บทที่ 325 เลือกไม่ได้

“ไม่อยากกลับไปหาท่านปู่หรือ?”

ชิงเทียนหลินเห็นสีหน้านางเปลี่ยน ดูท่าใจกำลังลังเล จึงรีบว่าต่อ “แม้เขาจะเข้มงวดกับเจ้าตลอด แต่ก็เป็นเพราะเขามองเจ้าเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป ในใจลึก ๆ เขาก็รักเจ้ามาก เจ้าไม่อยากกลับไป….. เยี่ยมท่านปู่บ้างหรือ?”

นิ้วเรียวของชิงอวี่กำแน่นจนข้อกลายเป็นสีขาว

ผ่านไปหลายอึดใจนางจึงขยับปากพูดเสียงประชดประชัน “ล้อกันเล่นหรือ?”

“ท่านปู่โกรธเจ้าจนเสียไปแล้วเพราะหลานแท้ ๆ ที่สุดท้ายชั่วช้าเสียยิ่งกว่าเดรัจฉานไม่ใช่หรือไร?”

ชิงเทียนหลินยิ้มเยาะตอบ “อย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ข้าไม่ไร้ใจจนกำจัดเขาจนสิ้นไปหรอก”

“มือเจ้าก็เปื้อนเลือดคนในครอบครัวจนชุ่มแล้วนี่?” ชิงอวี่พ่นเสียงเยาะออกมาพร้อมเสียงหัวเราะเย็นยะเยือก

“หากไม่สังหารพวกหมาป่ามักใหญ่ใฝ่สูงจากตระกูลย่อยพวกนั้น วันหนึ่งพวกมันเอาชีวิตข้าแน่ ข้าก็แค่ตัดไฟแต่ต้นลม จะได้ไม่มีปัญหาตามมา”

ชิงเทียนหลินจึงหันไปหาชิงอวี่แล้วถามเสียงเรียบขึ้น “เจ้าว่าอย่างไร? อยากกลับไปหรือไม่? ว่ากันว่าประตูนี้จะเปิดในระยะเวลาเฉพาะตัว หากครั้งนี้ไปไม่ทัน ต่อไปอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกก็ได้…..”

“เจ้าคิดว่าเราดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่?” ชิงอวี่เผยสีหน้าเย็นเยียบ เอ่ยขัดชายหนุ่มขึ้นมา

“ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าว่ามาจะจริงหรือเท็จ ข้าไม่มีวันเชื่อ อีกทั้งข้าไม่มีวันอยากกลับไปกับเจ้า นับตั้งแต่ข้ามาที่นี่ ข้าก็เชื่อว่าชะตาคงได้ลิขิตไว้แล้ว ข้าจะดื้อรั้นแล้วเฝ้าหาแต่อดีตไปไย?”

ชิงอวี่เอ่ยนิ่ง ๆ สายตาสงบมองตรงไปยังชายหนุ่ม จากนั้นว่าต่อ “ข้าอยู่ที่นี่มานานหลายปี สำหรับข้าเรื่องในชาติก่อนมันช่างเลือนรางไม่คุ้นเคยไปเสียแล้ว ดูห่างเหินเหลือเกิน แต่ที่นี่ คือที่ที่ข้าควรอยู่”

น้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบของชิงเทียนหลินพลันถูกทำลาย เขาหรี่ตาลงเอ่ยคำถาม “ไม่คุ้นเคยงั้นหรือ? นั่นคือที่ที่เจ้าเติบโตขึ้นมา สอนให้รู้จักความสุข ความโกรธ น้ำตา และความปีติยินดีนะ! สิ่งเหล่านั้นควรฝังลึกลงไปในความทรงจำ มันจะไม่คุ้นเคยได้อย่างไร!?”

สีหน้าชายหนุ่มเริ่มแต้มด้วยความโกรธเล็กน้อยในพลัน

เป็นเวลาหลายปีแล้ว หลังจากมาเกิดอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติ เขาก็เอาแต่ไล่ตามเด็กสาวที่เขาคิดว่าเหมาะกับตนที่สุดเพียงคนเดียวมาตลอดชีวิต

ในตอนแรก เขาได้หมายตาเด็กสาวเอาไว้เพียงเพราะนางถูกเลือกให้ถือครองสมบัติของตระกูล มีแต่ต้องเป็นสามีนางเท่านั้น มีแต่ชายหนุ่มที่ชิงเอาความบริสุทธิ์ในคืนแต่งงานของนางมาได้เท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้บำเพ็ญและฝึกฝนวิชาลับชั้นยอดซึ่งเป็นสมบัติลับของตระกูลไปพร้อมกันกับนาง

