ตอนที่ 599 นางไม่ใช่ ตอนที่ 600 เรื่องที่ทั้งสองฝ่ายล้วนเต็มใจ

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 599 นางไม่ใช่ / ตอนที่ 600 เรื่องที่ทั้งสองฝ่ายล้วนเต็มใจ
ตอนที่ 599 นางไม่ใช่

ซ่งสวินนิ่งอึ้งไป จากนั้นไม่ทันไรก็กล่าวขึ้น “มิใช่อยู่แล้ว ลู่ข่ายเป็นผู้มีพรสวรรค์และเรียนดี ข้าชื่นชมในความสามารถของเขาอย่างแท้จริง ส่วนคุณหนูตระกูลลู่ นั่นยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีมูลแต่อย่างใด เพียงแค่เคยมองเห็นจากไกลๆ ครั้งสองครั้ง”

“ก็ดีเจ้าค่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงลำดับเรื่องงานแต่งของตัวเองไปไว้ด้านหลังล่ะเจ้าคะ” ซ่งอิงถาม

“เพียงแค่ยังไม่เจอผู้ที่เหมาะกันเท่านั้นเอง” ซ่งสวินยิ้มเล็กน้อย “อาอิง วางใจเถิด ข้ารู้จักประมาณตน”

“ท่านอย่าได้บอกข้าเชียวนะว่าการประมาณตนของท่านก็คือสอบติดขุนนางและมีชื่อเสียงเกียรติคุณ จากนั้นถูกวงศ์ตระกูลบรรดาศักดิ์หมายปองแล้วจึงไปสู่ขอบุตรสาวของตระกูลเขา” ซ่งอิงเห็นดังกล่าวก็เข้าใจได้ทะลุปรุโปร่ง

ตามจริงนางและซ่งสวินไม่ได้คลุกคลีกันมากนัก ทุกครั้งที่เจอหน้าก็แค่พูดคุยกันไม่กี่ประโยคเท่านั้นเอง

แต่จากเรื่องราวก่อนหน้านี้เหล่านั้น หลายต่อหลายครั้งนางล้วนมองออกว่าภายนอกของซ่งสวินดูอ่อนโยนและใสซื่อ แต่ในความเป็นจริงเขาไม่ใช่บุรุษที่ดีงามบริสุทธิ์ไร้ความเจ้าเล่ห์อย่างนั้นแม้แต่น้อย

ก็อย่างเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนลู่ เขาข่มขู่ผู้อื่นไปถึงต้นตระกูลได้ ย่อมเป็นคนหนึ่งที่เจ้าแผนการและมีไหวพริบเหลือล้นเป็นแน่

กล่าวอย่างง่ายๆ เขาก็คือคนหนึ่งที่แค้นฝังใจ!

นางคิดว่านิสัยประเภทนี้ดีมาก ไม่ต้องกังวลใจว่าในอนาคตเขาจะถูกหลอกเอาได้

แต่ก็เพราะความที่ซ่งสวินไม่ธรรมดา ดังนั้นเรื่องทางด้านจวนโหวนั่น เขาต้องจำฝังใจ ไม่เคยลืมเลือนเลยเป็นแน่

อีกทั้ง ตอนแรกที่นางโน้มน้าวให้ซ่งสวินเล่าเรียนหนังสือ ก็ได้เอ่ยถึงเรื่องจวนโหวไว้ด้วยเช่นกัน เขาจึงได้ยินยอมเห็นดีด้วย ดังนั้นตั้งแต่แรกเริ่ม ทางด้านจวนโหวก็คือศัตรูของซ่งสวินไปเสียแล้ว!

