ตอนที่ 306 ถั่วชมพูแสดงอิทธิฤทธิ์ในมหาสงคราม 1

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

ตอนที่ 306 ถั่วชมพูแสดงอิทธิฤทธิ์ในมหาสงคราม 1
ตอนที่ 306 ถั่วชมพูแสดงอิทธิฤทธิ์ในมหาสงคราม 1

เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากจักรวรรดิอื่นรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเมื่อมองดูการถ่ายทอดสด!

ผู้คนในจักรวรรดิเสียสติกันไปแล้วหรือไง? มันก็แค่เค้กก้อนเดียวไม่ใช่เหรอ? ถึงกับต้องอพยพเชียว? บ้าไปแล้ว!

จักรวรรดิชิงเหย้านั่นน่ารังเกียจชะมัด! เห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นกำลังหลอกล่อพวกเขา! คงไม่มีวิธีอื่นแล้วสินะ!

เฮอะ!

ในขณะเดียวกัน ถั่วชมพูพาเอเลี่ยนเกอหลัวมากกว่าหนึ่งพันตัวขึ้นยานอวกาศมาที่ดาวเคราะห์เอบีสาม!

ฝูงของมันมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ! เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ที่ดีและชื่อเสียงที่ส่งต่อปากต่อปาก เอเลี่ยนเกอหลัวทั้งหลายจึงถูกมันหลอกให้มาเข้าร่วมฝูงจนสุดท้ายพวกนั้นไม่เต็มใจที่จะจากไป อีกทั้งยังเรียกพี่น้องและเพื่อนฝูงมาเข้าร่วม จนเอเลี่ยนมีจำนวนเพิ่มขึ้น!

เจ้าถั่วชมพูนั่งอยู่ตรงกลางยานอวกาศด้วยท่าทีสง่างาม และด้านหน้าของมันคือห้องบัญชาการ!

“มหาราชาถั่วชมพู ท่านอยากจะกินอะไร?” ถงจื่อเจินน่าจะเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่สามารถรองรับอารมณ์ของถั่วชมพูได้ ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นพี่เลี้ยงส่วนตัวของถั่วชมพูโดยปริยาย

ด้านข้างของถั่วชมพูเต็มไปด้วยกองอาหารอันแสนอร่อย ไม่ว่าจะเป็นอาหารกระป๋อง เนื้ออบแห้ง เค้ก น้ำหวาน…แต่มันกลับยังไม่พอใจกับของพวกนี้แม้ว่าปากของมันจะเคี้ยวอยู่ก็ตาม!

เอเลี่ยนเกอหลัวตัวอื่นอยู่ในห้องโถงอีกห้องหนึ่ง เกอหลัวขาสั้นพวกนี้กำลังนอนกองกันอยู่บนพื้นอย่างแน่นหนา พวกมันอ้วนกลมและนุ่มนิ่ม

“เมี๊ยว…ตอนนี้พอก่อน!” ถั่วชมพูคลำท้องที่เต่งตึงของมันและถอนหายใจ

โธ่เอ๊ย! เมี๊ยว…ราชาเกอหลัวน่าสงสารจัง! มีอาหารอร่อย ๆ รายล้อมอยู่ข้างหน้าแต่กลับกินมันไม่หมด!

เมี๊ยว! ไม่มีคุณสมบัติของนักกินเอาเสียเลย!

“อีกนานไหมกว่าจะถึงเมี๊ยว?” ถั่วชมพูอยากกินของที่อยู่ในมือของหญิงสาว!

“อีกประมาณครึ่งชั่วโมง!” ถงจื่อเจินตอบคำถามอย่างอดทน เขาถือหวีและน้ำมันจัดทรงหรืออะไรสักอย่างไว้ในมือ หวีขนของถั่วชมพูอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเทน้ำมันลงไปเพื่อให้ขนของมันเรียบลื่นและไม่พันกัน!

“เมี๊ยว! สบายตัวจัง!”

