ตอนที่ 348 ไม่อยากเสียทั้งเงินเสียทั้งคน

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 348 ไม่อยากเสียทั้งเงินเสียทั้งคน

ตอนที่ 348 ไม่อยากเสียทั้งเงินเสียทั้งคน

หลังจากได้วิธีแก้ปัญหาในท้ายที่สุด เซี่ยหลานก็วางแผนที่จะออกไป

เสิ่นเถี่ยจวินดึงแขนหล่อน มองหน้าพลางขอร้องเบา ๆ “เสี่ยวหลาน ช่วงนี้คุณช่วยอยู่บ้านได้ไหม? หลังผ่านเหตุการณ์ใหญ่ขนาดนี้ สภาพจิตใจของอวี้อิ๋งต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ผมเป็นผู้ชาย ไม่รู้ว่าควรจะปลอบและให้ความอุ่นใจกับหล่อนยังไงบ้าง”

“ฉันต้องดูแลอวี้หลง ระหว่างวันก็ยังต้องไปทำงาน คงอยู่กับพวกคุณไม่ได้หรอก”

เซี่ยหลานยืนขึ้น หยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาอย่างเย็นชา

ก่อนออกเดินทาง หล่อนพูดกับเสิ่นเถี่ยจวินว่า

“ทางฉันเตรียมเอกสารทั้งหมดไว้พร้อมแล้ว ถ้ามีเวลาก็อย่าลืมไปทำทุกอย่างให้มันเรียบร้อย”

เสิ่นเถี่ยจวินมีสีหน้ามืดมนทันที ถามว่า “เสี่ยวหลาน มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่บ้าน คุณยังคิดจะหย่ากับผมอยู่เหรอ?”

“เราสองคนไม่เหมาะที่จะอยู่ด้วยกันอีกต่อไป ปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปก็ไม่มีประโยชน์”

เซี่ยหลานพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส ก่อนจะหันหลังจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว

วันรุ่งขึ้น เสิ่นเถี่ยจวินไปที่โรงเรียนในตอนเช้า

เสิ่นอวี้อิ๋งทำเรื่องขอพักการเรียนเนื่องจากอาการป่วย

ครั้นอาจารย์หัวหน้าชั้นได้ยินว่าเสิ่นอวี้อิ๋งยังไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในเร็ว ๆ นี้ ก็แสดงความเสียดายอย่างยิ่ง

พวกเขาอนุญาตให้เสิ่นอวี้อิ๋งพักการเรียนชั่วคราวได้ ถ้าหล่อนหายดีเมื่อใดแล้วยังต้องการสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย ทุกคนก็ยินดีสนับสนุนให้หล่อนกลับมาสอบเข้าอีกครั้ง

อาจารย์หัวหน้าชั้นถึงกับเสนอว่าจะขอไปเยี่ยมบ้านของหล่อน แต่เสิ่นเถี่ยจวินปฏิเสธ

เสิ่นเถี่ยจวินออกจากโรงเรียน ไปที่ร้านซ่อมจักรยานซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของประตูโรงเรียน

“ใครคือเจิ้งต้าหมิง?”

“ผมเอง อยากซ่อมรถเหรอครับ?” ชายหนุ่มร่างสูงกำลังซ่อมโซ่จักรยาน พอได้ยินคนเรียกหา เขาก็ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วตอบรับด้วยความกระตือรือร้น

ผู้ชายคนนี้มีรอยยิ้มสัตย์ซื่อประดับใบหน้า ขณะเช็ดมือสกปรกลงบนเสื้อผ้าของเขาอย่างลวก ๆ จากนั้นก็ยิ้มให้เสิ่นเถี่ยจวิน “สวัสดีครับ คุณตามหาผมอยู่หรือเปล่า?”

เสิ่นเถี่ยจวินเหลือบมองดูเขา เมื่อฟังจากสำเนียง เขาแน่ใจทันทีว่านี่คือคนที่เขากำลังตามหา

เขาตอบกลับ “อืม ออกไปกับฉันหน่อย”

เจิ้งต้าหมิงคิดว่าชายคนนี้อยากพาเขาออกไปดูจักรยานของตัวเองที่พัง จึงเดินตามออกไปอย่างว่าง่าย

เจิ้งต้าหมิงเดินตามเถี่ยเถี่ยจวินอย่างซื่อตรง ถามด้วยความขยันขันแข็ง “รถของคุณอยู่ไหนเหรอ?”

“ไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว” น้ำเสียงของเสิ่นเถี่ยจวินเย็นชา ก้าวฉับ ๆ ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

กระทั่งจนถึงทางเข้าซอย เสิ่นเถี่ยจวินกลับยืนนิ่ง

เขาหันกลับมาแล้วปล่อยหมัดต่อยเจิ้งต้าหมิง

เจิ้งต้าหมิงไม่ทันระวังตัว หลังจากโดนต่อยก็ยกมือขึ้นปิดหน้าโดยสัญชาตญาณ “คุณมาต่อยผมทำไมเนี่ย?”

“ฉันต่อยแกทำไมงั้นเหรอ? ฉันอยากฆ่าแกให้ตายคามือด้วยซ้ำ!” เสิ่นเถี่ยจวินชกหน้าเขาอีกครั้ง ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ กัดฟันแล้วแค่นเสียงถาม “แกไม่รู้หรือไงว่าเสิ่นอวี้อิ๋งเป็นลูกสาวของใคร? ยังกล้ารังแกหล่อนอีกเหรอ?”

เจิ้งต้าหมิงพลันสับสน เขาปิดหน้าด้วยความเจ็บปวดแล้วพูดว่า “ผมไปรังแกอวี้อิ๋งตั้งแต่เมื่อไหร่? หล่อนเป็นแฟนผมนะ ผมจะทำร้ายหล่อนได้ยังไง? คุณเป็นใครกันแน่?”

เสิ่นเถี่ยจวินแผ่รังสีน่าสะพรึงกลัวออกมา มองไปที่เจิ้งต้าหมิงและกล่าวเตือนเสียงเข้ม “ออกไปให้ไกลจากไห่เฉิงซะ ถ้ามีคนมาส่งข่าวให้ฉันรู้ว่าแกกล้าไปรบกวนชีวิตหล่อนอีก ฉันนี่แหละจะส่งแกไปหายมบาล”

“อวี้อิ๋งเป็นแฟนผม ผมไม่เคยรบกวนชีวิตหล่อน เราสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก หล่อนบอกว่าหล่อนอยากแต่งงานกับผมด้วยซ้ำ”

“ถุย!”

เสิ่นเถี่ยจวินมองไปที่ชายหน้าโง่ตรงหน้าด้วยความดูถูก แค่นเสียงเยาะเย้ย “หัดส่องกระจกซะบ้าง แกคู่ควรกับหล่อนตรงไหน?”

เจิ้งต้าหมิงพูดเสียงเคร่งขรึม “ทำไมผมจะไม่คู่ควรกับเธอ? เราคบกันมาสองปีแล้ว มรดกทั้งหมดของครอบครัว ผมก็ยินดียกให้หล่อนอย่างไม่มีข้อกังขา พอได้เงินเดือนในแต่ละเดือนก็แบ่งให้หล่อนไว้ใช้ ผมดูแลหล่อนไม่ดีตรงไหน?”

“คุณเป็นพ่อของหล่อนในเมืองนี้เหรอ?” หลังจากถูกทุบตี เจิ้งต้าหมิงก็เดาตัวตนของเสิ่นเถี่ยจวินได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าสู้กลับ ได้แต่ขอร้องเสิ่นเถี่ยจวิน “ลุงครับ อวี้อิ๋งกับผมรักกันมาก หล่อนนอนกับผมหลายครั้งแล้ว คุณจะคัดค้านไม่ให้พวกเราอยู่ด้วยกันได้ยังไง? ได้โปรดอนุญาตให้ผมได้แต่งงานกับหล่อนเถอะ ผมรอจนกว่าหล่อนจะเรียนจบก็ได้”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘นอน’ โทสะของเสิ่นเถี่ยจวินก็พุ่งทะยานถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง เขาต่อยเจิ้งต้าหมิงจนทำให้อีกฝ่ายล้มลงไปกองอยู่กับพื้น

เขามองดูคนที่เขาตัวเองต่อยจนลงไปกองกับพื้นอย่างชิงชังรังเกียจ พูดเตือนอีกครั้งว่า “ฉันจะพูดอีกครั้ง แกต้องออกไปจากไห่เฉิงภายในวันนี้ และจากนี้ไปแกจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาเหยียบไห่เฉิงอีก ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไร้ความปรานี”

เสิ่นเถี่ยจวินโกรธมาก หน้าตาถมึงทึงเหมือนเสือดาวที่พร้อมกินคน จนเจิ้งต้าหมิงรู้สึกหวาดกลัว