“ท่านพี่ ถ้าหากมีวันหนึ่ง ที่ข้าพูดคือถ้าหากนะเจ้าคะ ท่านสอบจิ้นซื่อผ่าน ได้เป็นขุนนางแล้ว มิหนำซ้ำยังโชคดีทีเดียว มีงานการที่มั่นคง หรือไม่ก็ได้คบหาสมาคมกับผู้สูงส่งและทรงอิทธิพล ราบรื่นไปเสียทุกอย่าง ท่านจะทำอะไรหรือ” ซ่งอิงเห็นซ่งสวินนิ่งเงียบ จึงเอ่ยถามเขาอีกครั้ง

“แน่นอนว่าต้องดูแลคนในครอบครัวให้ดี ชี้นำสั่งสอนบรรดาน้องชาย พยายามก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จะได้นำมาซึ่งความมั่นคงถาวรของพวกเรา” ซ่งสวินยิ้มเล็กน้อย

“เช่นนั้นจวนเหยียนผิงโหวล่ะเจ้าคะ” ซ่งอิงยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้มสักเท่าไร

“…” ซ่งสวินนิ่งเงียบ

เขาไม่ได้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขนาดนั้น แต่กลับมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ไม่น้อย

แม้ว่าไม่อาจทำให้คนของจวนเหยียนผิงโหวเป็นฝ่ายเสียเปรียบอะไรนัก แต่ก็ต้องคิดหาวิธีทำให้ผู้ที่ตัดนิ้วเท้าของน้องสาวเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นบ้าง!

ยิ่งไปกว่านั้น…

ซ่งสวินมองซ่งอิงแวบหนึ่ง

เขากับน้องสาวเติบใหญ่มาด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต อุปนิสัยใจคอของอาอิงครอบครัวเขาเป็นเช่นไรไม่มีใครรู้ชัดแจ้งไปกว่าเขา อาอิงมีนิสัยซื่อสัตย์จริงใจ ไม่ชอบโต้เถียงใคร และดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย นางเป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง

แม้ว่าอยู่จวนโหวมาสองปี ก็ไม่ถึงขั้นจะทำให้กลายเป็นคนละคนได้…

แล้วนับประสาอะไรกับที่สองปีนั้นนางได้รับความทุกข์ระทมมาโดยตลอด หลังจากกลับมาก็อ่อนแอล้มป่วย มีนิสัยนิ่งเงียบมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่จู่ๆ ในวันนั้น นางก็เหมือนกับว่าคิดได้แล้ว จึงเปลี่ยนมาเริงร่าและดูผ่อนคลายขึ้นมา

เขาเคยลองเชื่อเช่นกันว่า น้องสาวที่รู้ความไปเสียทุกอย่างในปัจจุบันนี้คืออาอิง

แต่…นางไม่ใช่ หรือกล่าวได้ว่า นางไม่ใช่เสียทั้งหมดนางมีความทรงจำของอาอิง มีรูปลักษณ์ของอาอิง แต่บุคลิก การพูดการจา และอุปนิสัย ล้วนมีความแตกต่างอยู่บ้าง นางยังคงเป็นบุตรสาวของท่านพ่อท่านแม่และเป็นน้องสาวของเขา แต่ไม่ใช่เด็กที่ไร้เดียงสาของพวกเขาตระกูลซ่งอีกแล้ว

“ตอนแรกอาอิงได้รับความทุกข์ทรมานมากถึงเพียงนั้น เราจะทำเพียงยิ้มตอบกลับให้ผู้เป็นศัตรูได้อย่างไรกันเล่า เพียงแต่เพราะความที่ตระกูลเขาคือจวนโหว ตระกูลข้าคือครอบครัวชาวนา ก็จะรังแกและดูถูกกันได้ตามอำเภอใจหรือ ไม่ต้องการเด็กก็โยนมาให้ พอจะต้องการขึ้นมาก็แย่งกลับไป แย่งกลับไปแล้วยังไม่รู้จักทะนุถนอม ประเดี๋ยวก็ต้องการให้แต่งงานกับอ๋องเฒ่าที่มักมากในกาม เดี๋ยวก็ดูถูกอาอิงว่าชะตาอาภัพ ทั่วทั้งใต้หล้า ไม่มีคนที่ทำกันถึงขนาดนี้ เจ้าว่าใช่หรือไม่” ซ่งสวินยิ้มพลางมองนาง

ซ่งอิงสบตาเขา จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อยซ่งสวิน แท้จริงแล้วเป็นคนหนึ่งที่… หลอกผู้อื่นว่าใสซื่อไร้เดียงสา ที่จริงแล้วเป็นคนชาญฉลาดจริงๆ

