“เด็กสาวคนนี้น่าสนใจทีเดียว” เสียงของหยวนหมิงดังขึ้นในหูของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางทำเพียงกระตุกยิ้ม พร้อมกับเอ่ยว่า ”ต่อให้มันจะหายไป แต่ก็ยังมีสิ่งอื่นเหลืออยู่”
“อาจจะถูกของแม่นาง แต่ของบางอย่างก็ไม่อาจมีสิ่งใดมาแทนที่ได้” เด็กสาวกล่าว ดวงตาของนางหม่นแสงลง
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ต่อบทสนทนา นางแค่เก็บลูกปัดไม้จันทน์นั้นไว้ที่เดิม หลังจากกล่าวลากับเด็กสาวคนนั้น นางก็หายไปในยามค่ำคืน
“ท่านพี่ ท่านจะปล่อยนางไปเฉยๆ เช่นนั้นหรือเจ้าคะ” เฮยจูที่ปรากฏตัวขึ้นจากป่าไผ่หนาทึบเอ่ยถาม ”ท่านอาจจะไม่รู้ว่านางเคยทำบางอย่างกับองค์ชาย นางทำให้เขา…”
ระหว่างที่เด็กสาวกำลังจัดชุดของตน นางก็เอ่ยต่อ ”ข้ารู้ เรื่องเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น และมันคงยุติธรรมกว่าหากข้าใช้เวลาเพื่อทำความเข้าใจนาง เฮยจู เจ้าใจร้อนเกินไป ผู้หญิงที่สามารถทำให้เขาสนใจได้ย่อมไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา นางจะต้องเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมยากจะรับมือได้จริงๆ แต่ยิ่งคนเราเถรตรงเพียงใด ก็ยิ่งทำให้ถูกเอาเปรียบได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ก่อนข้าจะกลับมา ข้าเคยได้ยินเรื่องของนางจากคนอื่นๆ มาบ้าง การกระทำของนางนั้นกล้าบ้าบิ่น แต่นั่นหมายความว่านางย่อมทำให้คนอื่นรู้สึกเกลียดชังได้ง่ายเช่นกัน และอีกอย่างข้าไม่เคยเผยความเป็นศัตรูให้กับผู้ใดในตอนที่พบกันครั้งแรกมาก่อน...” ยิ่งพูด เสียงของนางก็ยิ่งแผ่วเบาลง ”นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าสามารถจัดการกับพวกเขาได้ทุกครั้งอย่างไรล่ะ!”
หลังจากฟังคำพูดของนาง เฮยจูก็ยิ้มออก ”ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะว่าท่านพี่มีวิธีการของตัวเอง แต่ท่านก็เห็นหน้าตาของผู้หญิงคนนั้นแล้ว นางดำอย่างกับถ่าน แค่ถ่านชิ้นเดียวจะไปเทียบกับท่านพี่ได้อย่างไร”
เด็กสาวเผยรอยยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า ”เอาล่ะ ไปที่หอชั้นเลิศกันได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ!” เฮยจูเดินตามหลังนางไปติดๆ นางอดจินตนาการถึงปฏิกิริยาขององค์ชาย และชะตากรรมของผู้หญิงอัปลักษณ์คนนั้นหลังจากที่สายตาของเขามองไปที่ท่านพี่ขึ้นมาไม่ได้ ความคิดนั้นทำให้หัวใจของนางพองโตด้วยความความพออกพอใจ
สายฝนโปรยปรายลงบนเขาทีละน้อย
ความตื่นเต้นที่มาพร้อมกับพิธีปฐมนิเทศน์เทอมใหม่ค่อยๆ จางหายไป บรรดาศิษย์ของสำนักที่กลับมาถึงต่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ พวกเขาล้มตัวลงนอนบนเตียงไม้ ก่อนจะหลับลึกเข้าสู่ห้วงนิทรา
แต่ในเวลานั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว นางเหลือบมองชิงจ้านที่กำลังนอนหลับอยู่ในห้องด้านนอก ก่อนจะย่องออกไปจากหอสามัญ
เวลานี้ ในระหว่างที่ทุกคนกำลังหลับอยู่นั้น สำนักไท่ไป๋ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ความมืดมิด ยิ่งหลังจากฝนเริ่มตก ความมืดก็ยิ่งชัดเจน แม้กระทั่งทหารยามรักษาการณ์ก็ยังได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศอันสงบสุขนั้น พวกเขาดูค่อนข้างผ่อนคลายทีเดียว
สถานการณ์นี้ทำให้ปฏิบัติการซ่อนตัวของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นสะดวกขึ้นกว่าเดิม ดวงตาหงส์ของนางหรี่ลงระหว่างที่นางเคลื่อนตัวไปบนทางเดินสีเข้ม เดินผ่านทหารยามพวกนั้นไปอย่างใจกล้าในตอนที่พวกเขาหันหลัง แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นนางแม้แต่คนเดียว
