บทที่ 330 ฝันถึงอดีต

บทที่ 330 ฝันถึงอดีต

เป็นร่างผอมของชายชราคนหนึ่ง ที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยกำลังวังชา ดูมีพลังมากมาย

เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าหลุมศพหนึ่งด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ดูราวกับเป็นคนไม่พูดไม่ยิ้ม สายตาจับจ้องที่หลุมฝังนิ่ง ความคิดล่องลอยไปไกล ราวกับกำลังรำลึกความหลังอันนานมาแล้ว

“ท่านปู่…..”

ทันใดนั้น น้ำเสียงน่ารักใสซื่อของเด็กก็ดังขึ้น ดึงสติที่ล่องลอยไปเขาให้กลับมายังปัจจุบัน

เมื่อก้มลงมอง จึงเห็นร่างน้อยที่ยืนอยู่ข้างกาย เด็กคนนั้นอายุได้เพียงสองสามขวบ สูงถึงแค่ต้นขาชายชราเท่านั้น

เป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง แม้จะยังเด็กนัก แต่ดวงหน้ากลับโดดเด่น ดูงดงามจับตาเป็นพิเศษ ผิวขาวจนแทบส่องประกายระยับ ราวกับตุ๊กตากระเบื้องหน้าตาน่ารักน่าชัง

สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ยามเอ่ยปากจึงส่งเสียงเบาออกมา “ท่านพ่อกับท่านแม่ข้า….. อยู่ในนี้หรือเจ้าคะ?”

ชายชรานัยน์ตาส่องประกาย ก่อนพยักหน้าน้อย ๆ “ใช่แล้ว พวกเขาอยู่ในนี้”

เด็กน้อยก้มหน้าลงครู่หนึ่ง “พวกเขา….. ตายได้อย่างไรหรือเจ้าคะ…..”

“ทั้งคู่ถูกซุ่มโจมตียามทำภารกิจ ……” ชายชราเสียงพร่าไป ราวกับมันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดนัก

“พวกเขามีพลังบำเพ็ญเช่นนั้น ไม่ควรจะเกิดเรื่องขึ้นเลย แต่มารดาเจ้า….. ตอนนั้นตั้งครรภ์เจ้าอยู่ ตอนกำลังต่อสู้ นางสูญเสียพลังมากเกินไปจึง…..”

ชายชราไม่ได้พูดจนจบ กระนั้นเด็กน้อยก็เดาความหมายออก

เพื่อปกป้องนาง…..

หากไม่เป็นเพราะนาง ท่านพ่อท่านแม่อาจกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วกระมัง?

เห็นเด็กน้อยหน้าเศร้าตำหนิตนเอง สีหน้าชายชราก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับอยากเอ่ยคำ สุดท้ายก็ได้แต่ยื่นมือไปลูบศีรษะนางเบา ๆ ปลอบโยนนางเงียบเชียบ

นางยังเด็กนัก ไม่ควรมารับรู้เรื่องเหล่านี้เลย

แต่สักวันนางก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน เพราะนางต้องได้รับตำแหน่งนั้น และรับภาระหนักหน่วงทั้งหมดเอาไว้

ปิดบังไปก็มีแต่เป็นข้ออ้างของพวกคนอ่อนแอเท่านั้น

นางเกิดมาในตระกูลนี้ ก็ลิขิตไว้แล้วว่านางต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คน

มีแต่ทำเช่นนั้น นางจึงจะเอาตัวรอดได้ ได้ทำสิ่งที่อยาก สามารถปกป้องคนที่ต้องการได้

ชายชราถอนใจเสียงเบา แล้วยอบกายลงมองหน้าเด็กน้อย เอ่ยเสียงขรึม “เด็กน้อยของข้า เจ้าต้องจำไว้ บิดามารดาเจ้าเสียสละมีความนัยซ่อนอยู่ พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น พวกเขายอมทิ้งชีวิตตนเองไปเพื่อให้เจ้าได้บทเรียนที่สำคัญที่สุดมา”

“ฉะนั้นเจ้าต้องแข็งแกร่ง ต้องกลายเป็นคนที่ไม่อาจมีใครโค่นล้มได้ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดท่ามกลางผู้แข็งแกร่ง ควบคุมทุกสิ่งอย่างโดยง่ายดาย มีแต่ตอนนั้น เจ้าถึงจะปกป้องสิ่งที่ต้องการได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

