บทที่ 328 เกินคาด
บทที่ 328 เกินคาด
เว้นเสียแต่จะมีวิญญาณทรงพลังยอมถูกเซ่น…..
สีหน้าใครหลายคนพลันเปลี่ยน ราวกับไม่คิดว่าเขาจะลงมือทำเรื่องบ้าเช่นนั้นได้
ชิงอวี่ค่อย ๆ พลิกตัวออกจากอ้อมแขนโหลวจวินเหยา ก่อนเดินไปตรงหน้าชิงเทียนหลิน ใบหน้างดงามไร้ที่ติจ้องชายหนุ่มนิ่งด้วยแววรังเกียจ
“นี่เจ้า….. เสียสติไปสิ้นแล้วหรือ?” นางเอ่ยปากกล่าวชัดถ้อยคำ
“ชาติก่อน ข้าก็ยอมสละชีวิตให้เจ้าไปแล้ว ไม่คิดแค้นเรื่องที่เจ้าทำไว้ในอดีต ถือว่าตอบแทนความห่วงใยเสี้ยวหนึ่งที่มีต่อคนในครอบครัวเดียวกัน ที่เจ้าอาจจะเคยรู้สึกจริง ๆ มาก่อน เท่านั้นยังไม่พออีกหรือ?”
นัยน์ตาหงส์กระจ่างของเด็กสาวเจือแววเยียบเย็น “ข้านึกสงสัยมาหลายครั้ง ทำไมต้องเป็นข้า? เจ้าเห็นอะไรในตัวข้ากันแน่?”
“เป็นเพราะวิชาฝังวิญญาณและตำราแพทย์แดนเซียนหรือ หากใช่ก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม สะบั้นวิญญาณข้าเสียเลยสิ พลังบำเพ็ญข้าถูกทำลายสิ้นแล้ว ทั้งสองอย่างก็จะตัดขาดสัญญาวิญญาณกับข้าเอง แล้วเจ้าก็จะได้มันมา…..”
หรือก็คือ นางตายไปแล้ว สมบัติล้ำค่าทั้งสองก็จะเป็นอิสระ
ชิงเทียนหลินไม่คิดว่านางจะพูดเช่นนั้น
ราวกับนางยอมแพ้ในตนเองไปแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมานางไม่เคยประนีประนอมเลย แล้วครั้งนี้ทำไมถึง…..
เห็นสีหน้าเขาเปลี่ยน ชิงอวี่ก็สายตาเย็นเฉียบ “ไม่ลงมือหรือ? เช่นนั้นข้าเอง”
ว่าจบ นางก็ยกฝ่ามือขึ้น ซัดเข้าที่กลางหน้าผาก นั่นคือจุดที่รากวิญญาณของคนที่บำเพ็ญเพียรตั้งอยู่ หากบาดเจ็บหนักก็ไม่อาจใช้ยาใดรักษาได้ และไม่ว่าจะเป็นนักปรุงยาฝีมือดีเช่นไรก็ไม่อาจช่วย
การกระทำนั้นทำเอาชายหนุ่มตกตะลึงทันที ชิงเทียนหลินยืนอยู่ใกล้ที่สุด เรียบเอื้อมมือมายึดมือนางไว้ไม่คิดลังเล
หากแต่เมื่อโดนร่างสีหน้าก็แข็งค้างไปราวกับไม่อยากเชื่อ เขาลดสายตาลงมอง พบว่ามือที่จับแขนนางไว้แน่นรู้สึกถึงบางอย่างอุ่น ๆ เหนียว ๆ จากนั้นก็รู้สึกถึงพลังสายหนึ่งแล่นไปทั่วเส้นพลัง
“เป็น….. อุบายหรือ?” ชิงเทียนหลินหน้าเคร่ง กัดฟันเอ่ยคำออกมา
ชิงอวี่ยกมุมปากน้อย ๆ เอ่ยเสียงเบาขึ้น “เจ้าไม่คิดปล่อยข้าไปแต่แรกแล้ว จู่ ๆ มาห่วงชีวิตข้าไปเพื่ออะไร? เจ้าน่าจะเปลี่ยนให้ข้าเป็นหุ่นไปตั้งแต่แรก เท่านั้นก็สมหมายตั้งนานแล้ว ไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”
“บางทีเจ้าอาจอำมหิตไม่พอ จึงไม่อาจทำความทะเยอทะยานอันน่าขันนั่นของเจ้าให้เป็นจริงได้”
ชิงเทียนหลินยืนนิ่ง จ้องมองนางจนตาเริ่มขึ้นสีแดง ผ่านไปหลายอึดใจจึงแหงนหน้าหัวเราะบ้าคลั่ง เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเศร้าไร้ที่สิ้นสุด
คนผู้นี้หน้าซื่อใจคดมาตลอด ชั่วร้ายจองหอง แต่ในตอนนั้น เขาดูราวกับคนน่าสมเพชคนหนึ่งที่โหยหาความรักความใส่ใจเท่านั้น
“อำมหิตงั้นหรือ…..”
