บทที่ 329 ข้ารักเจ้าและขอเจ้าได้โปรดจดจำข้า

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 329 ข้ารักเจ้าและขอเจ้าได้โปรดจดจำข้า

บทที่ 329 ข้ารักเจ้าและขอเจ้าได้โปรดจดจำข้า

เมื่อเห็นใบหน้าของเขา ชิงอวี่ก็นิ่งอึ้งไป

อาจด้วยเพราะตกตะลึง หรือไม่คาดคิดว่าจะเป็นเขากระมัง…..

ซีจ้านเฉิน

คนที่ถูกคำสาป คนที่นางบังเอิญช่วยไว้เมื่อคราวอยู่แดนมุกหยก ราชันนักฆ่าที่นางคิดว่าบังเอิญพบ ไม่คิดเลยว่าจะได้มาพบกันอีกเช่นนี้

ไม่ว่าจะเมื่อตอนอารามจันทร์กระจ่างแห่งแดนเมฆาสวรรค์ หรือที่ยอดเขาใจสงบในตอนนี้ เขามักจะบังเอิญปรากฏขึ้นต่อหน้านางเสมอ

แต่หากนางจำไม่ผิด เขารับใช้ชิงเทียนหลินนี่นา

แล้วทำไม…..

และตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พบกัน ก็ดูราวกับเขามีอะไรเปลี่ยนไป

ใช่แล้ว บุปผาใต้ตาเขาเคยผลิบานเต็มที่ ดูชั่วร้ายเหลือหลาย ตรงข้ามกับกลิ่นอายสะอาดบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมา บุปผาดำเพียงหนึ่งกลับทำให้เขาแผ่ความชั่วร้ายออกมาได้

เห็นเขาแล้ว ชิงอวี่ จึงประหลาดใจนัก ส่วนชิงเทียนหลินที่หน้าซีดเผือดไร้สีเลือดก็เห็นว่าโกรธแค้นนัก น้ำเสียงเย็นยะเยือกชั่วร้ายดังขึ้น “เป็นเจ้า….. เองหรือ? เจ้ากล้าขัดคำสั่งแล้วหักหลังข้าหรือ?!”

ซีจ้านเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย ตอบเสียงเรียบ “ข้าขอร้องท่านแล้วว่าอย่าทำร้ายนาง แต่ท่านไม่รักษาสัญญาเอง”

“คิดว่าตนเองเป็นใครกัน!”

ชิงเทียนหลินเอ่ยเสียงโกรธ สีหน้าแทบบ้าคลั่ง “ตอนนั้นข้าเห็นว่าเจ้าน่าสงสาร มีฝีมืออยู่บ้าง จึงตัดสินใจเลี้ยงดูฟูมฟักไว้ ข้าช่วยชีวิตเจ้า ทำให้เจ้ามีวันนี้ได้ ลืมไปแล้วหรือว่าตนเป็นแค่เผ่าอสรพิษชั้นต่ำ อสูรที่เลือดเย็นไร้ใจที่สุดในหมู่อสูร แต่ตอนนี้เจ้ากลับมามีอารมณ์ความรู้สึกงั้นหรือ!?”

ชิงเทียนหลินว่าจบ ซีจ้านเฉินก็ร่างแข็งค้างไป สีหน้าลนลานเล็กน้อย ไม่กล้ามองตาชิงอวี่ ด้วยกลัวว่าจะเห็นแววรังเกียจเดียดฉันท์ในสายตานาง

เห็นท่าทางเขาเช่นนั้นแล้ว ชิงเทียนหลินก็ยิ้มกำชัยแล้วว่าต่อ “คิดว่าคอยปกป้องนางอยู่เบื้องหลังเงียบ ๆ เสียสละให้นางแล้ว ชิงชิงจะปฏิบัติกับเจ้าต่างไปหรือ?”

ซีจ้านเฉินหน้าซีดไปเล็กน้อย

ชิงเทียนหลินพูดจบก็หันไปมองชิงเยี่ยหลีอย่างมีนัย แล้วยิ้มชั่วร้ายให้ “อสูรก็เป็นอสูรอยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางเป็นมนุษย์จริงได้ เหมือนชิงเยี่ยหลีที่อยู่ข้างกายนางมานาน คอยปกป้องนาง เขาแกร่งแค่ไหนแล้วได้เรื่องไหมเล่า? ชิงชิงไม่มีทางรักเขา เพราะลึก ๆ แล้ว เขาก็เป็นเพียงอสูรชั้นต่ำผู้ชั่วช้าเท่านั้น…..”