ดังนั้น เขาจึงเริ่มเข้าหาเด็กสาวผู้เย็นชา ที่ภายนอกไม่สนใจใคร หากแต่ภายในช่างเปราะบางนัก ใส่ใจและเป็นห่วงนางอย่างที่ไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อนางมาก่อน จนนางเห็นเขาเป็นครอบครัวอย่างจริงใจและเชื่อใจเขาในที่สุด ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีแท้ ๆ

ทีละน้อย เขาเริ่มค้นพบว่าตัวเขาเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เขาไม่เพียงอยากได้สมบัติตระกูล แต่ยังโหยหาและอยากเอาชนะใจนางด้วย ไม่อยากเห็นนางยิ้มให้ชายอื่น ไม่อยากให้นางห่างครรลองสายตา อยากกักขังนางไว้ข้างกายเท่านั้น

ในตอนที่เรื่องกำลังเป็นไปตามแผน แม้จิตใจอันอ่อนแอของนางจะยังคงยืนหยัดต่อสู้และอ้อนวอนขอร้อง เขากลับไม่อาจหยุดตนเองได้ มีแต่ต้องให้นางเป็นของเขาโดยสมบูรณ์เท่านั้น เขาจึงจะวางใจ

หากแต่แผนเขากลับถูกขัดขวางด้วยชายหนุ่มคนหนึ่ง เป็นตัวขัดลูกตาที่รั้นจะติดตามเด็กสาวไปทุกที่

นับแต่นั้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางก็แตกหักลงทีละน้อย

จากเด็กน้อยแสนน่ารักที่เรียกเขาว่าท่านพี่เสียงอ่อนหวาน กลายเป็นละทิ้งเขาไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งไร้ใจและเย็นชา

เขาเคยพยายามกอบกู้ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนอย่างสงบมาก่อน

บอกว่าเป็นเพราะเขาใส่ใจนางนัก จึงอยากครอบครองนาง มันผิดตรงไหนกัน?

และเป็นเพราะเรื่องนั้น นางจึงชังน้ำหน้าเขามานานหลายปี แล้วตอนนี้ นางยังจะละทิ้งอดีตของเขากับนางที่แสนสวยงามนั่นด้วยหรือ?!

เขาไม่มีทางยอมรับแน่!

เห็นท่าทางโกรธของชายหนุ่มราวกับคนถูกทรยศแล้ว ชิงอวี่เพียงแต่ยกยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยเสียงเสียดแทงใจออกมา “คนที่ก่อเรื่องทุกอย่างขึ้นอย่างเจ้า มีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงเรื่องอดีตกัน? หากย้อนเวลาได้ คำขอเดียวของข้าคืออย่าได้พบกันเลยดีกว่า”

พูดจบนางก็ไม่มองหน้าชิงเทียนหลินอีก จบบทสนทนาด้วยการหันหลังเดินจากไป ไปยืนอยู่เคียงข้างชายหนุ่มที่กำลังคุยกับเหลียนซือชุดดำ

เห็นชิงอวี่เอนร่างพิงอีกแล้ว โหลวจวินเหยาจึงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เอื้อมมือไปกุมมือที่เย็นเล็กน้อยของนางไว้ ก่อนกอบกุมมันไว้ภายใน ดูออดอ้อนอยู่บ้าง

ชิงอวี่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มเขินอาย แต่นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยความรักความยินดี

ชิงเทียนหลินยืนอยู่ไม่ไกล ย่อมเห็นภาพนั้นชัดเจน ใบหน้าอ่อนโยนแต้มรอยมืด นัยน์ตาเรียวยาวสีดำเต็มไปด้วยอารมณ์อ่านไม่ออก

อยากกลับไปไหมงั้นหรือ?

หึ! เรื่องส่วนมาก เป็นเพราะบุรุษผู้นั้นสินะ?

โอ้ ชิงชิงที่รักของข้า เจ้าไม่รู้หรือ? ยิ่งเจ้ารักสิ่งใดมากเข้า ข้าก็ยิ่งอยากจะ…..

