บทที่ 326 อย่าได้เจอกันอีกเลย

บทที่ 326 อย่าได้เจอกันอีกเลย

ยามเจ้าตัวเล็กกำลังพูด ก็ยกมือลูบคางไปด้วยใบหน้าชั่วร้ายดูครุ่นคิด

จั้งไหมเหลือบมองเจ้าตัวเล็กด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนกระเถิบถอยออกห่าง ราวกับรู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กช่างน่ารังเกียจนัก

หมิงเยว่ที่ถือดาบไว้กำมันแน่น จ้องใบหน้าไร้อารมณ์ของชายหนุ่มนิ่ง นัยน์ตาเจือแววทะมึน ราวกับตัดสินใจบางอย่างได้ หากแต่พริบตาต่อมา ไม่รู้ว่าเห็นอะไรร่างนางจึงแข็งค้างไปเช่นนั้น

ร่างของเหลียนซือชุดขาวกำลังค่อย ๆ เลือนหายไป

ส่วนดาบที่จี้คอเอาชีวิตเขาได้ก็ทิ่มได้เพียงอากาศ ราวกับร่างเขากลายเป็นเพียงเงามายาจาง ๆ เหมือนกับเป็นภาพที่เห็นในความฝัน

แม้เขาจะยังยิ้มให้นาง แต่ภาพแปลกประหลาดก็ทำให้หมิงเยว่ประหลาดใจจนนิ่งอึ้งไป ในรอยยิ้มของชายหนุ่มเหมือนจะมีบางอย่างที่นางไม่อาจเข้าใจอยู่

ไม่รู้ทำไมจึงทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายใจ

“ดูท่าจะสายเกินไปแล้ว” เห็นแล้วโหลวจวินเหยาจึงเอ่ยขึ้น

“เขาอยากหายไปเช่นนั้นจริงหรือ?” เหลียนซือชุดดำเองก็มีสีหน้าประหลาดใจ ราวกับไม่อยากเชื่อกับภาพที่เห็น

เวลาผ่านไปนานมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ข่าวดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์เลย

สวรรค์ต้องการให้เขาตายมากเช่นนั้นเลยหรือ?

ชิงอวี่สายตาคมปลาบ หันไปหาชิงเทียนหลินแล้วมุ่นคิ้วแน่น ดูจะสงสัยความสามารถของอีกฝ่าย

ชิงเทียนหลินยิ้มไม่สนโลกให้ ไม่ดูกังวลสักนิด

“หวังว่าจะรักษาสัญญาได้” ชิงอวี่ว่าพลางส่งสายตามองชายหนุ่ม กัดฟันเอ่ยเน้นย้ำทุกคำ

ชิงเทียนหลินพ่นลมหัวเราะหยันออกมา “แน่นอน ข้าจะไม่มีทางหลอกเจ้าแน่”

สิ้นเสียงเขาแล้ว หมอกดำพลันพวยพุ่งขึ้นรอบกาย มีบางสิ่งบางอย่างโผล่ออกมาจากนอกนั้น แล้วพุ่งเข้าใส่ใบหน้าเขา

ชิงเทียนหลินยื่นมือออกมาคว้าของสิ่งหนึ่งไว้มั่น เมื่อมองให้ดี มันคือดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์สีสันสดใสคล้ายของจริงที่มีสีทอง มีขนาดราวศีรษะหนึ่ง

ดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์ปกติแล้วเป็นสีขาว เมื่อมีอายุมากจะค่อนไปทางสีเงิน ส่วนดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์สีทองนั้นอาจไม่เคยมีใครพบมาก่อน

แม้ชิงอวี่เคยพบเห็นสมบัติล้ำค่าหายากมามากมาย แต่ได้เห็นของล้ำค่าชิ้นตรงหน้าเป็นครั้งแรก ส่งผลให้ชิงอวี่อดมองมันหลายครั้งไม่ได้ ได้ยินมาว่ามันเป็นของหายากนัก ทั้งยังอาจมีจิตนึกคิดเป็นของตน สร้างอีกร่างหนึ่งได้ ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้มันถึงได้ดูเงียบสงบเชื่อฟังนัก