“ฮ่า ๆ….. ข้าทำผิดไปสินะ? ตั้งแต่ต้นแล้ว ข้าไม่ควรเมตตา คิดเผื่อเจ้าเลย แต่ว่า…..”
เขาค่อย ๆ ลืมตาแดงก่ำอย่างช้า ๆ จ้องมองตรงทางนาง “ชิงชิง ข้ารักเจ้าจริง ๆ ….. ทำไมเจ้าเลือกจะยิ้มให้เจ้าครึ่งคนครึ่งอสูรนั่นได้ ปฏิบัติกับเขาอ่อนโยนได้ แต่กลับไม่มองข้าบ้างเลย…..”
“เจ้ารู้หรือว่ารักคืออะไร?”
มุมปากชิงอวี่แข็งค้าง เอ่ยเสียงเย็นขึ้น “ความรักของเจ้า คือการกักขังข้าไว้เล่นข้างกาย ไร้จิตวิญญาณเป็นของข้าเอง หากข้ามีสัญญาณต่อต้านเพียงนิด เจ้าก็จะเอาชีวิตคนใกล้ตัวข้าเป็นตัวประกัน ใช้วิธีเช่นนั้นเพื่อเหยียบย่ำศักดิ์ศรีข้า”
“ไม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจเช่นนั้น เป็นเจ้า…ทำไมเจ้าถึงชังข้านัก? ทำไมไม่มีความรักและความไว้ใจในสายตาคู่นั้นที่เจ้ามองมาทางข้าเลย? พวกมันสมควรตายให้หมด! ยิ้มของเจ้า สายตาของเจ้าทั้งหมดเป็นของข้าชัด ๆ…..”
“นับตั้งแต่วันที่เจ้าขังข้าไว้ ข้าก็ไม่อาจเห็นอะไรอีก”
ชิงอวี่พ่นคำรังเกียจออกมาขัดประโยค
พริบตานั้น สีหน้าชิงเทียนหลินก็ชะงักค้างไป ราวกับไม่รู้จะทำหน้าเช่นไรไปชั่วขณะ
ชิงเยี่ยหลีที่ห่างไปไม่กี่ก้าวพลันกำมือแน่นขึ้น
เขารู้
เขารู้ทุกอย่าง
แม้ชิงอวี่จะไม่เคยพูดก็ตาม
นัยน์ตานางน่ามองเจิดจ้างดงามนัก ทว่า…..
“หมายความว่าอะไร? ทำไม….. ถึงไม่เห็นอะไรเล่า?” ชิงเทียนหลินเสียงสั่นน้อย ๆ
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็พ่นลมเยาะออกมา เหลือบมองเขาพลางเอ่ยคำ “อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้วว่าขังข้าไว้อย่างไร ทำอย่างไรข้าถึงยอมจำนนได้?”
ชิงเทียนหลินม่านตาหดลงในพลัน
เขาย่อมไม่ลืม
เขาใช้วิชาเชิดหุ่นกับนาง ไม่เช่นนั้น ในอดีตนางมีพลังบำเพ็ญสูงส่งนัก เขาคงไม่อาจจับนางไว้ง่ายดายเช่นนั้นแน่
เขายังจำได้ แม้ตอนนั้นจะใช้วิชาเชิดหุ่นแล้ว แต่วิธีก็ไม่ง่ายเลย
นางต่อต้านเขาอย่างเห็นได้ชัด หรือว่า…..
ชิงเทียนหลินพลันมีสีหน้าตกใจ เหมือนจะจำบางอย่างได้ หรือนั่นจะเป็นสิ่งที่นางเสียไปหลังจากรั้นจะทำลายวิชาเชิดหุ่นของเขาเมื่อครานั้น!?