ตอนที่นางมาถึงจุดหมายของการนัดพบซึ่งอยู่บริเวณหัวมุมของย่านการค้า ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยิบร่มของตนขึ้น นางพูดพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย ”ผู้อาวุโสห้วน การซุ่มโจมตีคนจากทางด้านหลังเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมนะ”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่!” ชายชราพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศอย่างกะทันหัน และแล้วนิ้วเท้าของเขาก็แตะลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา เขากระแอมออกมาเล็กน้อย ”ทุกวันนี้ข้าหาช่องมาจัดการเจ้าไม่ได้เลย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยโยนสตรอว์เบอร์รี่ในมือขึ้นฟ้า ก่อนรับมันเข้าปาก ”ข้าไม่ได้จะเข้าร่วมหน่วยพิฆาตวิญญาณเพียงเพื่อให้ท่านหาช่องทางมาจัดการข้าเสียหน่อย”
“เจ้า!” ก่อนที่ห้วนหมิงเสียงจะทันได้ระเบิดอารมณ์ออกมา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ดันเขาเข้าไปในดงต้นไผ่ ”ข้าได้ของสิ่งนี้มาจากวังหลวง ข้าได้ยินมาว่าสมัยท่านหนุ่มๆ ท่านชอบของพวกนี้ ข้าก็เลยอาศัยจังหวะที่พวกเขาไม่ทันมอง ไปฉวยมันมาจากห้องเครื่องของวังหลวง”
ดวงตาของห้วนหมิงเสียงเป็นประกายทันทีหลังจากที่สายตาของเขาเห็นเหยือกใส่เหล้านั่น แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังฟังดูเคร่งเครียดขณะกล่าวว่า ”ดูเจ้าสิ เจ้าเป็นพระชายา แต่กลับยังเที่ยวไปขโมยเหล้ามาอีก แม่หนู ข่าวลือพวกนั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เจ้าเด็กน้ำแข็งนั่นปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีหรือ”
“เขาหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาอธิบายองค์ชายดี ดังนั้นนางจึงทำเพียงพูดอย่างคลุมเครือว่า ”เขาก็ดี”
ห้วนหมิงเสียงจ้องหน้านาง ”เจ้าอย่าได้มาโกหกคนแก่เช่นข้าเชียว! ถ้าเจ้าถูกรังแกก็บอกข้ามา ไม่ว่ามันจะยากลำบากสักเพียงใด แต่ข้าก็ยังสามารถช่วยพูดอะไรสักคำสองคำที่วังหลวงแทนเจ้าได้”
เขาเป็นคนที่สองที่ห่วงนางมากถึงเพียงนี้ตั้งแต่นางเดินทางข้ามเวลามาในยุคโบราณ
เฮ่อเหลียนเวยเวยคลี่ยิ้ม แล้วตอบว่า ”ข้าเข้าใจแล้ว”
ในใจของนางพลันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น
คุณตาและแม่ของนางเสียไปตั้งแต่นางยังเด็ก ดังนั้นหากพูดถึงความทรงจำเกี่ยวกับสายสัมพันธ์ในครอบครัวแล้วละก็ ทุกอย่างสิ้นสุดลงเมื่อตอนที่นางอายุได้เจ็ดขวบเท่านั้น หลังจากนั้น นางก็เข้าสู่สำนักถัง
ตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่เคยถูกแกล้งอีกเลย แต่นางมีแผลเลือดตกยางออกอยู่บ่อยครั้ง
ทุกครั้งที่นางออกไปทำภารกิจ มันไม่เคยรับประกันได้เลยว่านางจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่
วิธีการฝึกฝนของสำนักถังนั้นโหดร้ายและไร้มนุษยธรรม
แต่ในเวลานั้น ที่นั่นกลับเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่ยอมรับนางเข้าไป
ดุจดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่ในความมืด ที่แห่งนั้นต้อนรับความโหดเหี้ยมและความกระหายเลือดเข้าสู่อ้อมแขนของพวกเขา
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมในจุดหนึ่งนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงสามารถยอมรับในการกระทำขององค์ชายสามได้ เหตุผลนั้นก็ช่างง่ายดายยิ่งนัก ไม่ว่าเบื้องหน้านั้นพวกเขาจะแตกต่างกันเพียงใด แต่ลึกลงไปแล้ว พวกเขาก็เป็นคนประเภทเดียวกัน
“ผู้อาวุโสห้วน ข้าตัดสินใจได้แล้ว ข้าอยากเข้าร่วมหน่วยพิฆาตวิญญาณ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น ความเด็ดเดี่ยวทอแสงอยู่ลึกลงไปในดวงตาของนาง