พิจารณาจากทัศนคติของพ่อเสิ่นอวี้อิ๋ง คงเป็นไปไม่ได้แล้วที่เขาจะได้ลงเอยกับเสิ่นอวี้อิ๋ง

แม้ว่าพวกเขาจะหลับนอนด้วยกันแล้วก็ตาม

ดังนั้นเจิ้งต้าหมิงจึงวางแผนว่าที่จะยุติการเสียเปรียบของตัวเองให้ทันเวลา เขาลุกขึ้นจากพื้น แล้วพูดกับเสิ่นเถี่ยจวินอย่างกล้าหาญ “ถ้าอย่างนั้นช่วยไปบอกให้เสิ่นอวี้อิ๋งคืนมรดกของครอบครัวกลับมาให้ผมด้วย”

“มรดกบ้าบออะไร?”

ไอ้ผู้ชายคนนี้ยังมีคุณธรรม เห็นแก่มรดกสืบทอดของครอบครัวอยู่เหรอ?

“แม่ผมมอบสร้อยข้อมือหยกไว้ให้ว่าที่สะใภ้ในอนาคต ผมก็มอบให้อวี้อิ๋งตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ในเทศมณฑลเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้เรายังคบกันมาเรื่อย ๆ เป็นเวลาสองปี แถมหล่อนยังเอาเงินที่ผมหามาได้ทุกเดือนไปใช้จนหมด กรุณาคืนเงินทั้งหมดที่เอาจากผมไปด้วย”

“ไอ้สารเลว ฉันยังไม่ทันชำระบัญชีในสิ่งที่แกทำเลย กล้าดียังไงถึงมาเรียกร้องจากฉัน” เสิ่นเถี่ยจวินเริ่มโกรธจนเดือดดาล วาดขาเตะเจิ้งต้าหมิงอย่างแรงอีกครั้ง “ออกไปจากไห่เฉิงเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะส่งแกเข้าคุก”

เสิ่นเถี่ยจวินพูดด้วยน้ำเสียงดุเดือด จากนั้นก็เดินจากไป

เจิ้งต้าหมิงไม่กล้าสวนกลับ แต่เขาก็ไม่ยอมทำตามคำขอที่ให้เลิกกับเสิ่นอวี้อิ๋งเช่นกัน

เขาอายุยี่สิบสี่ปี สำหรับในชนบทแล้วถือเป็นผู้ชายที่มีอายุมากพอสมควร เขาทุ่มเทเวลาให้กับเสิ่นอวี้อิ๋งมาสองปี แน่นอนว่าเขาไม่อยากเสียทั้งคนเสียทั้งเงิน

ในเมื่อไม่ได้คน เขาก็ต้องได้เงินคืนมา

เจิ้งต้าหมิงถูกต่อยจนจมูกฟกช้ำ ใบหน้าบวมเป่ง แต่ดวงตาของเขากลับเปล่งประกายมุ่งมั่น

ในที่สุดผู้เฒ่าเสิ่นก็รู้เรื่องการพักการเรียนของเสิ่นอวี้อิ๋ง

เขาและเสิ่นเสี่ยวเหมยมาเยี่ยมเสิ่นอวี้อิ๋ง พบว่าเสิ่นอวี้อิ๋งอยู่คนเดียวที่บ้าน

ผู้เฒ่าเสิ่นถามว่าทำไมจู่ ๆ หล่อนถึงลาออกจากโรงเรียนกะทันหัน เสิ่นอวี้อิ๋งรู้สึกละอายใจมากและลังเลที่จะบอกความจริงกับเขา จึงบอกเพียงว่าหล่อนป่วยด้วยโรคบางอย่าง

หลังจากได้ยินแบบนี้ ผู้เฒ่าเสิ่นก็บ่นอีกครั้งว่าคงเป็นเพราะเสิ่นเถี่ยจวินและเซี่ยหลานจะหย่ากัน จากนั้นก็อาสาพาเสิ่นอวี้อิ๋งไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย

เสิ่นอวี้อิ๋งหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว

อ้างว่านอนพักแค่สองสามวันก็หายแล้ว

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของหล่อนดูย่ำแย่มาก ผู้เฒ่าเสิ่นจึงบอกให้เสิ่นเสี่ยวเหมยส่งเธอไปที่ห้องนอนเพื่อพักผ่อน ส่วนเขานั่งบนโซฟาคนเดียว รอให้เสิ่นเถี่ยจวินกลับมา