นางจึงไม่เคยมองเขาอีกเลยนับแต่นั้นมา
เขาคิดมาตลอดว่านางเกลียดเขา ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า ดังนั้นจึงเลี่ยงเขาตลอด แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะมองไม่เห็น….
เห็นเขามีสีหน้าเจ็บปวดเสียใจแล้ว ชิงอวี่ก็ยกยิ้มมุมปาก มองเขาพลางเอ่ยว่า “เรื่องในอดีตข้าไม่สนอีกต่อไป ที่สำคัญตอนนี้คือหากเจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าก็จะฆ่าเจ้า”
รอยแยกสีดำที่เบื้องหลังเขาขยายใหญ่พอจะให้คนเดินเข้าไปได้แล้ว หากแต่เขายังยืนค้างอยู่เช่นนั้น ชาไปครึ่งร่าง ไม่อาจรู้สึกอะไรได้
รอยเลือดสดยังเห็นอยู่บนมือที่เขาใช้คว้าแขนชิงอวี่เมื่อก่อนหน้านี้ได้
ชิงอวี่ทำตัวตกเป็นเหยื่อให้เขาไม่ทันระวังจนตกหลุมพรางนาง
แม้วิชาเชิดหุ่นจะทรงพลังหาที่ใดเปรียบ ทั้งเขายังนับว่ามากฝีมือในหมู่นักเชิดจนไม่มีใครเทียมก็ตาม
แต่ก็ไร้สิ่งใดสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรคงกระพัน
นักเชิดหุ่นเกิดมามีใจชั่วร้าย ยิ่งพลังบำเพ็ญมากยิ่งเด่นชัด เมื่อนักเชิดหุ่นใช้วิชาเชิดหุ่น ที่กลัวที่สุดคือเจอคนที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ เพราะเมื่อแตะโดนเลือดคนเช่นนั้นแล้ว ทุกอย่างก็จะสลายสิ้น
แต่แม้โอกาสจะน้อยนิด ชิงอวี่ดันเป็นคนที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เมื่อชาติก่อน
เมื่อเกิดใหม่ในร่างอื่น นางก็เกิดมาในร่างที่มีเลือดบริสุทธิ์เช่นเดิม พลังจากสายเลือดยิ่งเข้มข้นกว่าชาติก่อน ทำให้นางกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา
เมื่อครั้งอยู่แดนต่ำ หากชิงอวี่ไม่ปรากฏขึ้นมาแล้วใช้ผนึกสังเวยเลือดทำลายวิชาเชิดหุ่นเขาไว้ โหลวจวินเหยาก็คงเอาชีวิตแทบไม่รอดไปแล้ว
ชิงเทียนหลินหันมองหน้าเด็กสาวด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย ก่อนหัวเราะเบา ๆ
“เจ้าตัดสินใจแล้วกระมัง? สังหารข้าสิ แล้วเจ้าจะเป็นอิสระ”
เห็นเขาไม่ขัดขืน ดูหลุบตาลงหมองหม่น ชิงอวี่ก็ชะงักไปด้วยประหลาดใจ
ในตอนนั้น จู่ ๆ นางก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ไม่สมกับเป็นเขาเลย นี่เขา ….. วางแผนอะไรไว้กัน?
ชิงเทียนหลินพูดแล้วก็หยุดไป จากนั้นหันไปทางโหลวจวินเหยา “แต่….. ชิงชิงที่ข้ารักและหวงแหนนัก ….. ปล่อยให้เจ้าอยู่กับนางได้เช่นนั้น ข้าคงตายตาไม่หลับ …..”