เด็กน้อยมองสีหน้าเคร่งขรึมของชายชราแล้วก็ชะงักไป ก่อนจะหลบสายตาอย่างลังเล คำพูดที่อีกฝ่ายพูดนั้นด้วยอายุของนางแล้วยังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ความรู้สึกลึก ๆ ของนางบอกให้นางหนีไปหลบซ่อนเสีย ในใจก่อเกิดอาการต่อต้านอย่างที่นางก็ไม่ทราบสาเหตุ

อาจเพราะลึก ๆ แล้วเหมือนนางจะเข้าใจว่ามันเป็นหนทางที่ยากลำบากที่สุด เป็นหนทางที่เมื่อก้าวเข้าไปแล้วก็ไม่อาจย้อนกลับสู่หนทางปกติได้

“อย่าร้องไห้! มีแต่คนอ่อนแอเท่านั้นที่ยอมเสียน้ำตา!”

น้ำเสียงตำหนิจากชายชราทำให้น้ำตาที่รื้นขอบของเด็กน้อยหายไปในพลัน

ริมฝีปากน้อยเม้มเข้าหากันแน่น ตากลมโตจ้องตรงไปยังสีหน้าเข้มของชายชรา ดูตกใจเป็นอย่างยิ่ง

หากแต่ท่าทางชายชราก็ไม่อ่อนโยนขึ้นสักนิด ยื่นมือไปจับไหล่นางไว้ เอ่ยเสียงกระจ่างชัดถ้อยคำขึ้นว่า “เข้าใจแล้วหรือไม่?”

เด็กน้อยกะพริบตาพยักหน้า แม้สีหน้าจะเหมือนเข้าใจเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น…

จากนั้นฉากก็เปลี่ยน เวลาหลายปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยตอนนี้ดูมีอายุราวหกเจ็ดขวบ สูงขึ้นเล็กน้อยแล้ว ดวงหน้ายิ่งงดงามขึ้นอีกตามกาลเวลา

ในดวงหน้าเล็กนั่น ไม่อาจเห็นท่าทางขี้อายและวิตกกังวลเช่นเดิมอยู่อีก เห็นเพียงความเป็นผู้ใหญ่และใจที่แก้ปัญหาได้อย่างเฉียบขาดเท่านั้น

ที่ลานฝึก แต่ละคนตัวสูงเหนือนางทั้งสิ้น กำลังซัดพลังโจมตีใส่ร่างเล็ก แต่ร่างเล็กนั่นกลับเคลื่อนไหวได้อย่างปราดเปรียวนัก หลบการโจมตีไปอย่างง่ายดายราวกับปลาน้อยตัวลื่น

แต่แม้นางจะรวดเร็วฉลาดเฉลียวเพียงไหน ต่อหน้าเหล่าชายหนุ่มที่มีความสามารถเหล่านี้ ช่องโหว่ในการป้องกันจึงเห็นเด่นชัดจนร่างเล็กถูกซัดไปหลายครา หากแต่นางยังคงยืนมั่นคงยืนหยัดอยู่จุดเดิม แม้ร่างกายซวนเซเจียนจะล้มก็ตาม

จนกระทั่งน้ำเสียงชราทรงอำนาจประกาศเสียงดังขึ้น “หมดเวลา!”

ทุกการเคลื่อนไหวจึงหยุดลง พวกบุรุษหยุดการโจมตี ยืนอยู่กับที่ท่าทางเคารพนบน้อม

ดูราวกับว่าเด็กสาวไม่อาจทานไหวอีก ร่างซวนเซก่อนจะล้มลงกับพื้น

ชุดฝึกสีดำชุ่มเหงื่อทั่วตัว แนบไปกับร่าง เปียกราวกับเพิ่งขึ้นมาจากทะเลสาบ

เมื่อชายชราเห็นนางหมดแรงขนหมดเช่นนั้น สีหน้าเข้มงวดก็ไม่คลาย เพียงแต่มองนางนิ่ง แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำทว่าดังลั่นขึ้น “ลุกขึ้นมา!”

เด็กสาวขยับร่าง พยายามตะเกียกตะกายขึ้นยืน แต่นางเหนื่อยล้าเกินไป ขยับกายแต่ละคราก็เจ็บปวดไปเสียทุกส่วน

อีกทั้งคนทั้งหลายยังไม่ยั้งมือ ซัดนางเข้าหลายทีเมื่อก่อนหน้า ไม่คิดสักนิดว่านางเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น

สุดท้าย นางก็ตะกายลุกขึ้นยืนได้ ใบหน้าเล็กซีดเซียวนัก

เห็นแล้วชายชราก็พยักหน้าพอใจ “วันนี้รั้งได้หนึ่งชั่วยาม พัฒนาขึ้น แต่อย่าได้ประมาทไป ต้องพยายามให้หนักขึ้นอีก เข้าใจหรือไม่?”

