บทที่ 298 จูงใจให้ทำตาม
ซูอันถึงกับพูดไม่ออก ผู้หญิงมีลูกแล้ว แต่ยังไม่อยากให้ใครเรียกว่าป้า? งั้นข้าควรเรียกเจ้าว่าอะไรดี? น้องลี่?
แม้ว่าชายหนุ่มจะโต้ตอบภายในใจอย่างดุเดือด แต่เขาก็เป็นคนที่ยืดหยุ่นและเปลี่ยนท่าทีของเขาอย่างรวดเร็ว “พี่หญิงใหญ่ จากประวัติศาสตร์ที่ข้ารู้ จิ๋นซีฮ่องเต้และจางฮั่นน่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดา พวกเขาไม่ควรมีพลังลึกลับเช่นนี้ แต่ทำไมตอนนี้มันกลายเป็นว่า จางฮั่นกลายเป็นผีดิบที่เป็นอมตะและมีพลังมหาศาล และพี่หญิงใหญ่ก็ดูเหมือนว่าท่านจะมีชีวิตอยู่มาหลายพันปีแล้วเช่นกัน…”
“ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกท่าน ทำไมถึงถูกนำตัวมาสู่โลกแห่งการบ่มเพาะนี้ และท่านเรียนรู้ความสามารถพวกนี้มาจากไหน?”
หมี่ลี่รู้สึกสับสน “โลก? ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด เราอยู่บนโลกนี้มาโดยตลอด และแน่นอนว่าความสามารถของเรานั้นเป็นสิ่งที่เราเข้าใจอย่างช้า ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ถ้าไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของจางฮั่น แล้วเขาจะกลายมาเป็นหนึ่งในเก้าเสนาบดีได้อย่างไร?”
“ที่จางฮั่นเป็นอย่างในปัจจุบันนี้นั่นเป็นเพราะเขาเคยฝึกฝนวิชาธาตุมืดบางอย่างตอนที่ยังมีชีวิตโดยเสนอร่างกายของเขาเองเพื่อให้ได้ชีวิตนิรันดร์”
ซูอันรู้สึกงุนงง “พวกท่านอยู่ในโลกนี้มาแต่แรกงั้นเหรอ?”
เขาสับสนอย่างมาก ดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่โลกนี้มีราชวงศ์และเหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นกับโลกก่อนหน้านี้ของเขา ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างสองโลกคือโลกนี้มีการบ่มเพาะเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังวิเศษ
นี่เป็นเหมือนโลกคู่ขนานหรือไม่?
เมื่อทบทวนสิ่งที่เขารู้มาจนถึงตอนนี้ เขาคิดได้ว่าอาจมีบางสิ่งที่สำคัญเกิดขึ้นในโลกนี้หลังราชวงศ์ชิง*[1] ส่งผลให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ในอารยธรรม ไม่นานนักก่อนที่อารยธรรมจะเริ่มฟื้นคืนชีพ
อารยธรรมใหม่ไม่เพียงแต่มีมนุษย์เท่านั้นแต่ยังมีสิ่งมีชีวิตประหลาด ๆ หลายอย่างอีกด้วย ในการต่อสู้เพื่อทรัพยากร สงครามทั้งหลายได้ปะทุขึ้นจนในที่สุด ฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์โจวก็สามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดและบรรลุชัยชนะของมนุษยชาติ ขับไล่เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ทั้งหมดออกไปทนทุกข์ทรมานที่ชายแดน
สำหรับราชวงศ์ทั้งหมดก่อนที่จะมีช่องว่างขนาดใหญ่ในอารยธรรม ผู้คนในโลกนี้เรียกรวมกันว่า ‘ยุคโบราณ’
ทันใดนั้นเสียงของหมี่ลี่ก็ทำลายภวังค์ความคิดของเขา “เจ้าถามมากไปแล้ว รีบตัดสินใจเสีย เมื่อจางฮั่นปรามปรามวิญญาณเหล่านั้นเสร็จ มันจะเป็นจุดจบของพวกเจ้าทั้งหมด!”
ซูอันถามกลับอย่างรวดเร็ว “ตัดสินใจเรื่องอะไร?”
“ช่วยข้าให้หลุดพ้นจากผนึก ข้าเป็นคนเดียวที่นี่ที่สามารถจัดการกับ จางฮั่นได้!” หมี่ลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงอำนาจ
“โอ้…” ในที่สุดซูอันก็ตระหนักได้ “ท่านยุให้ข้าเด็ดดอกบัวเร้นลักษณ์ ออกมาเพื่อให้วิญญาณเหล่านั้นสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายเพื่อที่ท่านจะได้หาโอกาสหลบหนีใช่มั้ย?”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม? ข้าจะใช้ทุกตัวเลือกที่มี ให้ได้ในสิ่งที่ข้าต้องการ ไม่ได้หรือไง?” หมี่ลี่ถามกลับ
“ว่าแต่ตามที่ข้าเข้าใจท่านควรจะแข็งแกร่งมาก ๆ ไม่ใช่หรือไง ทำไมท่านไม่ทำลายผนึกเองแล้วออกมาสู้กับจางฮั่นตรง ๆ? ทำไมท่านต้องทำอะไรอ้อมโลกด้วย? ชายหนุ่มตอบโต้ด้วยคำถามอย่างข้องใจ
“ไร้สาระ! ผนึกนี้อิ่งเจิ้งสร้างขึ้นโดยใช้พลังแห่งราชวงศ์ฉิน! มันจะถูกทำลายง่ายขนาดนั้นได้ยังไง!”