“แมลงสู้กับเสือ ดูไม่น่าสนใจแล้วจะทำอย่างไรหรือ” ซ่งอิงเอ่ยถาม

“ลองดูแล้วก็จะน่าสนใจเอง หากไม่ลองดูก็จะเสียดายไปทั้งชีวิต” ซ่งสวินกล่าวอย่างแน่วแน่

ตอนที่ 600 เรื่องที่ทั้งสองฝ่ายล้วนเต็มใจ

ซ่งอิงรู้สึกร้อนตัวกลัวความแตก ตอนที่นางมา เจ้าของร่างเดิมตัวเย็นเฉียบแล้ว

“ท่านพี่มองออกแล้วหรือ” ซ่งอิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

ซ่งสวินนิ่งอึ้งไป คล้ายกับคิดไม่ถึงว่านางจะพูดตรงไปตรงมาปานนี้ แต่จากนั้นกลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เพียงแค่คิดมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว มักรู้สึกว่าน้องสาวในตอนนี้เก่งกาจกว่าเมื่อก่อนมากเกินไปหน่อย อาอิงไม่มีความสามารถปานนี้”

“ก็จริง” ซ่งอิงพยักหน้ายอมรับ “เช่นนั้นท่านไม่รังเกียจข้าหรือ”

ซ่งสวินเคยถามตัวเองเช่นกัน แต่คำตอบก็คือไม่

เพราะซ่งอิงตรงหน้าเหมือนน้องสาวตรงที่มีความรักและห่วงใยต่อตระกูลซ่ง ดังนั้นเขาไม่อาจมองคนผู้นี้เป็นคนอื่นได้อย่างสิ้นเชิง

บางครั้งเขาถึงกับคิดว่า หากตอนแรกยามที่น้องสาวถูกรับตัวไปเป็นเช่นซ่งอิงคนตรงหน้านี้ได้ก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นนั้น

“ไม่รังเกียจ ข้าเพียงแค่มีบางเรื่องอยากถามเจ้า” ซ่งสวินกล่าว

“ท่านอยากถามว่าข้าเป็นวิญญาณเร่ร่อนใช่หรือไม่ มองเห็นวิญญาณของน้องสาวท่านบ้างหรือไม่ หรือว่าน้องสาวท่านได้ฝากคำพูดอันใดไว้หรือไม่สินะ” ซ่งอิงเลิกคิ้ว เห็นซ่งสวินนิ่งเงียบจึงกล่าว “ชื่อเดิมข้าก็คือซ่งอิงเช่นกัน ส่วนรูปลักษณ์…”

ซ่งอิงลูบคลำใบหน้าตัวเองในตอนนี้ “คล้ายคลึงกับน้องสาวท่านเจ็ดแปดส่วน ทว่าข้าสวยกว่าหน่อย”

“นอกจากนั้น ตอนที่ข้ามา ไม่มีวิญญาณผีอะไรทั้งนั้น และไม่มีคำสั่งเสียด้วยเช่นกัน มีเพียงความทรงจำเต็มสมองไปหมด หากความทรงจำก็ถือเป็นจิตวิญญาณ ข้าคิดว่าข้ากับนางเป็นหนึ่งเดียวกันตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นความเจ็บปวดในตอนแรกของนาง ข้าเองก็สัมผัสได้และจดจำได้ทั้งหมด และข้าก็มีความรู้สึกทั้งหมดของนางอยู่ด้วยเช่นกัน” ซ่งอิงกล่าว

พูดโดยง่าย นางก็คือวงรอบนอกขนาดใหญ่ ส่วนเจ้าของร่างคือจุดเล็กๆ

หลังจากจุดเล็กๆ เข้ามาในวงล้อมของนาง ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของนาง แต่ร่างกายของนางไม่ได้มีเพียงจุดเล็กๆ นี้อย่างเดียวเท่านั้น

ซ่งสวินยิ้มเล็กน้อย “แบบนี้ก็ค่อนข้างดีทีเดียว อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนอีกคนโดยสิ้นเชิง”