เสิ่นเสี่ยวเหมยเดินตามเสิ่นอวี้อิ๋งเข้าไปในห้อง เสิ่นอวี้อิ๋งรีบเอนตัวลงนอนบนเตียง เสิ่นเสี่ยวเหมยเริ่มอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเสิ่นอวี้อิ๋งกันแน่ แต่หลังจากถามอยู่นาน เสิ่นอวี้อิ๋งก็เอาแต่หลบเลี่ยง

อ้างว่าหมอไม่สามารถบอกชื่อโรคเฉพาะได้

ท้ายที่สุดเสิ่นเสี่ยวเหมยก็เคยแต่งงานแล้ว ทั้งยังผ่านเหตุการณ์ท้องปลอมมา ดังนั้นจึงพอจะมีประสบการณ์บางอย่าง เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาทั้งหมดของเสิ่นอวี้อิ๋งเมื่อนานมาแล้ว รวมถึงเอวของหล่อนที่ดูเหมือนจะหนาขึ้นอย่างมากในเวลานี้ ประกอบกับการแสดงออกที่มีพิรุธของหล่อนในหลาย ๆ เรื่อง ภาพทั้งหมดก็เข้ามาในใจ ส่งเสริมการคาดเดาอย่างบ้าคลั่ง

“อวี้อิ๋ง เธอท้องหรือเปล่า?” เสิ่นเสี่ยวเหมยมองไปที่เสิ่นอวี้อิ๋งและถามด้วยเสียงกระซิบ

เสิ่นอวี้อิ๋งคร่ำครวญในใจ ร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

หล่อนไม่คาดคิดว่าคนโง่เขลาอย่างเสิ่นเสี่ยวเหมยจะกลับมาฉลาดอีกครั้งในเวลาที่ไม่ควรฉลาด

เสิ่นอวี้อิ๋งรู้สึกอับอายและหงุดหงิดมาก ถึงอย่างนั้นก็ยังปฏิเสธ

ตราบใดที่มีอะไรในกอไผ่ แน่นอนว่าต้องมีเบาะแส ไม่ต้องพูดถึงเรื่องใหญ่อย่างการตั้งท้องที่ไม่สามารถปกปิดไว้ได้ตลอดไป

เสิ่นเสี่ยวเหมยมองหน้าหล่อน ไม่ให้โอกาสหล่อนได้หลบหนี “อวี้อิ๋ง ฉันสังเกตเห็นมาตลอดนะ เธอต้องท้องแน่ ๆ ก่อนหน้านี้เธอก็ถามฉันเกี่ยวกับประจำเดือน แถมเธอยังมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนติดต่อกันมาตั้งนาน ถ้าไม่ท้องจะเป็นอะไรไปได้อีก?”

เสิ่นอวี้อิ๋งเฉไฉ “อาเล็ก อาพูดอย่างกับตัวเองไม่เคยมีประสบการณ์อย่างนั้นแหละ ตอนนั้นประจำเดือนของอาก็ไม่มาตั้งสองเดือนไม่ใช่เหรอ? อาคิดว่าตัวเองท้อง แต่ผลสุดท้ายเป็นยังไง? แค่ฉันมีอาการแบบนั้นก็ตัดสินว่าท้องแล้วเหรอ?”

“แล้วทำไมจู่ ๆ เธอถึงขอพักการเรียนล่ะ? การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาในอนาคตของเธอเลยนะ ถ้าไม่ใช่โรคร้ายแรง พักไม่กี่วันเธอก็กลับไปเรียนได้ อย่าลืมสิว่าหน้าท้องของเธอก็ยื่นผิดปกตินะ”

เสิ่นเสี่ยวเหมยแน่ใจว่าเสิ่นอวี้อิ๋งท้องแน่ หล่อนถามต่อไป “บอกฉันมาเร็วเข้า พ่อเด็กใช่หลิวจื้อหมิงไหม?”

“เธอท้องกี่เดือนแล้ว? พ่อแม่คิดจะให้เธอแต่งงานหรือเปล่า?”