ทำลายมันเสีย

เรื่องฝั่งนี้คล้ายใกล้จะจบแล้ว แต่ขณะเดียวกัน ในสถานที่ไร้คนล่วงรู้ ไม่รู้ว่าชิงหลานเฟยกับม่อจิ่งอวี้เดินมาบนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะขาวมานานเท่าไหร่แล้ว

สายตาของชิงหลานเฟย จากตอนแรกที่มองเห็นไม่ชัดเจน ตอนนี้กลายเป็นบอดสนิทแล้ว ไม่อาจเดินตามม่อจิ่งอวี้ได้อีกต่อไป

นางรู้….. ว่าปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้ ไม่แน่อีกไม่นาน ม่อจิ่งอวี้อาจกลายเป็นเหมือนนาง มองอะไรไม่เห็นอีกก็ได้ นี่เป็นผลปกติจากการที่อยู่ในแดนหิมะเป็นเวลานานเกินไปนั่นเอง

ม่อจิ่งอวี้กุมมือชิงหลานเฟยไว้แน่น ไม่ปล่อยสักนิด แต่จู่ ๆ ฝีเท้ากลับชะงักลง

ชิงหลานเฟยหยุดเช่นกัน นางมองไม่เห็น จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่ถามเสียงฉงน “มีอะไรหรือ? ไปต่อไม่ได้แล้วหรือ?”

ม่อจิ่งอวี้จ้องภาพตรงหน้านิ่ง อึดใจต่อมา จึงค่อย ๆ เอ่ยคำ “ไม่ใช่ว่าผ่านไม่ได้ เพียงแต่เราเดินเส้นทางนี้มาสองวันแล้วเป็นอย่างน้อย แต่ยังไม่เห็นปลายทางเสียที”

“และตั้งแต่ที่เข้ามาที่นี่ ข้ายังไม่เห็นราตรีปรากฏสักครา”

มือม่อจิ่งอวี้ที่กุมนางไว้บีบแน่นเล็กน้อย ไม่รู้ทำไม กระทั่งเขาเองยังรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมา

พวกเขาจะออกไปได้หรือไม่?

สำหรับเขาไม่ได้มีความหมายมากมาย เพราะจะอีกสิบวันหรือสองอาทิตย์เขาก็ไร้ปัญหา แต่ตาของเฟยเอ๋อร์….. หากรักษาไม่ทันการณ์ นางอาจ…..

ม่อจิ่งอวี้หลุบตาลงต่ำ นิ้วมือยกขึ้นคลอแก้มนุ่มของนาง น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้นว่า “เฟยเอ๋อร์ หากเราออกไปไม่ได้ ก็อาจต้องตายที่นี่ บอกข้าหน่อย ว่าเจ้ามีเรื่องเสียใจอันใดหรือไม่?”

ชิงหลานเฟยอึ้งไปเล็กน้อย นางไม่อาจเห็นสีหน้าชายหนุ่ม อีกทั้งน้ำเสียงเขายังไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ มันดูเรียบเรื่อยเสียเหลือเกิน

นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศหนาวเย็นทำให้อากาศหายไปจนหมดหรือไม่ แต่มือชายหนุ่มที่แนบแก้มนางกลับเย็นเฉียบนัก อาจสะท้อนอารมณ์ในปัจจุบันของเขาออกมาอยู่กระมัง ในใจเขาตอนนี้คงมีแต่ความสิ้นหวังก็ได้

ชิงหลานเฟยยกมือขึ้นทาบมือชายหนุ่มที่จับแก้มนางไว้แล้วบีบมันแน่น

“จิ่งอวี้ จะบอกว่าข้าเห็นแก่ตัวก็ได้ เป็นเพราะตอนนั้นข้าต้องการช่วยท่าน ข้ายอมสละแม้สองชีวิตในท้อง ในตอนนั้น….ข้ารู้สึกว่าหากเสียท่านไปฟ้าคงถล่ม ข้าจึงยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อทำให้ท่านอยู่”

ม่อจิ่งอวี้ตั้งใจฟังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เขารู้มาตลอดว่าเฟยเอ๋อร์ต้องเสียสิ่งใดไปเพื่อเขาบ้าง ดังนั้นจึงรู้สึกว่าเขาได้ตอบแทนนางน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่นางต้องฝืนทน

พูดถึงจุดนี้ ชิงหลานเฟยพลันหัวเราะเบา ๆ “แล้วตอนนี้ เหมือนพวกเราถูกโยนคำถามยากเย็นที่หมายถึงชีวิตของพวกเรามา แต่ในตอนนี้ ข้าเหมือนกับไม่เกรงกลัวสิ่งใด อาจเพราะครั้งนี้ข้ามีท่านกระมัง”

“ส่วนเรื่องเสียใจ…..”

