บทที่ 327 ให้พวกเราตายไปพร้อมกัน

บทที่ 327 ให้พวกเราตายไปพร้อมกัน

เรื่องบนยอดเขาใจสงบทั้งหมดเหมือนจะจบลงเช่นนั้น

ตลอดเวลานั้น ทุกสิ่งที่ตาเห็นนั้นสวยงามดั่งฝัน แต่เมื่อเกราะในใจชั้นสุดท้ายพังลง ทุกสิ่งอย่างก็สลายไปไม่เหลือสิ่งใด

อาคารที่ตั้งตระหง่านสูงเด่นอยู่ท่ามกลางแดนน้ำแข็งเริ่มถล่มลงมาทีละน้อย

ไม่กี่ชั่วลมหายใจ ตำหนักอันงามสง่าขนาดใหญ่ก็หายไป ตรงหน้าเหลือเพียงดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลที่ราวกับกรำศึกหนักมานาน หญ้าสักต้นยังไม่มี บนพื้นมีรอยแยกขนาดใหญ่มากมาย ราวกับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าหญิงแก่ใกล้สิ้นลมก็มิปาน

เป็นภาพที่รกร้างและหดหู่จนน่ากลัว

“เกิด….. อะไรขึ้นกัน?”

ใช้เวลาหลายอึดใจกว่าทุกคนจะหายตกตะลึงกับภาพน่าผวาตรงหน้าได้

เหลียนซืออุ้มสตรีที่ดูเหมือนจะหมดสติอยู่ในอ้อมแขนก่อนยืนขึ้นช้า ๆ เอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “เดิมทียอดเขาใจสงบหน้าตาเช่นนี้ แต่คนนอกไม่มีใครรู้”

จากนั้นก็ลากสายตามามองหญิงสาวในอ้อมแขน นัยน์ตาแต้มแววสงสารเสียใจ

“ก่อนที่เผ่าเทพกับเผ่าปีศาจจะก่อสงครามกัน นางเป็นเพียงองค์หญิงน้อยคนหนึ่ง ในใจนางมีแต่ความดีงาม ไร้ความชั่วร้ายขัดแย้งใด ดังนั้นนางจึงใช้พลังบำเพ็ญทั้งชีวิตสร้างแดนมายาที่สวยงามนี่ขึ้นมาเหนือผืนดินนี่”

เหลียนซือว่าจบ ทุกคนก็ตกตะลึงไป

เหมือนกับไม่อาจเชื่อลงว่าทุกอย่างบนยอดเขาใจสงบ แดนเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเคารพนับถือว่าเป็นความงามอมตะในสายตาชาวมนุษย์ แท้จริงแล้วเป็นเพียงภาพลวงที่สร้างขึ้นจากภาพจำของคนที่ไม่ยอมปล่อยวางอดีต

สุดท้ายมันก็เป็นเพียงภาพฉาก เหมือนจันทราสะท้อนผิวน้ำ ความฝันอย่างไรก็คือฝัน สักวันจำต้องตื่น

มุมปากเหลียนซือยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย แม้จะดูขมขื่นและแต้มรอยเยาะตนเองอยู่บ้าง “ชั่วชีวิตนาง นับตั้งแต่พบบุรุษผู้นั้น ก็เอาแต่ไล่ตามเขามาโดยตลอด มีเพียงตอนนี้ ที่ข้าคิดว่านางคงตื่นจากภาพฝันทั้งหมดแล้ว…..”

พูดถึงจุดนี้ เหลียนซือก็ค่อย ๆ หันไปทางทุกคน “เกรงว่าทุกท่านคงได้แต่เดินทางมาเสียเที่ยวแล้ว ที่นี่ไม่มีสมบัติล้ำค่าใดซ่อนไว้ตามคำลือหรอก มีเพียงความเศร้าโศกเสียใจจากอดีตนับล้านปีก่อนเท่านั้น จากนี้ไปจะไม่มียอดเขาใจสงบอีก”

“ทุกท่านเดินทางจากไปเสียเถอะ ข้าจะให้คนพาพวกท่านออกไป”

ว่าจบ เหลียนซือเองก็ทำท่าจะจากไปพร้อมสตรีในอ้อมแขนทันที

“เดี๋ยว!” ชิงอวี่ พลันร้องขึ้น “ท่านแม่ข้าเล่า? ท่านช่วยหานางได้หรือไม่?”