เด็กสาวใบหน้าเรียบเฉย ตอบรับคำเสียงเบา “เจ้าค่ะ”

กาลเวลาดำเนินต่ออีกครั้ง นางอายุได้เก้าขวบแล้ว

ร่างของนางสูงและดูปราดเปรียวขึ้น ผมยาวสยายลงถึงเอวถูกมัดขึ้นเป็นหางม้า ดวงหน้างดงาม ท่าทางนิ่งสงบไม่อาทรร้อนใจ ในหมู่เด็กอายุรุ่นราวเดียวกันนางจะเป็นคนที่โดดเด่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะหน้าตาท่าทาง นางล้วนดูเป็นผู้ใหญ่กว่าทั้งสิ้น

นางมีสหายไม่มากนาง มีเพียงไม่กี่คนที่สนิทกันเล็กน้อย จนเข้าใจว่านิสัยเย็นชาของนางไม่ได้มาจากความหยิ่งผยอง มองดูผู้อื่นต่ำกว่าแต่อย่างใด แต่นางเกิดมาก็เป็นเช่นนั้น นางเป็นเด็กสาวที่อยู่ลำพังมานานเกินควร ทำให้เข้าสังคมไม่เก่งก็เท่านั้น

อย่างไรนางก็เป็นคนที่ผู้นำตระกูลเก็บไว้ข้างกายตลอด ไม่เคยถูกปฏิบัติเหมือนเด็กทั่วไปอยู่แล้ว ทั้งยังถูกฝึกอย่างเข้มงวดโหดร้ายกว่าเด็กผู้ชายคนไหน ในฐานะที่เป็นทายาทผู้นำตระกูลคนต่อไป…..

เสียบิดามารดาไปตั้งแต่ยังเล็กเช่นนี้ นางย่อมต้องสู้และดิ้นรนมากกว่าคนอื่นหลายเท่า!

นั่นก็เพราะในตระกูลใหญ่เช่นนี้ นางไม่อาจพึ่งใครได้นอกจากตนเอง หากนางไม่แกร่ง ก็จะถูกโลกภายนอกกลืนกิน มีแต่ผู้แข็งแกร่งจึงจะอยู่รอดในใต้หล้านี้ได้เท่านั้น

ในอายุเท่านั้น เด็กในตระกูลทุกคนจะถูกส่งมาที่นี่เพื่อฝึกฝน จากนั้นจะเลือกคนที่โดดเด่นที่สุดออกมา เป็นผู้เข้าชิงการเป็นทายาทผู้นำตระกูลคนต่อไป

ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ยุติธรรมยิ่ง ไม่มีการเล่นพรรคเล่นพวกใด ๆ

นางจึงต้องยิ่งพยายามกว่าใครอื่น ถึงจะเป็นทายาทคนเดียวของผู้นำตระกูล แต่ก็ไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใด เพราะหากไม่พยายามอย่างหนัก ก็จะถูกพวกตระกูลสาขาแสนละโมบเหล่านั้นรวมกันบดขยี้เอาได้

เป็นเพราะ….. นางเป็นแค่หนอนน่าสมเพชตัวหนึ่ง เด็กกำพร้าที่ไร้บิดามารดาปกป้อง

จิตใจคนก็เป็นเช่นนี้ รังแกคนอ่อนแอ เกรงกลัวคนแข็งแกร่ง อาจเพราะถูกรังแกมาก่อนจึงมีความแค้น แต่เมื่อตนเองมีโอกาสบ้าง ก็ไม่ลังเลที่จะเหยียบย่ำผู้อื่น

นั่นเป็นความเศร้าที่ไม่อาจเอ่ยคำได้ของพวกอ่อนแอ!

แล้ววันหนึ่ง เด็กคนหนึ่งที่ดูโตกว่าเด็กคนอื่น ๆ ก็มาถึง

เด็กคนนั้นอายุราวสิบห้าสิบหกปี เป็นเด็กหนุ่มร่างผอมสูง หน้าตาหล่อเหลาดูดี นัยน์ตาทั้งสองยิ้มตาหยี ดูเป็นเด็กยิ้มง่าย

เขาเป็นที่รักอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับเด็กสาว ๆ ที่มารายล้อมเขาทันทีด้วยความตื่นเต้น แก้มพวกนางแต้มรอยสีแดงสีชมพูด้วยความขวยเขิน