ขอบตาชิงหลานเฟยพลันเป็นสีแดง ราวกับว่ายากจะเอ่ยคำใดออกมา

นางกลั้นน้ำตาไว้อย่างยากเย็น น้ำเสียงดูฝืนทนกักเก็บอารมณ์ไว้ “เสี่ยวอวี่กับเสี่ยวเป่ย ….. ลูก ๆ ทั้งสองไม่เคยได้รับความรักความห่วงใยจากพ่อแม่นับตั้งแต่ได้ลืมตาดูโลก แต่กลับถูกข้าทิ้งมายังแดนต่ำตั้งแต่ยังเล็ก ปล่อยให้ร่อนเร่ไร้หนทางพวกเขา….. ในตอนนั้นยังเด็กนัก แต่พวกเราเติบโตใช้ชีวิตได้แล้วแท้ ๆ ….. ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งเจ็บปวด…..”

คำเหล่านั้น….. ทำให้สีหน้าม่อจิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเอ่ยเสียงเบา “เป็นพวกเราทั้งคู่….. ที่ทำหน้าที่พ่อแม่ได้ไม่สมบูรณ์พอ”

“เราต้องออกไปได้แน่จิ่งอวี้ ข้าทิ้งพวกเขาไปไม่ได้…..” ชิงหลานเฟยเสียงสะอื้นน้อย ๆ

“อืม ต้องออกไปได้แน่” ม่อจิ่งอวี้ตอบ

เขาพลันโคงร่างลงน้อย ๆ “หนทางที่เหลือ เจ้าขี่หลังข้าเถอะ เจ้าต้องเก็บแรงไว้ อย่าปล่อยให้หมดแรงง่าย ๆ เล่า”

“แต่…..” ชิงหลานเฟยลังเล

“ทำตามคำข้าเถอะ” ม่อจิ่งอวี้เอ่ยเสียงมั่นคง “อีกทั้งตัวเจ้าเบานัก แบกเจ้าไว้ไม่หนักหรอก”

ชิงหลานเฟยจึงได้แต่ยอมทำตาม เอนร่างแนบกับแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่ม

————————————

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ข้าไม่อยากได้ยินแล้ว!”

หมิงเยว่ยกสองมือปิดหู สีหน้ารวดร้าว คำพูดเสียดแทงของชายหนุ่มทุกคำราวกับมีดแทงลงใจ ส่งความเจ็บปวดเหลือแสนเข้าร่างนางจนสะท้านไปทั้งร่าง

“หากท่านไม่เคยรักข้า แล้วจะช่วยข้าไว้ทำไมกัน? ทำไมต้องให้ความหวังข้า?!”

สีหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเยือกเย็น นางอยู่ในชุดสีดำตัวยาว พลันดูเหมือนภาพสตรีที่ดูชั่วร้ายและมืดมิดยิ่ง

เหลียนซือชุดขาวยังคงความอ่อนโยน มือที่ถือดาบไว้ค่อย ๆ ยกขึ้นมา ใช้ฝักดาบชี้ไปทางนาง

จากนั้นเอ่ยเสียงเบา “รู้สึกถูกหลอกหรือ? โกรธงั้นหรือ? เช่นนั้น….. ก็สังหารข้าเสีย!!”

“คิดว่าข้าไม่กล้าหรือไร?” หมิงเยว่ถามเสียงเย็น นางคว้าด้ามดาบไว้แล้วดึงมันขึ้นมาโดยแรง ก่อนจี้ปลายดาบไปที่ลำคอเขา

“เฮ้ย เจ้านั่นอยากตายนักหรือไร?”

เถาวัลย์ปีศาจเพลิงดินที่ซ่อนตัวดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นกะพริบตาประหลาดใจ “นางดึงดาบออกมาได้เช่นนี้ นางเองก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วงั้นหรือ?”

“เท่าที่เห็น ถึงไม่ถูกสังหารตาย ก็คงเหลือเวลาไม่นานแล้ว”

จั้งไหมยกมือขึ้นกอดอก เลิกคิ้วมองชายหนุ่ม “ไม่รู้หรือว่านอกจากคนตายแล้ว คนที่สำคัญต่อเขาที่สุดเองก็สามารถชักดาบออกจากฝักได้เช่นกัน?”

“คนที่สำคัญต่อเขาที่สุด?” เจ้าตัวเล็กเกาศีรษะแกรก ๆ จากนั้นพยักหน้าเข้าใจพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย “มีความสัมพันธ์เช่นนั้นนี่เอง …..”