โดยเฉพาะยามที่ได้ยินซ่งอิงตรงหน้าพูดว่าลักษณะเดิมของนางก็พอประมาณกับน้องสาวเขา แม้กระทั่งชื่อก็ยังเหมือนกันอีกด้วย เขาจึงก้าวข้ามผ่านสิ่งที่ติดข้างอยู่ในใจได้เสียที

บางที พวกนางทั้งสองเดิมทีก็มีความเชื่อมโยงกันอยู่บ้างกระมัง มิเช่นนั้นจะบังเอิญถึงเพียงนี้ได้อย่างไรเล่า

ซ่งสวินลูบศีรษะซ่งอิง

“อาอิง ข้าเป็นพี่ชายที่ไร้ความสามารถ” ซ่งสวินเดินผ่านซ่งอิง พลางเอ่ยพูดเสียงเบา

ซ่งอิงรู้ ถ้อยคำนี้เป็นการพูดให้เจ้าของร่างเดิมฟัง

เพียงแต่ว่าเห็นเขาในท่าทีที่ยืนกรานไม่แปรเปลี่ยนเช่นนี้ คาดว่า…หากไม่ได้เห็นคนของจวนเหยียนผิงโหวผู้นั้นกับตาตัวเอง เกรงว่าก็คงไม่มีวันปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้

“ข้าสนับสนุนให้ท่านสอบเล่าเรียน เพียงแต่เรื่องสำคัญอย่างการแต่งงานยังคงต้องไตร่ตรองให้ดีๆ สตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ไม่ใช่ว่าจะสู่ขอกันได้โดยง่ายเพียงนั้น อีกทั้ง…ในเมื่อเป็นหญิงจากตระกูลสูงศักดิ์ คงรู้สึกไม่เป็นธรรมหากต้องแต่งกับคนที่ต่ำศักดิ์กว่า อีกทั้งต้องกลายเป็นขั้นบันได้ให้ท่านใช้ประโยชน์ หากเป็นเช่นนี้ ข้าเกรงว่าในอนาคตท่านคงต้องมีอีกเรื่องที่รู้สึกเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิต” ซ่งอิงกล่าว

“ข้าเข้าใจ เพียงแต่…ความรักและชาติตระกูลไม่ใช่สองสิ่งที่คว้ามาพร้อมกันมิได้ หากแต่เป็นสิ่งที่เราเลือกเอามาได้ทั้งสองมิใช่หรือ” ซ่งสวินหันมายิ้มเล็กน้อย “ข้าจะพยายามพัฒนา สู่ขอสตรีที่ข้าสู่ขอได้ หากแต่งภรรยามาได้แล้ว ข้าจะดีต่อนางตลอดทั้งชีวิต และจะพยายามทำให้ตัวเองคู่ควรกับนางเช่นกัน”

“…” ซ่งอิงเม้มปาก

นางยังจะพูดอะไรได้อีก

จะให้กล่าวว่าคุณหนูจากตระกูลผู้ร่ำรวยสูงศักดิ์ยอมแต่งกับชายหนุ่มผู้ยากจนนั่นเป็นเพราะนางมีตาหามีแววไม่เช่นนั้นหรือ

เช่นนั้นไม่ได้หรอก นั่นจะเป็นการพูดตรงเกินไป!

อีกทั้ง จะว่าไป ถ้อยคำที่ซ่งสวินกล่าวนี้ก็จริงอย่างเขาว่า ด้วยฐานะของเขาในตอนนี้อยากจะแต่งบุตรสาวขุนนางใหญ่ นั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ในวันที่แต่งมาได้จริงๆ พลังอำนาจของซ่งสวินเองก็คงไม่แย่เกินไปแล้วเช่นกัน มิเช่นนั้นคนอื่นก็คงไม่เห็นอยู่ในสายตา

จะว่าไป หากมีวันนั้นจริง เช่นนั้นก็คือเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายล้วนเต็มใจ

ความนึกคิดเช่นนี้ของซ่งสวินก็ถือว่าเป็นการวางแผนอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นการมีเจตนาไม่ดีเสียด้วยซ้ำไป