นัยน์ตาสีเขียวเข้มนิ่งสงบของชิงเยี่ยหลีพลันเข้มขึ้น สายตามองอีกฝ่ายเฉียบคม แม้จะรู้ดีว่าชิงเทียนหลินจงใจพูดสะกิด แต่ในใจก็อดรู้สึกเจ็บขึ้นมาไม่ได้

ดูเหมือนมันจะจี้จุดเจ็บในใจที่เขาไม่อยากเผชิญหน้าที่สุดเข้า

“หุบปากเดี๋ยวนี้!”

ชิงอวี่เอ่ยเสียงเฉียบขาด สีหน้าน่ากลัวนัก นัยน์ตาหงส์ราวกับมีพายุคลั่ง นางกัดฟันจ้องหน้าชิงเทียนหลิน ค่อย ๆ เอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมาทีละคำ “ในอดีตข้าเพียงแต่เกลียดเจ้า คิดว่าเป็นพวกเจ้าเล่ห์ทรยศ ทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย แต่ตอนนี้ข้าชังหน้าเจ้าจริง ๆ แล้ว”

“ข้าพบว่าเจ้าใช้วาจาทำร้ายคน เป็นคนเลวน่ารังเกียจที่ใช้คำลวงบิดเบือนความรู้สึกเบื้องลึกคนด้วยใจชั่วร้าย”

ชิงเทียนหลินได้ยินก็ไม่โกรธแต่หัวเราะเสียงดัง “ข้าชั่วร้ายหน้าไม่อายแล้วอย่างไร? อย่างน้อยมันก็ทำให้เจ้าจดจำข้าได้ตลอดไป”

เขาก้มหน้าลงมองแขนข้างที่ขาดแล้วยิ่งหัวเราะผยอง จากนั้นหันมองซีจ้านเฉินด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ถึงจะทรยศ แต่อย่างน้อยก็ทำประโยชน์ให้ล่ะนะ…..”

คำเหล่านั้นดูประหลาดอยู่บ้างจนคนอื่น ๆ ไม่รู้จะตอบอย่างไร

หากแต่สีหน้าชิงอวี่พลันเปลี่ยนไป

ที่แก้มนาง ตรงที่เปรอะเลือดชิงเทียนหลินตอนแขนถูกฟัน มันรู้สึกร้อนราวกับจะไหม้ ก่อนความรู้สึกจะกระจายไปทั่วร่างจนผิวกลายเป็นสีแดงก่ำ

“จิ้งจอกน้อย!” โหลวจวินเหยาเห็นชิงอวี่แปลก ๆ ก็เบิกตากว้างตกใจ พุ่งเข้ามาทันที

ชิงอวี่มุ่นคิ้วแน่น เห็นดังนั้นก็รีบตะโกนยั้งไว้ “อย่าเข้าใกล้ข้า”

โหลวจวินเหยาหยุดฝีเท้าไปก้าวหนึ่งก่อนถึงตัวนาง นัยน์ตาทะมึนลง ก่อนจะเข้าใกล้นางต่อ

“บอกว่าอย่าเข้ามา!”

ชิงอวี่เบิ่งตาจ้องด้วยความโกรธ ผิวที่ร้อนจนไหม้แดงฉาน ดูพุพองน่าสยอง นางรู้สถานการณ์ตนเองดี รู้ว่าห้ามแตะโดนใคร ตอนนี้นางกำลังอดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดในกายไว้อย่างถึงที่สุด

เขาไม่เข้าใจคำนางงั้นหรือ!? ทำไมยังเข้ามาอีกเล่า?

พริบตาต่อมาข้อมือก็ถูกกุมไว้ รู้สึกร่างถูกกดเข้ากับอกกว้าง ไม่ว่าจะดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่อาจหลุดจากอ้อมกอดแน่นที่กดทับร่างแม้แต่น้อย

“ท่านบ้าไปแล้วหรือ? ท่านจะบาดเจ็บเอานะ! ปล่อยข้า…..”