สวี่หลิงอวิ๋นกำลังตอบโต้กับชาวเน็ต แต่ถึงจะบอกว่าตอบโต้ อันที่จริงแล้วพวกเธอกำลังกิน ส่วนชาวเน็ตกำลังดูอยู่ต่างหาก

โชคดีที่สวี่หลิงอวิ๋นจัดเตรียมสูตรอาหารมากมายไว้ให้ชาวชิงเหย้า นอกจากนี้ยังมีเครื่องปรุงรสครบชุดบนร้านเถาเป่าของเธอ และส่วนผสมทั้งหลายที่สามารถหาซื้อได้ในร้านค้าสะดวกซื้อ

ทันทีที่สวี่หลิงอวิ๋นเริ่มทำอาหารให้กับเหล่าทหาร พวกเขาจึงรีบสั่งอาหารให้หุ่นยนต์มาส่งโดยด่วน

ขณะที่สวี่หลิงอวิ๋นกับคนอื่นกำลังรับประทานอาหาร ครัวอัตโนมัติในบ้านก็จัดเตรียมอาหารให้พวกเขาเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายต่างมีความสุขร่วมกัน และความสามัคคีนี้ทำให้ผู้คนจากจักรวรรดิอื่นรู้สึกอิจฉา!

[อิจฉาชะมัด!]

[ฉันก็อิจฉา!]

[ทำไมคนที่อยู่ในสงครามถึงดูมีความสุขมากกว่าพวกเราที่อยู่ในพื้นที่สงบสุขได้ล่ะ?]

[นั่นเป็นเพราะคุณไม่ใช่คนจากจักรวรรดิชิงเหย้ายังไงล่ะ!]

ชาวเน็ตจากจักรวรรดิชิงเหย้าต่างรู้สึกภาคภูมิใจ!

เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน พวกเขาก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? คนทั้งหลายในชุมชนแออัดต้องก้มหน้ากินเนื้อเอเลี่ยนที่ไม่มีใครกินและไม่มีใครต้องการ รวมถึงอาหารเสริมราคาถูก

อาหารเสริมเป็นเพียงปัจจัยเล็กน้อยเท่านั้น

ปัจจัยที่ดีที่สุดคือผักและเนื้อสัตว์ธรรมชาติที่อยู่ตามร้านสะดวกซื้อ แต่เนื่องจากความสามารถในการทำอาหารของพวกเขามีขีดจำกัด อาหารเสริมราคาถูกจึงตอบโจทย์กว่า

นอกจากนี้อาหารเสริมยังสามารถแต่งเติมรสชาติตามที่ต้องการได้

คนรวยสามารถทำให้เนื้อสัตว์ ผักนานาชนิด และไข่ให้มีรสชาติที่อร่อยขึ้นได้ อาหารจานหลักของพวกเขาจึงกลายเป็นส่วนผสมพวกนี้

แล้วตอนนี้ล่ะ? ทุกครัวเรือนสามารถกินเนื้อสัตว์ได้! เพราะมันมีราคาถูกลง อีกทั้งยังอร่อย!

นอกจากนี้ยังไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเนื้อเอเลี่ยนที่กองพะเนินอยู่ในร้านสะดวกซื้อ! พวกเขากังวลเพียงแค่ว่าเนื้อเหล่านี้จะถูกสั่งซื้อล่วงหน้าหรือไม่!

แม้แต่ผู้คนในชุมชนแออัดก็ยังได้รับคุณค่าทางโภชนาการที่สูงขึ้น แต่ราคากลับถูกลง!

เครื่องปรุงรสของสวี่หลิงอวิ๋นมีราคาไม่แพงนัก ถึงแม้ว่าเธอจะเอาแต่บอกว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจ แต่ความจริงแล้วเธอไม่ได้แสวงผลกำไรสักนิด!

ผู้คนจากจักรวรรดิอื่นมองดูฉากที่เพลิดเพลินตรงหน้าด้วยดวงตาร้อนผ่าว!

[รสชาติอร่อยมากจริง ๆ! ฉันอยากจะอพยพไปจักรวรรดิชิงเหย้าเลย!]

ชาวเน็ตจากจักรวรรดิอีโน่ร้องตะโกนออกมาจากจิตวิญญาณ!

[+1]

[+2]

[+3]

[แต่ฉันอยากกินเค้กที่สุด!]

เค้ก! รสชาติที่แสนหวานอันนั้น!

ผู้คนจากจักรวรรดิอื่นต่างครุ่นคิดอย่างขมขื่น พวกเขาได้รับการแบ่งปันรสชาติจากสวี่หลิงอวิ๋น อีกทั้งยังได้รับกลิ่นหอมบางเบาและรสชาติที่แสนหวาน ยิ่งพวกเขารับรสมากเท่าไหร่ หัวใจของพวกเขาก็ยิ่งกระตุกราวกับโดนแมวข่วนมากขึ้นเท่านั้น

อยากลิ้มลองมันเหลือเกิน!