ชิงเทียนหลินส่งดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์ให้โหลวจวินเหยา “เวลาไม่คอยใคร ดึงวิญญาณเขามาในนี้โดยเร็วเถอะ เขาเลือนหายไปเร็วมาก หากหายไปแล้วก็ไร้ประโยชน์”

โหลวจวินเหยาท่าทางไม่พอใจเท่าไหร่ หากแต่ไร้คำพูด รับดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์มา จากนั้นใช้ปลายนิ้ววาดบางอย่างเหนือมันเล็กน้อย พลันเกิดร่องตื้นขึ้นมา สีแดงฉานค่อย ๆ ไหลจากมือเนียน หยดลงที่กลางดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์

ที่อีกด้านหนึ่ง หมิงเยว่จ้องร่างที่ค่อย ๆ เลือนหายไปของอีกฝ่ายแล้วก็เหมือนรู้เรื่องบางอย่าง ดาบในมือร่วงลงพื้นทันที เกิดเป็นเสียงดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง

ราวกับว่านางพึ่งตระหนักได้ ว่าเรื่องที่เกิดตรงหน้าไม่ใช่เพียงภาพลวงตา

เหตุใดภาพตรงหน้าจึงทำให้นางหวาดกลัวได้เช่นนี้?

“เหลียนซือ….. เกิดอะไรขึ้น…..”

เขากลับมาแล้วงั้นหรือ?

แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และกลับมาหานางใช่หรือไม่?

แล้วทำไมร่างกายของเขาจึงจางลงเรื่อย ๆ เช่นนี้….. เขาจะจากนางไปอีกครั้งหรือ?

ไม่! ข้าไม่ยอม!

เหลียนซือเห็นนางกระวนกระวาย ลนลานไปหมด จึงยิ้มปลอบ เอื้อมมือจาง ๆ คล้ายกับอยากสัมผัสแก้มนาง เช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาให้

แต่กำลังจะเอื้อมถึง มือนั้นกับชะงักไป

เพราะเขารู้ดีว่าเขาคงไม่อาจแตะต้องนางได้

มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง “หมิงเยว่ เวลาผ่านมานับล้านปี เราได้พบกันอีกครั้งก็นับว่าโชคดีแล้ว เจ้าจะปล่อยวางอดีตได้หรือไม่? ปล่อยพวกมันทั้งหมดไป แล้วหวงแหนคนที่ยังอยู่เคียงข้างแทน มันเป็นสิ่งที่ควรจะมีความสำคัญกับเจ้าที่สุด ของที่หายไปแล้วไม่ใช่ว่าจะกลับมาได้ทุกอย่าง ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดี”

“ปล่อยวางงั้นหรือ? หึ! ท่านคิดจะให้ข้าปล่อยวางไปเช่นนั้นได้อย่างไร?”

หมิงเยว่หัวเราะเยาะ เอ่ยเสียงกัดฟัน “ข้ากลายเป็นศพเดินได้มานานหลายปี หากสูญเสียความหวังสุดท้ายที่ข้าเกาะเกี่ยวไว้แล้ว เช่นนั้นอยู่ไปก็ไร้ความหมาย…..”

ว่าจบ นางก็เงียบไปเล็กน้อย ก่อนนึกบางอย่างขึ้นได้ สีหน้ากลายเป็นยินดี เสียงกังวลเล็กน้อยขึ้น “ท่านไม่ต้องห่วง ข้าหาวิธีฟื้นคืนชีพท่านได้แล้ว หลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยพบตัวกลางที่เหมาะสมเช่นนี้มาก่อน ครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่ เชื่อข้าเถอะ…..”

“เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นเผ่าเทพ?” เหลียนซือชุดขาวเอ่ยขัดนางขึ้นกลางประโยค

หมิงเยว่ชะงัก สีหน้าไม่เข้าใจ

“เผ่าเทพนั้น เป็นตัวตนศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวแทนแห่งแสงสว่าง เกลียดชังความชั่วร้ายและความมืดมิด เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กลายเป็นคนที่มุ่งลงสู่ห้วงนรกอย่างไม่ลังเลเพื่อสิ่งที่ตนต้องการเช่นนี้” เหลียนซือชุดขาวว่าพลางจ้องหน้าหญิงสาว ดวงตาดูมีความผิดหวัง

มองหญิงสาวตรงหน้าแล้ว เหมือนไม่ใช่เด็กสาวผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไป ความบริสุทธิ์ทั้งหลายในหัวใจของนาง ตอนนี้เปื้อนไปด้วยร่องรอยความมืดมิดเสียแล้ว

และทั้งหมดนี่ ก็เหมือนจะมาจากเขาเป็นต้นเหตุ

เหลียนซือชุดขาวหลับตาลงช้า ๆ ในเมื่อเรื่องชั่วช้าเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเขา ให้เขาได้เป็นคนจบมันเถอะ!

