะไม่กังวลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้” เสียงกระซิบตอบ

ซูอันยังคงรู้สึกสับสน…

ทำไมเจ้าไม่ยอมพูดครั้งเดียวจนจบ บอกครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทิ้งปริศนาให้ข้าต้องคอยถามอย่างนี้ มันเหนื่อยนะ รู้บ้างมั้ย?!

“เจ้ารู้ไหมว่าจางฮั่นกำลังทำอะไรอยู่ก่อนที่เขาจะนำทหารไปปราบกบฏ?”

“ก่อนหน้านั้นเจ้าก็บอกข้าไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็นผู้รับผิดชอบสร้างสุสานของจักรพรรดิหรืออะไรทำนองนั้น?” ซูอันถามกลับ

“พูดให้ถูกคือ เขาไม่ได้สร้างสุสานของจักรพรรดิ แต่เป็นสุสานของฮองเฮา” เสียงของผู้หญิงคนนั้นตอบ

“สุสานฮองเฮา?” ซูอันตกตะลึง “มีเรื่องอย่างนั้นด้วยเหรอ? ข้าจำไม่ได้ว่ามีบันทึกประวัติศาสตร์แบบนั้นด้วย อันที่จริงจิ๋นซีฮ่องเต้ไม่มีฮองเฮา ด้วยซ้ำ”

“นั่นเป็นเพราะอิ่งเจิ้งทำลายบันทึกเกี่ยวกับข้าทั้งหมด เช่นเดียวกับที่เขาจุดไฟเผาหนังสือขงจื๊อทั้งหมด” เสียงกระซิบตอบ “ในเมื่อเจ้าเข้าใจประวัติศาสตร์ดีขึ้นแล้ว จากแซ่ของข้าเจ้าน่าจะเดาที่มาของข้าได้”

“เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นฉู่?” ซูอันถาม

“อันที่จริงข้ามาจากแคว้นฉู่ เนื่องจากตำแหน่งของข้าในฐานะฮองเฮาจึงมีขุนนางจำนวนมากที่มีตำแหน่งสูงในอาณาจักรฉินมาจากแคว้นฉู่ ในตอนเริ่มต้น ความเห็นของเราสอดคล้องกับอิ่งเจิ้ง ดังนั้นเราจึงช่วยเขาปกครองอาณาจักรรวมทั้งปราบกบฏทั้งหมดที่เกิดขึ้น

“น่าเสียดายที่อิ่งเจิ้งมีความทะเยอทะยานมากเกินไปและต้องการครองโลก และแคว้นฉู่ก็เปรียบได้เหมือนท่อนไม้ที่ขวางทางเช่นกัน ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้งระหว่างเรา ท่านลุงของข้าซึ่งเป็นเสนาบดีของฉินแต่หัวใจยังคงเป็นคนแคว้นฉู่อย่างเต็มตัว ดังนั้นเมื่อฉินบุกจู่โจมครั้งแรก ลุงของข้าจึงได้ระดมทหารของเขาและก่อกบฏ ส่งผลให้ฉินพ่ายแพ้อย่างเลวร้ายที่สุด”

“อิ่งเจิ้งโกรธเคืองเรา เขามอบหมายทหาร 600,000 นายให้กับหวังเจี้ยน*[3] และมอบหมายให้เขากำจัดชาวฉู่และล้างอิทธิพลทั้งหมดของแคว้นฉู่ ในอาณาจักรฉิน ในฐานะองค์หญิงแห่งแคว้นฉู่ ข้าจึงถูกโจมตีเป็นคนแรก”

“ไม่นานข้าก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และขุนนางทั้งหมดจากแคว้นฉู่ ในอาณาจักรฉินก็ถูกสังหารเช่นกัน แม้แต่ลูกชายของข้า ฝูซู ที่มีสายเลือดชาวแคว้นฉู่อยู่ครึ่งหนึ่ง ก็เสียสิทธิ์ในการสืบทอดตำแหน่งและถูกเนรเทศไปที่ชายแดนเพื่อสร้างมหากำแพง…”

ซูอันตกตะลึง “ฝูซูเป็นลูกของเจ้าเหรอ”