เขาได้ยินเสียงเนื้อเขาปริด้วยซ้ำ แต่เขากลับไม่ร้องสักแอะ

น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกพลันดังขึ้นข้างหู “เจ็บเท่านี้ เทียบไม่ได้กับสมัยที่ข้าถูกหนอนกู่หยินหยางเพลิงเยือกแข็งและคำสาปกลืนอารมณ์เลยสักนิด”

เขาพูดปัดไปราวกับไม่เห็นเป็นอะไร

แต่ร่างเขาไม่ได้ทำจากเหล็ก มีเลือดมีเนื้อ เขาจะไม่เจ็บได้หรือ?

ชิงอวี่โกรธขึงขึ้นมา พยายามจะพูดอีก แต่ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น “ความเจ็บปวดนี้เจ้าไม่สมควรต้องเจอ ในเมื่อข้าเจ็บแทนเจ้าไม่ได้ อย่างน้อยให้ข้าได้ลิ้มรสมันไปพร้อมกับเจ้าก็แล้วกัน”

“ท่านโง่งมนัก…..” ชิงอวี่พลันตาแดง

เห็นภาพนั้นแล้วชิงเทียนหลินก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย “ประทับใจจริง ๆ! น่าเสียดายที่ชิงชิงลิขิตไว้ให้ต้องตายไปพร้อมกับข้า!”

ดูท่าหลังจากแขนถูกฟันขาด ประตูสีดำด้านหลังก็แต้มสีเลือด กลายเป็นสีน้ำตาลแดงดูชั่วร้ายขึ้นมา ราวกับมีเพลิงสีประหลาดกำลังโหมอยู่ในนั้น

ซีจ้านเฉินจึงเข้าใจขึ้นมา

นั่นเป็นเลือดของเขา…..

ทำให้พลังของประตูนั่นยิ่งเพิ่มขึ้นอีก

ทว่า…..

ซีจ้านเฉินก้มหน้าครุ่นคิด บุปผาที่หางตาราวกับจะสั่นสะท้านเล็กน้อย

ตัวตนอย่างเขา….. มีอยู่ก็เพื่อยุติเรื่องเหล่านี้!

“ชิงอวี่” ซีจ้านเฉินพลันเอ่ยชื่อนางขึ้นมา

เขาเอ่ยเสียงไม่ดัง แต่กลับได้ยินชัดเจนนัก

ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นจากอกโหลวจวินเหยา มองไปทางซีจ้านเฉิน นัยน์ตาหงส์เรียวยาวเย้ายวนแสดงให้เห็นว่ากำลังอดกลั้นกับอาการปวดแสบปวดร้อน หากแต่ก็ยังดูงดงามราวกับคราแรกที่พบกัน ช่างจับใจเหลือเกิน

ไม่เสแสร้ง ร่าเริง จู่ ๆ นางก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของเขาได้

รู้สึกราวกับก้อนกรวดถูกโยนลงน้ำนิ่งที่นิ่งสงบอยู่ในใจเขามายาวนาน เกิดเป็นแรงกระเพื่อมขึ้นมา…..

ไม่อาจคงความนิ่งไว้ได้อีก

ซีจ้านเฉินนัยน์ตามั่นคง จ้องนางตรงอยู่หลายอึดใจ ก่อนริมฝีปากจะโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเจิดจ้า เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “ข้าคิดว่า….. ชาติก่อนข้าคงทำบาปไว้มาก ตอนนี้จึงมีบุปผาดำอยู่บนใบหน้า เป็นเครื่องเตือนใจถึงอดีตที่ไม่อาจลบล้างได้…..”

“และตอนที่ลงมือกระทำเรื่องชั่วช้าไม่อาจอภัยในอดีตนั่น คงมีแวบหนึ่งที่ข้ารู้สึกเสียใจลังเลขึ้นมา ชาตินี้ข้าจึงมีโอกาสได้พบเจ้า”

ชิงอวี่ขยับริมฝีปาก แต่ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้ว่าควรเอ่ยคำแบบไหนยามได้ยินเขาว่ามาเช่นนั้น

เขาพูดราวกับจะบอกลา

แต่….. ทำไมเล่า?

ซีจ้านเฉินนัยน์ตาเป็นประกายลึกล้ำพลางจ้องนางนิ่ง ราวกับจะจดจำใบหน้านั้นไว้ในใจให้มั่น สลักลงในใจไม่ลืมเลือน

“ข้ารู้สึกว่าตลอดว่าชีวิตข้าช่างน่าเบื่อนัก แต่แล้วเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้น ทำให้ข้าพลันรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวเหลือเกิน…..”