“ข้าควรจะหายไปจากโลกนี้นานแล้ว อาจเป็นเพราะความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจ ส่งผลให้วิญญาณลังเลที่จะจากไป รั้งอยู่ข้างกายคนผู้หนึ่งมายาวนาน”

“แม้นางจะไม่รู้ว่ามีข้าอยู่ก็ตามแต่ ข้าเองก็ไม่อาจได้พบหน้านาง เพียงแต่สัมผัสถึงกลิ่นอายของนางได้ เท่านั้นก็ปลอบประโลมใจได้มากพอแล้ว”

“ทั้งชีวิตอันยาวนานของข้า มีสามเรื่องที่ทำให้ข้าเสียใจมากที่สุด”

“เรื่องแรกคือ ข้าไม่ควรเกิดมาเป็นบุตรของเผ่าปีศาจ ถือครองสายเลือดทรงพลังของทั้งเผ่าเทพและเผ่าปีศาจ”

“เรื่องที่สองคือ ข้าไม่ควรลืมตัวตน สูญเสียความควบคุมในจิตใจ เริ่มมีความรู้สึกที่ไม่สมควรมี ให้กับคนจากเผ่าเทพ”

“เรื่องที่สาม หลังจากตายไปแล้วข้าก็ควรไปเกิดใหม่ ไม่ควรยังดื้อรั้นยึดติดอยู่กับอดีต ทำให้นางต้องหลงทาง กระทำบาปนับไม่ถ้วน”

“ข้าเต็มใจชดใช้ด้วยพลังบำเพ็ญนับหมื่นปี ให้กับเรื่องชั่วช้าที่นางทำ อย่าให้อย่าได้จดจำเรื่องใดในชาตินี้ได้อีก ให้ความทรงจำในอดีตสลายไปราวหมอกควัน…..”

“เหลียนซือ ท่านเสียสติไปแล้วหรือ!!?”

จากตอนแรกที่ตื่นตะลึง ในใจหมิงเยว่ตอนนี้กลับมีแต่ความโกรธและความหวาดกลัว

เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?

ชดใช้อะไรกัน? ชดใช้ให้กับบาปนางงั้นหรือ? นางทำบาปอะไรไว้กัน!? แล้วทำไมเขาต้องชดใช้แทนนาง?!

ด้วยการละทิ้งอดีตทั้งหมด…..

เช่นนั้นจะโหดร้ายเท่าใดกัน?

หากแต่เขาไม่ตอบ ส่งยิ้มครั้งสุดท้ายให้นาง “หมิงเยว่ ครั้งนี้ข้าคงไปจริง ๆ แล้ว….. พวกเราทั้งสองไม่ได้ถูกลิขิตให้คู่กัน จึงไม่อาจบังคับให้คู่กันได้”

พูดจบ ก็ราวกับเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายหายไป เงาร่างเลือนรางของเหลียนซือชุดขาวพลันหายไปจนหมด ไม่เหลือเค้าลางให้เห็นอีก

บนพื้นไม่เหลือสิ่งใด มีเพียงดาบเล่มหนึ่งนอนนิ่งอยู่เท่านั้น

มันเป็นดาบที่ไม่เคยห่างกายยามเขามีชีวิตอยู่ ราวกับจะเป็นตัวบ่งบอกถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน

หมิงเยว่มีสายตาว่างเปล่า พริบตานั้นราวกับแรงทั้งหมดถูกดูดหายไป สองขาอ่อนแรง ล้มลงกับพื้นทันที

อีกด้านหนึ่ง หลังจากดอกบัวซึมซาบเลือดเข้าเกสรไปแล้ว กลีบดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์ที่บานเต็มที่ก็เริ่มปิดตัวลงช้า ๆ กลายเป็นดอกตูมที่รอบานอีกครา