ต้องรู้สึกอย่างไรกับรสชาติในปากของคนอื่น! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปลอบประโลมพวกเขามากที่สุดในตอนนี้คือการที่ชาวชิงเหย้าไม่ได้กินเค้ก และนั่นทำให้พวกเขารู้สึกเท่าเทียมกัน

[ฮึ่ม! ถึงพวกเราจะไม่ได้กินเค้ก แต่พวกเราก็ยังมีหวัง เพราะองค์หญิงสามอยู่ที่นี่ด้วยกัน ไม่ช้าก็เร็วพวกเราจะได้กินเค้กอยู่ดี!]

[ใช่แล้ว! ฮ่า ๆ! จะต้องดีกว่าพวกน่าสมเพชอย่างคุณ! พวกเราได้กินหม้อไฟกับต้มแซ่บปลาผักดองด้วย พวกคุณล่ะได้กินบ้างไหม?!]

[แต่ถ้าพวกคุณเต็มใจจะย้ายมาที่จักรวรรดิชิงเหย้า พวกคุณก็จะได้กินของอร่อยแบบนี้เหมือนกัน!]

สเปนเซอร์ จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์มองดูข้าบริวารด้านล่างด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

“ใครจะบอกเราได้บ้างว่าทำไมการโจมตีถึงล้มเหลว?!”

รองผู้บัญชาการทั้งหลายก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ

“จอมพลหลี่จื้อผิงยังไม่มีติดต่อมาอีกเหรอ?” สเปนเซอร์เอ่ยถาม

“ยังเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ทันทีที่เขาครุ่นคิดว่าจักรพรรดินีจะคิดบัญชีกับเรื่องนี้อย่างไร รอยย่นก็ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา

“พวกเจ้าที่เหลือไม่มีอะไรจะพูดหรือไง?” สเปนเซอร์จ้องมองจอมพลซึ่งอายุประมาณหกสิบปีที่อยู่เบื้องล่าง “จอมพลคอนนีย์ บอกเราทีว่าทำไมมาการ์ถึงแพ้สงคราม?”

คอนนีย์ยืนขึ้นเงียบ ๆ “กระหม่อมคาดว่าคงเป็นเพราะประเมินศัตรูต่ำไปพ่ะย่ะค่ะ!”

“มาการ์ยังหนุ่มและมีพลังเหลือล้น บางทีเขาอาจจะคิดว่าตัวเองสามารถเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้ จึงไม่ได้ต่อสู้จริงจังนักพ่ะย่ะค่ะ!” คอนนีย์พูดออกมาช้า ๆ ขณะครุ่นคิดตามคำพูดของตัวเอง

ขณะคิดในใจ แล้วกระหม่อมจะไปรู้ได้ยังไงว่าทำไมเขาถึงแพ้? หรือควรบอกฝ่าบาทว่าลูกกระสุนมีไม่พอ?

แต่ถ้าแจ้งออกไปว่าลูกกระสุนมีไม่พอ ฝ่าบาทจะไม่กริ้วเอาหรือ?

“ประเมินศัตรูต่ำไป? ประเมินต่ำไปงั้นเหรอ!” สเปนเซอร์ตบโต๊ะอย่างรุนแรง “ดี! ในเมื่อมาการ์ประเมินศัตรูต่ำไป แล้วจอมพลหลี่จื้อผิงล่ะ? เขาประเมินศัตรูต่ำไปด้วยไหม?!”

หลี่จื้อผิง?

ทุกคนต่างดูหมิ่นชื่อนี้เงียบ ๆ ในใจ! ฝ่าบาทเอาแต่เป็นกังวลกับคนไร้ความสามารถพรรค์นั้นเสียจริง! คิดว่าพี่เขยของตัวเองดีสุดเลยหรือไง? พี่เขยของเขาก็มีดีแค่รายงานสถานการณ์ให้น้องเขยรับรู้เท่านั้น!

ยกความดีความชอบให้กับตัวเอง และยกความผิดทั้งหมดให้พวกพลเอกเบื้องล่าง แบบนี้เหรอที่เรียกว่าฉลาดและน่าเชื่อถือ?

ปล่อยให้เขาออกไปทำภารกิจที่สำคัญ ไม่ใช่ว่าเพื่อรอคอยความพ่ายแพ้หรือไง?

คอนนีย์รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ช่างน่าทุเรศสิ้นดี!