เหลียนซือนิ่งไป กำลังจะเอ่ยคำสายตาก็พลันเปลี่ยน “เจ้าไม่ต้องหาหรอก นางออกมาแล้ว”

ชิงอวี่มุ่นคิ้วฉงน หากแต่พริบตาต่อมา ก็เห็นเงาร่างมนุษย์ปรากฏขึ้นจากไกล ๆ มองดูดี ๆ แล้วเห็นเป็นบุรุษผู้หนึ่ง มองเห็นอีกคนอยู่บนหลังเขาจาง ๆ

ชิงอวี่หรี่ตามองนิ่ง ก่อนจะเบิกตากว้างประหลาดใจ “นั่นมัน…..”

ไม่นาน คนผู้นั้นก็เดินเข้ามาใกล้ เขาสวมชุดตัวยาวสีขาวงาช้าง หลายจุดมีรอยเลือดรอยดินเปื้อน ดูกระเซิงไปนิด ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม ท่าจะไม่อยู่ในสภาพดีนัก

สตรีในชุดแดงบนหลังเขาซบอ่อนปวกเปียกอยู่บนนั้น ไม่ขยับเพียงนิด เหมือนจะหมดสติไปแล้ว

บุรุษผู้นั้นคือม่อจิ่งอวี้ จึงเดาได้ไม่ยากว่าสตรีบนหลังเป็นใคร

ชิงอวี่รีบสาวเท้าเข้าไป สีหน้ากังวลยิ่ง “ท่านพ่อเป็นอะไรหรือไม่? บาดเจ็บตรงไหน…..”

“ไม่ต้องห่วงข้า รีบดูแม่เจ้าก่อน นางมองไม่เห็นมานานแล้ว ไม่รู้ทำไมยังเสียพลังวิญญาณอยู่เรื่อย ๆ เช่นนี้ หากยังไม่ได้สติโดยเร็ว เกรงว่าคงรั้งนางไว้ได้อีกไม่นาน…..”

ม่อจิ่งอวี้พูดแล้วก็ค่อย ๆ วางร่างนางลงอย่างระมัดระวัง

ชิงอวี่รีบวางนิ้วลงบนข้อมือชิงหลานเฟยเพื่อตรวจอาการ ก่อนจะเปิดเปลือกตาดู

จากนั้นหันหน้าขรึมไป “ท่านพ่อไม่ต้องกังวล อาการของท่านแม่เกิดจากการที่อยู่ในแดนหิมะนานเกินไป ตามองไม่เห็นเพียงชั่วคราว ส่วนที่เสียพลังวิญญาณ นั่นเพราะมีบาดแผลที่ยังไม่หายดีอยู่ก่อนหน้า เส้นประสาทในร่างตึงเครียดอยู่ตลอดเป็นเวลานาน เมื่อร่างกายต้องพักแต่ทำไม่ได้ จึงทำให้กลายเป็นเช่นนี้”

“นางไม่เป็นอะไรกระมัง?” ม่อจิ่งอวี้มุ่นคิ้วแน่น “แต่นางยังไม่ได้สติ…..”

“ท่านแม่ไม่ได้หลับตาพักมานานจึงหลับลึกไปด้วยความเหนื่อยล้า” ชิงอวี่เอ่ยขัดความกังวลลนลานของอีกฝ่าย ก่อนเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยคำ “ข้าได้วิชาแพทย์มาจากท่านแม่ท่านรู้หรือไม่? ท่านพ่อไม่เชื่อข้างั้นหรือ?”

สองคนนี้….. ห่วงใยกันมากจริง ๆ

มีพ่อแม่รักกันเช่นนี้ ไม่แน่ว่าเสี่ยวเป่ยกับนาง อาจเรียกว่าก้างขวางคอพวกเขาก็เป็นได้!

ได้ยินน้ำเสียงเจือแววขันของนางแล้ว ม่อจิ่งอวี้จึงอึ้งไป ก่อนจะรู้ว่าตนเองกังวลมากไปหน่อย แววขัดเขินพลันฉายชัดขึ้นแวบหนึ่ง

ชิงอวี่หัวเราะก่อนนึกบางอย่างได้ เงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าไม่เห็นเหลียนซือแล้ว

เหยี่ยนพั่วที่บาดเจ็บสาหัสก็หายไปเช่นกัน

แต่แม่นางน้อยชุดขาวยังอยู่ คงจะเป็นคนที่เหลียนซือพูดถึง ที่ว่าจะให้คนมาพาออกไปกระมัง