เสิ่นอวี้อิ๋งไม่สามารถซ่อนกิริยาอาการจากการโดนยิงคำถามได้อีกต่อไป จึงก้มหน้าลงและร้องไห้

ทันทีที่หล่อนร้องไห้ เสิ่นเสี่ยวเหมยก็รู้ว่าตัวเองเดาไม่ผิด

สายตาของเสิ่นเสี่ยวเหมยดูเปลี่ยนไปขณะมองเสิ่นอวี้อิ๋ง

หลานสาวที่ภายนอกดูซื่อใสไร้เดียงสาคนนี้ ไม่นึกเลยว่าจะแอบทำเรื่องโสมมลับหลัง

หล่อนกล้าทำแบบนั้นได้ยังไงในเมื่อตัวเองยังไม่ได้แต่งงาน

ที่สำคัญคือหล่อนยังเป็นแค่นักเรียนชั้นมัธยมปลายเท่านั้น

เสิ่นอวี้อิ๋งกลัวว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยจะมองว่าหล่อนเป็นผู้หญิงแพศยาไม่รักดี จึงร้องห่มร้องไห้และอ้างว่าตัวเองถูกผู้ชายหลอกเอาเปรียบโดยที่หล่อนรู้ไม่ทันเขา

เสิ่นเถี่ยจวินกลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อนั่งอยู่บนโซฟา เขาก็หย่อนตัวนั่งลง

ผู้เฒ่าเสิ่นถามขึ้น “อวี้อิ๋งเป็นอะไรไป? ทำไมจู่ ๆ หล่อนถึงทำเรื่องขอพักการเรียน อีกหนึ่งเดือนจะถึงฤดูสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ”

เสิ่นเถี่ยจวินยังคงนั่งเงียบ

“ฉันถามว่าหล่อนเป็นอะไร?”

เสิ่นเถี่ยจวินร้อนใจเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา กลัวว่าพ่อจะโกรธจนหัวใจวายตายเมื่อได้รู้ความจริง

เขาแสร้งตอบเหมือนไม่มีอะไร “พ่อ ไม่ใช่เรื่องอะไรร้ายแรงหรอก อย่าถามเซ้าซี้เลย”

“หล่อนเป็นหลานสาวฉันนะ อยู่ดี ๆ ก็ขอพักการเรียนเรียนหนึ่งเดือนก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย จะไม่ให้ฉันถามได้ยังไง? แกยังเห็นฉันเป็นผู้ใหญ่ในสายตาอยู่ไหม?”

ผู้เฒ่าเสิ่นปฏิเสธที่จะยอมแพ้ ยืนกรานที่จะถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เสิ่นเถี่ยจวินทำได้แค่หาข้อแก้ตัวแบบส่งๆ ไปก่อน “หล่อนป่วยเป็นโรคทางนรีเวชน่ะครับ ไม่ต้องกังวล หลังจากเข้ารับรักษาแล้วก็จะหายดี ถึงเวลานั้นค่อยคุยเรื่องสอบเรียนต่อก็ยังไม่สาย”

“ถ้าอย่างนั้นก็พาหล่อนไปโรงพยาบาลเร็ว ๆ เถอะ อย่าปล่อยให้การเตรียมตัวสอบล่าช้า”

ผู้เฒ่าเสิ่นหยุดถามคำถาม เสิ่นเถี่ยจวินลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ขณะที่เขากำลังจะบอกพ่อให้กลับไปพักผ่อน เสิ่นเสี่ยวเหมยก็เดินพรวดพราดออกมาจากห้องของเสิ่นอวี้อิ๋ง พอเห็นลูกพี่ลูกน้องก็ทำหน้าตาตื่น พูดด้วยน้ำเสียงเฉียบคมว่า “พี่ชาย อวี้อิ๋งถูกผู้ชายรังแกมาใช่ไหม? ในฐานะพ่อ พี่บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าจะจัดการยังไง?”

“ฉันต้องจัดการอะไร?” ขมับของเสิ่นเถี่ยจวินกระตุกเกร็งทันทีเมื่อเขาเห็นเสิ่นเสี่ยวเหมย

เสิ่นเสี่ยวเหมยเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “อวี้อิ๋งเพิ่งบอกฉันว่าหล่อนโดนหลิวจื้อหมิงเอาเปรียบ”

“อะไรนะ? เอาเปรียบ?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยพูดด้วยความโกรธ “ลุงคะ อวี้อิ๋งท้องต่างหากล่ะ หล่อนท้องมานานกว่าสามเดือนแล้ว ลุงไม่สังเกตหน้าท้องของหล่อนหรือไง? ท้องป่องผิดปกติขนาดนั้น”

“ท้องเหรอ?” ผมทั้งศีรษะผู้เฒ่าเสิ่นถึงกับตั้งชันเมื่อได้รับข่าวที่น่าตกใจอย่างยิ่ง

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

๕๕๕๕ นังเหมยเอ๊ย เธอนี่ถนัดพลิกวิกฤตเป็นวินาศสันตะโรจริงๆ เรื่องที่ควรฉลาดดันโง่ เรื่องที่ควรโง่ดันฉลาด

ไหหม่า(海馬)