เว้นเสียแต่เด็กสาวในชุดฝึกสีดำเท่านั้นที่ดูไม่สนใจ

นางงดงามนัก หากแต่เงียบเชียบ และสันโดษยิ่ง

นับตั้งแต่ที่เขาปรากฏ นางก็แค่เหลือบมองคราหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก ทำราวกับเขาไร้ตัวตน

จนกระทั่งชายชราปรากฏตัวขึ้น พวกเด็ก ๆ จึงวงแตก หนีหัวซุกหัวซุนเหมือนกระต่ายหวาดกลัว เด็กสาวจึงเปลี่ยนสีหน้า เรียกหาชายชราเสียงเบา “ท่านปู่”

ชายชราพยักหน้ารับ ก่อนหันไปมองเด็กหนุ่ม “เจ้ามาถึงแล้ว”

“ขอรับผู้นำตระกูล” เด็กหนุ่มก้มหัวน้อย ๆ

หากไม่ใช่ทายาทสายตรง คนอื่น ๆ ต้องเรียกเขาว่าผู้นำตระกูลทั้งสิ้น นับเป็นกฎที่สืบทอดมายาวนาน แม้เด็กคนอื่นจะนับเป็นหลานเหมือนกัน แต่ก็เป็นเพียงหลานห่าง ๆ เท่านั้น

ตระกูลสาขาอย่างไรก็คือตระกูลสาขา ไม่อาจเทียบกับทายาทสายตรงได้

แต่เด็กหนุ่มคนนี้….. เป็นข้อยกเว้น

เขาเป็นเด็กจากตระกูลสาขา แต่ดูว่าครั้งนี้จะมีม้ามืดได้ปรากฏขึ้นในตระกูลสาขาแล้ว

เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ด้านการบำเพ็ญ โดดเด่นกว่าบุตรชายคนโตของเขาตอนอายุเท่ากันเสียอีก ไม่แน่ว่าหากเลี้ยงดูดี ๆ อาจประสบความสำเร็จมากกว่า เป็นแรงเสริมให้ผู้นำตระกูลในรุ่นต่อไปได้มากก็เป็นได้

ตราบเท่าที่…..เด็กคนนี้จะยอมภักดีไปตลอด

สายตาชายชราลึกล้ำขึ้นเล็กน้อย “จากนี้ไป เจ้าจะฝึกกับเด็กพวกนี้ เจ้ามีพรสวรรค์มาก ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยนำพวกเด็ก ๆ ให้พวกเขาพัฒนาไปพร้อมกับเจ้าด้วย”

เด็กหนุ่มยิ้มอบอุ่น ตอบเสียงเคารพ “น้อมรับคำสั่งผู้นำตระกูล ข้าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”

เมื่อพวกเด็ก ๆ ได้ยินว่าพี่ชายหน้าตาหล่อเหลาจะมาฝึกด้วยกันแล้ว ทุกคนต่างก็ยินดีนัก

“ใช่แล้ว นี่หลานสาวข้าเอง ชิงอวี่ ข้าดูแลนางมานาน เพราะบิดามารดานางจากโลกไปก่อนวัยอันควร จากนี้ไปช่วยดูแลนางแทนข้าให้ดีด้วยเล่า” ชายชราเอ่ยกับเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหลุบตาลงมองเด็กสาวที่สูงแค่เอวเขา นางดูเย็นชาเฉยเมย กระทั่งหลังจากได้ยินชายชราพูด นางก็ดูไม่แสดงอารมณ์ใดนัก เพียงเงยหน้าขึ้นมองเขาเท่านั้น

เด็กหนุ่มยกยิ้มขึ้น ก่อนยอบกายลงมองหน้านางในระดับเดียวกัน นัยน์ตาราวกับมีดวงดาราระยับอยู่ ทั้งอบอุ่น ทั้งงดงามจับตา

“เจ้าชื่อชิงอวี่หรือ? ชื่อไพเราะนัก จากนี้ข้าเรียกเจ้าว่าชิงชิงได้หรือไม่?”

“ข้าชื่อชิงเทียนหลิน จากนี้ไปจะเป็นพี่ชายของเจ้า ฉะนั้นข้าจะปกป้องเจ้าเอง” นัยน์ตาเขาแต้มรอยยิ้มขณะมองเด็กสาว หากแต่มีสีหน้าจริงจังยิ่ง

ชิงอวี่พลันตกใจ

พี่ชายหรือ?

เช่นนั้นเขาก็จะเป็นครอบครัวที่นางไม่จำเป็นต้องคอยระวังภัยใด เชื่อใจได้โดยไม่ต้องกังวลหรือไม่….