ชิงเทียนหลินหมุนดูดอกไม้ตูมในมือตนเล่น เอ่ยเสียงเสียดายอยู่บ้าง “น่าเสียดายนัก ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็เคยเป็นคนมีกำลังแกร่งกล้า สะท้านใต้หล้ามาแล้ว แต่กลับต้องตกอยู่ในสภาพนี้ได้”

“เขา….. อยู่ในนั้นแล้วหรือ?” ชิงอวี่ถามเสียงตกใจเล็กน้อย

“ถูกต้อง!” โหลวจวินเหยาพยักหน้า “แต่เพราะเขาบิดเบือนชะตาตนเอง จึงไม่อาจฟื้นชีพเขาได้อีก เว้นเสียแต่ดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์จะบานอีกครา”

ชิงอวี่สับสนน้อย ๆ “หมายความว่าอย่างไร?”

“เขาล้างความทรงจำในอดีตทิ้งไปหมด ละทิ้งโอกาสไปเกิดใหม่ และเพราะดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์เป็นของศักดิ์สิทธิ์ มันก็ชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วย ดังนั้นเขาจึงสะอาดบริสุทธิ์ราวกับเด็กเกิดใหม่ ไม่รู้สิ่งใดทั้งสิ้น จำอะไรไม่ได้เลย ทำให้ดอกบัวตูมดอกนี้เป็นที่ปลอดภัยที่สุดของเขาไปแล้ว”

โหลวจวินเหยาหลุบตาลงมองเด็กสาวพลางอธิบาย

“งั้นหรือ” ชิงอวี่เอ่ยเข้าใจ

จากนั้นเคลื่อนสายตาไปมองหญิงสาวที่ยังตัวแข็งค้างอยู่ สายตาว่างเปล่าจ้องไปเบื้องหน้า ราวกับถูกพลังซัดรุนแรง ชิงอวี่ไม่รู้ว่าจะชังหรือจะสงสารนางดี

คนที่กลายเป็นน่าสงสารเช่นนี้ มักจะทำเรื่องน่าชังมามากจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้

อีกทั้งนางเองก็ไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าสงสารแต่อย่างไร

มีคนมากมายต้องเจ็บปวดเหลือหลายเพราะนาง จะให้บาปทั้งหมดที่นางกระทำหายไปเพียงเพราะความสงสารไม่ได้

เมื่อเหลียนซือชุดขาวหายไปแล้ว ความเปลี่ยนแปลงในเหลียนซือชุดดำก็เริ่มจางลงเช่นกัน

กลิ่นอายชั่วร้ายดั่งปีศาจหายไป ใบหน้าดูสับสนอยู่ชั่วครู่ จากนั้นไม่นาน เขาก็เดินไปยืนเคียงข้างหมิงเยว่ หยุดฝีเท้าอยู่ตรงหน้านาง แล้วก้มร่างลงไปหา

มือหนึ่งวางลงบนไหล่นางแผ่วเบา เอ่ยเสียงขรึมขึ้น “ยังมีข้าอยู่…..”

หมิงเยว่ร่างแข็งค้าง ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา พริบตาต่อมา นัยน์ตาก็หดตัว นางร้องออกมา “เหลียนซือ ท่านกลับมาหาข้าแล้วงั้นหรือ?”

เหลียนซือชุดดำนัยน์ตาดำมืด ยังไม่ทันได้เอ่ยคำ ก็ถูกหญิงสาวดึงเข้าไปกอด เสียงสะอื้นฮักดังขึ้นข้างหู “อย่าจากข้าไปอีกได้หรือไม่? ข้าได้รับบทเรียนแล้ว ข้าจะเปลี่ยน….. อย่าโกรธข้าเลย…..”

นางเคยใช้น้ำเสียงยอมเขาเช่นนี้เลยหรือ?

เขายืนเช่นนั้น ไม่ขยับกายสักนิด นางอิงแอบไปกับร่างเขา สุดท้ายจึงถอนหายใจออกมา “เอาเถอะ”

ไม่ว่านางจะกลายเป็นคนเช่นไร เขาก็คงไม่อาจทิ้งนางลง…..

แม้ใครอาจคิดว่าเขาฉวยโอกาส เขาก็ทำมาหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ คงถึงเวลาต้องปล่อยวางแล้ว