ชายหนุ่มที่เย็นชากับทุกสิ่งอย่าง ตอนนี้กลับขอบตาแดงก่ำ ยืนก้มหน้าลง ราวกับพยายามอดกลั้นอารมณ์อย่างไรอย่างนั้น

ยามเอ่ยคำอีกครั้ง น้ำเสียงก็แหบพร่าไม่เต็มคำ พยายามเค้นแต่ละคำออกมาให้จบประโยค

“ข้าไม่พออะไร….. เพียงแต่….. ขอเจ้า….. อย่าลืมข้า…..”

พูดจบแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้น ใช้ตาแดงก่ำที่ราวกับกักเก็บคำพูดนับไม่ถ้วนเอาไว้มองนาง แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา

เขาไม่อยากตาย

แต่ก็อยากให้นางมีชีวิตอยู่ต่อ

ร่างสูงของซีจ้านเฉินพลันขยับเคลื่อน เทียนหลินยังระบายยิ้มจองหอง ชิงอวี่เบิกตาเล็กน้อย มองซีจ้านเฉินด้วยใบหน้าไม่เข้าใจ

ร่างกายเขาพลันเกิดความเปลี่ยนแปลง บุปผาดำขนาดเท่านิ้วโป้งบนใบหน้าทรงเสน่ห์เริ่มแผ่ขยายออกไปอย่างบ้าคลั่งจนครอบคลุมไปครึ่งหน้า กลิ่นอายจากร่างผันเปลี่ยนไป

ในมือที่ว่างเปล่า ปรากฏเงามายาของดาบยาวเล่มหนึ่งขึ้น

ใช่แล้ว เป็นเพียงเงามายาเท่านั้น เป็นดาบที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน

มีคำเล่าลือกันมานานแล้วว่าซีจ้านเฉินถือครองดาบที่รวดเร็วที่สุดในใต้หล้า อาวุธศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่านัก แต่ไม่เคยมีใครได้เห็นดาบล้ำค่าเล่มนั้นเลย

เพราะมีแต่คนตายที่ได้เห็น ไม่เคยมีใครรอดพ้นดาบเล่มนี้มาก่อน

ทว่าตอนนี้พวกเขากลับได้เห็น ร่างที่แท้จริงของดาบช่างดูน่าตื่นตาตื่นใจจริง ๆ

“ดาบนี่….. มีชื่อว่าซ่อนวิญญาณ ไร้รูปไร้ร่าง เก็บซ่อนในวิญญาณตน หากวิญญาณไม่ถูกทำลายมันก็จะคงอยู่ไปตลอด เป็นดาบวิญญาณที่สร้างขึ้นจากดวงวิญญาณของผู้มีพลังอำนาจในระดับหนึ่ง” ชิงเยี่ยหลีอธิบายพลางมองเงารางของดาบ

คนผู้นี้….. ไม่ธรรมดาจริง สามารถครอบครองอาวุธทรงพลังเช่นนี้ได้ คงไม่ใช่เผ่าอสรพิษธรรมดาแน่

แต่จะล้วงลึกถึงตัวตนเขาไปก็ไร้ประโยชน์แล้ว

เพราะเขาสามารถเดาความตั้งใจอีกฝ่ายได้แล้ว

กลิ่นอายรอบกายซีจ้านเฉินกลายเป็นดุร้ายเยือกเย็น ประตูสีดำมืดที่มีเพลิงสีประหลาดยังขยายออกต่อ ก่อนเขาจะพุ่งร่างเข้าหาชิงเทียนหลินที่ซัดท่าโจมตีใส่ ก่อนจะลากเข้าประตูนั่นไปด้วยกัน

ในตอนนั้น ดาบในมือก็ตวัดเข้าใส่ประตูนั่นนับครั้งไม่ถ้วนอย่างรวดเร็ว มันหยุดขยายออกทันควัน ไม่นานก็ผนึกไว้ โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น

ชิงอวี่ยืนมองด้วยความตกตะลึง มองภาพรอยแยกที่ถูกผนึกไป ได้ยินเสียงคำรามเคียดแค้นของชิงเทียนหลินดังออกมา และได้เห็นสายตาสุดท้ายที่ซีจ้านเฉินมองมา ริมฝีปากเขาอ้าน้อย ๆ เพื่อกล่าวคำกับนาง

ชิงอวี่น้ำตารื้นขอบ

ข้ารักเจ้า

ช่วยอย่าลืมข้าจะได้หรือไม่?