ย้ำเสียงชั่วร้ายและมุมปากที่ยกขึ้น สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งขึ้นมา
โหลวจวินเหยาตื่นตัวอยู่ตลอด สายตามองอีกฝ่ายระวังมาตั้งแต่ต้น ด้วยเกรงว่าจะลงมือทำร้ายชิงอวี่ ดังนั้นเมื่อเห็นรอยยิ้มแปลก ๆ ปรากฏขึ้น นัยน์ตาจึงทะมึนลงแล้วระวังกว่าเดิมทันที
ทว่าชิงเทียนหลินลงมือรวดเร็วนัก
แทบจะทันทีที่รอยยิ้มปรากฏ ก็ราวกับเขารอโอกาสมานานแล้ว อาจจะลงมือตอนใดก็ได้
พริบตาเดียว ร่างแข็งค้างก็ลงมือ คว้าข้อมือชิงอวี่ไว้แล้วดึงนางเข้าหาประตูสีดำมืดด้านหลัง ก่อนจะยิ้มชั่วร้ายแล้วเอ่ยคำ “ชิงชิง เจ้าอยู่ข้างข้าตลอดไปเถอะ เพราะมีเพียงข้า…..ที่จะรักเจ้าอย่างแม้จริง…”
ชิงอวี่ไม่คิดว่าพลังบำเพ็ญเขาถูกเลือดนางผนึกไว้แล้วจะยังลงมือได้ ไม่รู้ทำไมจึงไม่อาจสลัดมือที่จับแน่นให้หลุด ราวกับมันเป็นตรวนเหล็กหนาก็มิปาน
ร่างนางถูกดึงเข้าไปใกล้ประตูสีดำมืดนั่นไม่อาจคุมได้ ราวกับจะถูกดูดเข้าไปในพริบตาเดียว
ไม่ นางไม่ต้องการ…..
จังหวะนั้น ลมเฉียบคมเย็นชาหอบหนึ่งก็ซัดเข้ามา แรงพลังหนาแน่นจนอาจแยกปฐพี แรงเสียจนปลดพันธนาการที่ตรวนข้อมือนางไว้ได้
ตามมาด้วยเสียงคำรามโกรธและเลือดที่กระเซ็นโดนหน้า
แขนท่อนหนึ่งถูกเหวี่ยงออกไปไกล นิ้วที่เปื้อนเลือดยังขยับไปมาตอนที่ถูกเหวี่ยงออกไปอยู่
สถานการณ์พลิกผันฉับพลันทำให้ทุกคนตกอยู่ในความมึนงง
เพราะมันน่าตกตะลึงเกินไปจริง ๆ
กลิ่นอายจากคมดาบเมื่อครู่ทรงพลังมาก ทั้งยังมาแบบกะทันหัน ทันเวลาเหมาะเจาะ ไม่มีใครตอบสนองได้ทัน
แต่เป็นท่าดาบของใครกัน?
มันเกิดขึ้นเร็วมาก แม้ชิงเยี่ยหลีกับโหลวจวินเหยาจะตอบสนองทันแล้วช่วยนางไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจเร็วเช่นนี้
และพลังที่อยู่เบื้องหลังกลิ่นอายนั้น ไม่ใช่ของคนธรรมดาแน่
หรือจะมีใครอื่นอยู่ที่นี่เป็นคนที่ห้ากัน!?
แขนข้างหนึ่งถูกฟันขาดไปแล้ว ชิงเทียนหลินเจ็บปวดแสนสาหัส ใบหน้าซีดราวกระดาษ แต่ดวงตายังเต็มไปด้วยความพยาบาทราวกับจะล้นทะลักออกมาได้ คล้ายกับอยากจะฉีกร่างคนที่ซุ่มโจมตีออกเป็นพันชิ้น บดกระดูกให้เป็นผงเสีย
ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา ขณะที่ทุกคนกำลังคาดเดาตัวตนของเขา เงาร่างสูงก็พลันปรากฏ
สวมเสื้อคลุมยาวสีดำและหมวกไม้ไผ่ ปิดบังตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูลึกลับนัก เงาร่างเผยกลิ่นอายเย็นยะเยือก ทำให้ดูโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างไรไม่อาจรู้ได้
สองมือห้อยอยู่ข้างกาย ไม่ได้ถืออาวุธใดให้เห็น
การโจมตีเมื่อครู่เป็นเขาหรือ?
ชิงอวี่หรี่ตาลงน้อย ๆ มองอีกฝ่าย มันเป็นเงาร่างที่คุ้นตา คงเป็นคนรู้จักนางแน่
สุดท้าย นิ้วเรียวก็จับปีกหมวก ค่อย ๆ ถอดมันออก เผยให้เห็นใบหน้า
เย็นชาเยียบเย็นเหมือนหยกเนื้อดี ใบหน้างดงามไร้ที่ติ มองแล้วจับตา แต่ที่น่าตกใจที่สุดคือบุปผาดำพันกลีบอันเย้ายวนขนาดเท่านิ้วโป้งที่มุมตาซ้ายนั่น…..