“เราไม่ควรรั้งอยู่ที่นี่อีก ไม่รีบออกไปโดยเร็วเล่า?” คนหนึ่งเอ่ยเสียงขึ้น

รอดพ้นอันตรายมานักต่อนัก คนเหล่านี้จึงอยากกลับไปยังสถานที่คุ้นเคยแล้ว ไปหาคนที่อยากหา รู้สึกรักชีวิต รู้แล้วว่าชีวิตนั้นเปราะบางล้ำค่าเพียงไหน

แม่นางน้อยชุดขาวจึงพยักหน้าน้อย ๆ ให้กลุ่มคน เป็นสัญญาณให้ตามนางไว้ ก่อนนางจะเริ่มออกเดิน

ทุกคนจึงตามนางไปทันที

“เสี่ยวเป่ย เจ้ากลับสำนักเซียนแพทย์ไปกับท่านพ่อก่อน ที่นั่นเหมาะจะพักฟื้นกว่า” ชิงอวี่เอ่ยปาก

ม่อจิ่งอวี้ขมวดคิ้วถาม “เจ้าไม่ไปด้วยหรือ?”

“ข้ายังมีธุระที่ยังไม่ได้สะสาง พวกท่านไปก่อนเถอะ อาการท่านแม่จำต้องรีบรักษา” ชิงอวี่ตอบ

ได้ยินแล้วม่อจิ่งอวี้จึงไม่พูดอีก มองไปทางโหลวจวินเหยาข้างกายชิงอวี่แทน หากมีบุรุษผู้นั้นอยู่ด้วย เสี่ยวอวี่คงปลอดภัย

คนสุดท้ายจากไปแล้ว เหลือเพียงชิงอวี่ โหลวจวินเหยา ชิงเทียนหลิน และ ชิงเยี่ยหลีที่ยังรั้งอยู่

ชิงเทียนหลินหัวเราะเบา ๆ“อะไรกัน? พวกเจ้าไม่ไปกันหรือ?”

“เจ้าเองก็ยังอยู่ไม่ใช่หรือ?” โหลวจวินเหยาเหลือบมองอีกฝ่าย

ชิงเทียนหลินเลิกคิ้วหันมองชิงอวี่ “พวกข้าไม่คิดจะออกไปจากที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว!”

โหลวจวินเหยาหรี่ตาลง สายตาดูอันตรายเล็กน้อย “พวกข้า?”

เขาย่อมจับความนัยในคำพูดได้

ชิงเทียนหลินไม่สนเขา ยังคงมองไปทางชิงอวี่ “ชิงชิง คิดเรื่องที่ข้าพูดไว้ตกหรือไม่?”

“ไร้สาระยิ่ง” ชิงอวี่มีสีหน้าเย็นชา “ข้าบอกแล้วว่าไม่มีทางที่ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนดังอดีต เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”

ชิงเทียนหลินก้มหน้าลงจึงไม่อาจเห็นสีหน้าเขาได้ หลายอึดใจเขาจึงหัวเราะเสียงทุ้มออกมา ก่อนเอ่ยเสียงย้ำคำชัดเจน “ชิงชิงเอ๋ย….. เจ้าอยู่โลกนี้มานานเกินไป จนลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าไม่ใช่คนของที่นี่

ชิงอวี่ดูสะดุ้งน้อย ๆ นิ้วมือกำแน่น ริมฝีปากสั่นเทา เอ่ยคำขึ้นว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร …..”

“เจ้ารู้สึกอะไรหรือไม่?” ชิงเทียนหลินไม่ตอบ เพียงแต่ถามยิ้ม ๆ เท่านั้น

ชิงอวี่ไม่อาจตอบสนองคำพูดชายหนุ่มได้ในทันที ในอากาศที่ยังสงบนิ่ง พลันรู้สึกถึงบางอย่างกำลังหมุนวนตีขึ้นมา

นางจึงรีบมองหาต้นกำเนิดในพลัน พบว่าเกิดรอยแยกสีดำปรากฏอยู่ด้านหลังชิงเทียนหลิน มันค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

อะไรกัน?

โหลวจวินเหยาสีหน้าทะมึนมืด เอื้อมมือไปคว้าข้อมือนางไว้ รีบดึงนางเข้าอ้อมกอดอย่างปกป้อง น้ำเสียงยามเอ่ยคำยังเจือแววชั่วร้าย “เจ้าทำอะไร!?”