“เจ้ามีปัญหางั้นเหรอ?” หมี่ลี่ถามเสียงเย็น

“ไม่…ไม่แน่นอน…ไม่ใช่…ไม่มีปัญหา…” ซูอันตอบอย่างตะกุกตะกัก เขาเคยจินตนาการว่านางเป็นพี่สาวที่สวยและสง่างาม แต่ในความจริง นางกลายเป็นคุณป้าที่มีลูกแล้ว ช่างทำลายจินตนาการของเขายิ่งนัก

ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจ มีการโต้เถียงกันมากมายเกี่ยวกับการสืบราชบัลลังก์ต่อจากจิ๋นซีฮ่องเต้ หลายคนเชื่อว่า ฝูซู ในฐานะลูกชายคนโตควรสืบทอดบัลลังก์ต่อจากบิดาของเขา เพียงแต่ว่า หูไห่*[4] หลี่ซือ และ จ้าวเกา วางแผนแย่งชิงบัลลังก์จากฝูซู จากนั้นให้หูไห่ผู้เป็นน้องขึ้นครองราชย์แทน…

ถึงกระนั้น นักประวัติศาสตร์ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจิ๋นซีฮ่องเต้จึงส่งฝูซูลูกชายคนโตออกจากเมืองหลวงไปยังชายแดน บางคนอ้างว่าเขาตั้งใจจะทำให้ฝูซูสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเมิ่ง*[5] และกองทัพเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสืบทอดตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีบางคนที่กล่าวว่านี่เป็นเพียงการกระทำของฝูซูที่ถูกเนรเทศไม่เกี่ยวอะไรทั้งนั้นกับเจตจำนงค์ของจิ๋นซีฮ่องเต้

แต่ในความเป็นจริงแล้วฝูซูกลับสูญเสียสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์เนื่องจากสายเลือดของมารดา!

“อิ่งเจิ้งเกลียดผู้หญิงยิ่งกว่าอะไร เนื่องความสัมพันธ์ทางประเวณีของพระชนนีกับเล่าไอ่ และการพ่ายแพ้อย่างน่าเศร้าที่อาณาจักรฉินได้รับจากแคว้นฉู่ ก็ยิ่งทำให้ความเกลียดชังของเขาที่มีต่อข้ามากขึ้นไปอีก เขาไม่พอใจแค่การปลดตำแหน่งของข้า เขายังสั่งให้จางฮั่นสร้างสุสานนี้เพื่อปิดผนึกข้า เกรงว่าข้าจะแก้แค้นเขาในอนาคต ดังนั้นถ้าเจ้าเป็น อิ่งเจิ้งจริง ๆ ทำไมเจ้าถึงจะมาสนใจว่าทหารเหล่านั้นจะมารบกวนความสงบของข้า” หมี่ลี่เยาะเย้ย

ในที่สุดชายหนุ่มก็เข้าใจว่ามันผิดพลาดตรงไหน ให้ตายสิ ทำไมแวดวงขุนนางมันต้องวุ่นวายขนาดนี้!

“เดี๋ยวนะ ท่านป้า ข้ามีคำถาม…”

“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” หมี่ลี่ถามกลับด้วยเสียงขุ่นเคือง

[1] เซี่ยงอวี่ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในปีสุดท้ายของราชวงศ์ฉิน เขาเป็นหัวหน้ากบฏที่มาจากแคว้นฉู่ เขาสามารถเอาชนะกองทัพของราชวงศ์ฉินได้ แต่น่าเสียดายที่ภายหลังเขาพ่ายแพ้ต่อ หลิวปัง ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น

[2] จ้าวเกา เป็นขันทีที่เป็นที่รู้จักว่าทรงอิทธิพลมากในราชวงศ์ฉิน เป็นผู้ใช้ฮ่องเต้หุ่นเชิด คือ ฉินเอ้อร์ซี

[3] หนึ่งในแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของอาณาจักรฉินในตอนนั้น

[4] ชื่อเกิดของ ฉินเอ้อร์ซี ผู้สืบทอดต่อจาก จิ๋นซีฮ่องเต้

[5] ตระกูลเมิ่ง เป็นตระกูลใกล้ชิดที่สุดของ จิ๋นซีฮ่องเต้ กำแพงเมืองจีนนั้นได้รับการปกป้องจากตระกูลเมิ่ง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนถึงคิดว่า ฝูซูอยู่ที่นั่นเพื่อผูกสัมพันธ์กับตระกูลเมิ่ง