ห้วนหมิงเสียงมีความสุขจนออกนอกหน้า เขาพูดคำว่าดีสามคำติดต่อกัน ระหว่างนั้นเขาก็กล่าวว่า ”ข้าจะบอกให้พวกเขารู้ถึงความสมัครใจของเจ้าในวันพรุ่งนี้ แม่หนู อะไรทำให้เจ้าตัดสินใจที่จะเข้าร่วมหรือ”
“ตำนานเล่าว่าหน่วยพิฆาตวิญญาณต่อสู่เพื่อจักรวรรดิจ้านหลงอยู่ในความมืด” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยสว่างไสวอย่างรอบรู้ ”เพื่อทำให้มั่นใจว่าผู้คนจะได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข และไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตระกูล หรือสายเลือดใดสายเลือดหนึ่ง ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีความหมายมากพอที่ทำให้ข้าอยากจะเข้าร่วมกับหน่วยนี้”
ห้วนหมิงเสียงงหัวเราะ พร้อมกับยกมือขึ้นลูบเคราของตน ”เช่นนั้นเจ้าก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม ในอีกสามวัน ข้าจะพาเจ้าไปรับการทดสอบเบื้องต้นเพื่อเข้าร่วมหน่วยพิฆาตวิญญาณ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลไป การทดสอบนั้นไม่ยากเกินไปสำหรับเจ้าหรอก ครั้งนี้มีคนหน้าใหม่เข้าร่วมหลายคนทีเดียว มีสองคนที่เป็นศิษย์ใหม่จากหอชั้นเลิศ ทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ท้าชิงเพื่อเข้าร่วมในหน่วยพิฆาตวิญญาณเช่นกัน”
ศิษย์ใหม่สองคนหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว เมื่อลองคิดดู นางก็จำได้ว่านางได้พบกับเด็กสาวที่ไม่คุ้นหน้าคนหนึ่งที่โรงอาบน้ำ บางทีนางอาจจะเป็นหนึ่งในศิษย์ใหม่ที่ว่านั่นก็ได้
ดูเหมือนว่าสำนักไท่ไป๋แห่งนี้จะน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว…
ฝนเริ่มซาตอนฟ้าสาง วันต่อมา สายลมเย็นสดชื่นพัดอ่อนๆ และอุณหภูมิก็เย็นสบายทีเดียว
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในหอสามัญ
อาจารย์ยังมาไม่ถึง ดังนั้นทุกคนจึงกำลังรีบเร่งทำการบ้านของตนให้เสร็จ
มีเพียงไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคนเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองอย่างเกียจคร้าน มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นเท้าคาง เส้นผมของเขาสยายอยู่ในอากาศ ท่าทางของเขานั้นดูสูงศักดิ์แต่ก็เกียจคร้าน เขาดูดีมากเสียจนไม่ว่าใครก็ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้ามองไปที่เขาตรงๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาวระหว่างที่เดินเข้ามาในห้องเรียน หมวกบัณฑิตสีขาวดำที่นางสวมอยู่รับกับดวงตาสง่างามของนางได้เป็นอย่างดี นางทิ้งตัวลงนั่งข้างเขา แล้วเอ่ยทักทายอย่างมีชีวิตชีวาว่า ”อรุณสวัสดิ์”
ก่อนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะนึกหาคำมาตอบกลับไปได้ นางก็แนบหน้าของตัวเองลงกับโต๊ะไม้ เตรียมตัวพร้อมที่จะนอนแล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง ดวงตาทรงเสน่ห์ของเขาหรี่ลงเล็กน้อย
ในเวลานั้นเองที่ลูกศิษย์ทุกคนกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเองกันหมดแล้ว
แม้แต่คนที่มาสายเป็นประจำอย่างหนานกงเลี่ยก็ยังมาถึงที่นั่งของตนได้อย่างตรงเวลา แต่ทันทีที่เขาเห็นเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเวยเวย ความมีชีวิตชีวาในดวงตาที่ยิ้มแย้มของเขาก็เลือนหายไปทีละน้อย
ชิงจ้านรู้ดีว่าเขาไม่อยากเห็นนาง แต่นางนึกไม่ถึงเลยว่านายน้อยเลี่ยกับองค์ชายสามจะถูกจัดให้มาอยู่ที่หอสามัญด้วย
ถ้านางรู้แต่แรก นางคงจะเชื่อฟังคำพูดของพระชายา และเลือกที่จะเข้าหออื่นไปแล้ว ซึ่งคงจะช่วยให้นางไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
“เจ้าดูสบายดีนี่”
เสียงที่คุ้นเคยนั้นดังก้องขึ้นในหูของนาง…