—
ท่านยั่วยุหมี่ลี่สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 233!
—
“แต่ข้าไม่รู้ว่าจะเชื่อสิ่งที่ท่านพูดได้มั้ย? ข้าได้ยินมาว่าท่านน่ากลัวกว่า จางฮั่นเสียอีก ในความคิดของข้าคนที่จำเป็นต้องถูกปิดผนึกเอาไว้จะต้องเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดแน่ ๆ ถ้าท่านเป็นตัวอันตรายแบบนั้นจริง ๆ แล้วข้าปล่อยท่านออกมา มันจะไม่เท่ากับว่าข้าแส่หาเรื่องตายงั้นหรือไง?!”
ถึงซูอันจะพูดแบบนี้แต่ตอนนี้เขาเชื่อในตัวหมี่ลี่อยู่บ้าง เพราะรายละเอียดทั้งหมดที่นางเล่ามานั้นตรงกับประวัติศาสตร์ที่เขารู้จัก
“แล้วทหารฉินผู้บริสุทธิ์ 200,000 กว่านายที่ถูกฆ่าและผนึกไว้ใต้ทะเลสาบล่ะ? เจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นคนร้ายด้วยหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มเริ่มพูดไม่ออก
“นอกจากนี้ เจ้าไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อจางฮั่นจัดการกับวิญญาณทหารฉินเสร็จแล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะต้องถูกฆ่าอย่างแน่นอน” หมี่ลี่พยายามชักจูง
ในขณะเดียวกัน ฉู่ชูเหยียนและเฉียวเสวี่ยอิงต่างรู้สึกงุนงงเมื่อเห็นว่าซูอันพูดกับตัวเอง แต่ก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงของผู้หญิงลึกลับในที่สุด
“ค…ใครพูด!?” เฉียวเสวี่ยอิงมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างระมัดระวัง
ฉู่ชูเหยียนก็ตื่นตระหนกเช่นกัน แต่นางรู้สึกว่าเสียงนี้ฟังดูคุ้นเคย เหมือนเคยได้ยินเสียงนี้ในสภาวะตอนที่นางบาดเจ็บและมีสติเลือนราง
“พวกเจ้าหานางไม่เจอหรอก อย่าเสียเวลาเลย นางเป็นเจ้าของถ้ำสุสานแห่งนี้แหละ” ซูอันอธิบาย
“เจ้าของสุสานเหรอ…” เฉียวเสวี่ยอิงหน้าซีด แม้แต่แม่ทัพยังแข็งแกร่งจนพวกนางไม่อาจเป็นคู่มือได้ แล้วเจ้าของสุสานจะแข็งแกร่งขนาดไหน
“อาซู ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่อย่าเสี่ยงทำตามคำขอของนาง ข้าเป็นคนพิการคนหนึ่ง ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมีชีวิตอยู่ เจ้าควรรีบหนีไปกับเสวี่ยเอ๋อร์แทน” ฉู่ชูเหยียนผู้มีไหวพริบเฉียบแหลมคิดออกทันทีว่าเสียงกระซิบพยายามชักจูงให้ซูอันทำตามโดยใช้ชีวิตของนางเป็นแรงจูงใจ
ในเวลาเดียวกัน นางก็ตระหนักว่าการเกลี้ยกล่อมให้ซูอันทิ้งนางไว้ย่อมไม่มีประโยชน์ นางได้พูดมานับไม่ถ้วนตลอดทาง แต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้นนางจึงหันไปหาเฉียวเสวี่ยอิงและกล่าวว่า “เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าดีกับเจ้ามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา รีบพาอาซูไปซะ! ก่อนที่แม่ทัพผีดิบทหารจะกลับมา!”
เฉียวเสวี่ยอิงลังเล นางไม่สามารถทิ้งฉู่ชูเหยียนไว้ได้ แต่สมองส่วนวิเคราะห์เหตุและผลของนางบอกว่า ต่อให้นางอยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะแค่จะทำลายเชือกที่ผูกฉู่ชูเหยียน นางก็ยังทำไม่ได้เลย
“รีบหนีไปซะ!” ฉู่ชูเหยียนตะโกน
เฉียวเสวี่ยอิงกัดริมฝีปากและตัดสินใจที่จะหนีไปกับซูอันตามความปรารถนาของฉู่ชูเหยียน แต่แล้วเสียงกระซิบลึกลับนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมายที่จะมีชีวิตอยู่เพราะเจ้าใช้วิชาต้องห้ามและจบลงด้วยการทำลายเส้นลมปราณจนกลายเป็นคนพิการ แต่ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าฟื้นตัวและก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้”
ฉู่ชูเหยียนตกตะลึง ในฐานะที่นางเป็นอัจฉริยะที่สูงส่งแห่งเมืองจันทร์กระจ่าง การสูญเสียการบ่มเพาะมีผลกระทบอย่างมากต่อจิตใจของนาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข้อเสนอของหมี่ลี่ดึงดูดใจนางมาก แต่ในที่สุดนางก็เลือกที่จะปฏิเสธ “ไม่ มันไม่จำเป็นหรอก…เสวี่ยเอ๋อร์…รีบพาอาซูออกไป!”