แม้จะไม่รู้ว่ารอยแยกดำคืออะไรกันแน่ แต่กลับรู้สึกถึงพลังไม่คุ้นเคยกำลังแผ่ออกมา

มุมปากโค้งของชิงเทียนหลินยิ่งกดลึกขึ้น ทว่าพยายามแสร้งทำสีหน้าจนใจ “ข้าเพียงอยากให้เจ้ากลับบ้านก็เท่านั้น เจ้าจะกลัวไปไย? ข้าเป็นท่านพี่ที่เจ้ารักที่สุดไม่ใช่หรือ? เจ้าต้องเชื่อฟังทำตามที่ข้าบอกสิ …..”

เขาพลันหยุดเอ่ยคำ ใบหน้าอ่อนโยนเครียดขึง กลายเป็นความบ้าคลั่งน่าขวัญผวาแทน

“เจ้าไปหลบในอ้อมกอดบุรุษอื่นได้อย่างไรกัน? เจ้าเป็นของข้า!”

รอยแยกสีดำเริ่มขยายเท่าหนึ่งฝ่ามือแล้ว มันขยายใหญ่อยู่เบื้องหลังชิงเทียนหลิน ใบหน้าชั่วร้ายดั่งปีศาจของเขาดูราวกับปีศาจจากขุมนรก ส่วนรอยแยกด้านหลังที่ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นดูราวกับประตูสู่นรกก็มิปาน

“ชิงชิง เป็นเด็กดี มาหาท่านพี่ตรงนี้ พวกเรากลับบ้านด้วยกันเถอะ” ชิงเทียนหลินเอ่ยกล่อมพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย

ทันใดนั้น คนผู้หนึ่งก็ขวางหน้าชิงเทียนหลินไว้ เขาสวมชุดดำทั้งตัว เรือนผมสีเงิน นัยน์ตาสีเขียว ชิงเยี่ยหลียืนสีหน้านิ่งสงบขวางทางไว้ นัยน์ตาไร้อารมณ์ใด ราวกับน้ำนิ่งไร้แรงกระเพื่อม

“อะไรกัน? เจ้าจะขวางข้าอีกแล้วหรือ?” ชิงเทียนหลินจ้องคนตรงหน้านิ่ง เอ่ยเสียงเยาะเย้ยขึ้นมา

ชิงเยี่ยหลีเอ่ยเสียงเรียบตอบ “ละทิ้งความทะเยอทะยานและอำนาจแล้วงั้นหรือ?”

ชิงเทียนหลินชะงักไปน้อย ๆ ก่อนหัวเราะหยัน หันไปทางชิงอวี่พลางกล่าว “ความทะเยอทะยานทั้งหลาย ที่ผ่านมาก็เพื่อชิงชิง แต่นางไม่เคยรู้ว่าข้าดีกับนางเพียงไหน กลับไปตกหลุมรักชายอื่น เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องใจดีอีกต่อไป ข้าจะทำให้นางเป็นของข้าไปตลอดกาล!”

“ปิดประตูนั่นเสีย แล้วข้าจะกล่อมให้นางไม่เกลียดเจ้าอีก” ชิงเยี่ยหลีว่าต่อ

สิ้นคำเขา ไม่เพียงชิงเทียนหลินที่ตะลึง แต่กระทั่งชิงอวี่ก็ยังตกตะลึงไปด้วย

อะไร….. เสี่ยวเยี่ยพูดอะไรกัน?

ชิงเทียนหลินตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะตั้งสติได้แล้วหัวเราะเสียงดังออกมา “คิดหลอกข้าเพื่อถ่วงเวลาหรือ? หึ! ประตูนี่ปิดไปเช่นนั้นไม่ได้หรอก”

ชิงเยี่ยหลีหรี่ตาลง

“นี่คือประตูมรณาของนักเชิดหุ่น เมื่อเปิดแล้วก็จะดูดกลืนสิ่งมีชีวิตเข้าไป เว้นเสียแต่จะได้มีวิญญาณพลังสูงส่งเป็นเครื่องสังเวย”

รอยขันปรากฏขึ้นในดวงตาชิงเทียนหลิน เขาหันไปทางชิงอวี่ “ชิงชิง ข้าให้โอกาสเจ้าเลือกแล้วไม่ใช่หรือ?”

และเจ้าก็เป็นคนเลือกความตายด้วยตัวเอง