อย่างไรก็ตาม ซูอันไม่สนใจฉู่ชูเหยียน เขาถามหมี่ลี่เพื่อความแน่ใจ “ท่านมีวิธีที่จะทำให้นางฟื้นตัวจริงเหรอ?”
“แน่นอน!” หมี่ลี่ตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ต้องทำยังไงบ้าง?”
“เจ้าคิดว่าข้าโง่เหรอ? ถ้าข้าบอกเจ้าตอนนี้ ข้าจะเหลืออะไรไว้ต่อรองกับเจ้าล่ะ!” หมี่ลี่ตะคอกอย่างไม่อดทน
“ก็ได้! งั้นข้าจะทำลายผนึกตามคำขอของท่าน แต่ท่านต้องช่วยนาง!”
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เขาจึงตัดสินใจเดิมพันอีกครั้ง
ฉู่ชูเหยียนตกใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น “อาซู อย่าหลงกลนาง เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำอะไร ทำไมเจ้ายังไม่พาเขาออกไปอีก!”
เฉียวเสวี่ยอิงส่ายหัวและพูดว่า “คุณหนู แม้ว่าข้าจะไม่ชอบซูอัน แต่ครั้งนี้ข้าคงต้องยอมให้เขาทำตามใจ นี่เป็นโอกาสที่หายากสำหรับการแก้ไขความพิการของร่างกายท่าน ข้ายอมเสี่ยง! อย่างมากที่สุดพวกเราก็แค่ตายด้วยกัน!”
ข้าไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว…และสำหรับซูอัน การดำรงอยู่ของเขาเองก็เป็นเหมือนโรคระบาดต่อสิ่งมีชีวิตในโลก การตายของเขาจะเป็นพรแก่สิ่งมีชีวิตทั้งหมด! ฮึ่ม!
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนตัดสินใจแล้ว ฉู่ชูเหยียนรู้สึกประทับใจกับพวกเขา แต่นางไม่ใช่คนประเภทที่จะพูดคำหวาน ดังนั้นนางจึงได้แต่เก็บความซาบซึ้งไว้ในใจของตัวเอง
“ต้องทำยังไงบ้าง ถึงจะทำลายผนึกของท่านได้? ข้าต้องดึงยันต์อะไรออกหรือเปล่า?” ซูอันถาม
“มันจะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง” หมี่ลี่ตอบ “อิ่งเจิ้งได้สร้างผนึกนี้ขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าข้าจะไม่สามารถกลับชาติมาเกิดได้ ส่วนจางฮั่นเป็นผู้ดูแลสุสานแห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงร่วมมือกับเซี่ยงอวี่ใช้พลังของผนึกปราบปรามวิญญาณและดอกบัวเร้นลักษณ์เพื่อสร้างผนึกปราบปรามวิญญาณปลอมขึ้นมาอีกผนึกเพื่อควบคุมวิญญาณของทหารทัพฉิน 200,000 ดวง
“ผนึกปราบปรามวิญญาณปลอม ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าปลอม ดังนั้นเจ้าจึงสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เด็ดดอกบัวเร้นลักษณ์ออกมา อย่างไรก็ตาม…ผนึกปราบปรามวิญญาณที่แท้จริงนั้นแตกต่างออกไป หากเจ้าต้องการปลดผนึก เจ้าจะต้องทำลายองค์ประกอบของมันซึ่งประกอบไปด้วยผนึกมนุษย์ ผนึกปฐพี และผนึกสวรรค์”
ชายหนุ่มรู้สึกทึ่ง “โว้ว ชีวิตของท่านนี่น่าเศร้าจริง ๆ นี่พวกท่านสองคนไม่ใช่คนรักกันหรือไง? ทำไมเขาถึงเกลียดท่านมากขนาดนี้?”
“หุบปาก!” หมี่ลี่ตะคอก คำพูดของซูอันได้ตอกย้ำความทรงจำอันเลวร้ายในใจของนาง
—
ท่านยั่วยุหมี่ลี่สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 250!
—
“ถ้าท่านไม่บอก ข้าจะช่วยท่านได้ยังไง?” ซูอันคร่ำครวญ “ผนึกทั้งสามที่ท่านพูดถึงคืออะไร? และข้าจะทำลายพวกมันได้ยังไง?”
หมี่ลี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่นางจะพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า “ข้า…ไม่รู้”
ซูอันถึงกับนิ่งงัน…
[1] ราชวงศ์สุดท้ายของจีนก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะปะทุ