ตอนที่ 269 แม่สื่อ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 269 แม่สื่อ
“ฝ่าบาท ตอนที่หม่อมฉันทำงานรับใช้อยู่ที่จวนเหลียง หม่อมฉันได้ยินว่าเหลียงอ๋องรักใคร่ชอบพออยู่กับคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋เพคะ!” มือนุ่มของชิวกุ้ยเหรินจับไปที่มือของฮ่องเต้ “บัดนี้หม่อมฉันโชคดีที่ได้พบกับฝ่าบาท เราควรทำให้คนที่มีความรักให้กันในใต้หล้านี้ได้อยู่ด้วยกันนะเพคะ ก่อนหน้านี้คุณหนูใหญ่ไป๋ตัดสัมพันธ์กับเหลียงอ๋องเพราะสาวใช้ที่ชื่อหงเชี่ยว คุณหนูใหญ่ยังกล่าวถ้อยคำตัดสัมพันธ์อย่างไร้เยื่อใยอีกด้วยเพคะ ทว่า หม่อมฉันเชื่อว่าในใจของทั้งสองคนคงรักฝ่ายตรงข้ามเช่นเดียวกับหม่อมฉันและฝ่าบาท ตอนที่หม่อมฉันทราบว่าฝ่าบาทเสด็จไปหาท่านพี่คนอื่น หม่อมฉันก็รู้สึกโกรธจนแทบไม่อยากยุ่งกับฝ่าบาทอีกแล้วเช่นกันเพคะ!”

มือของฮ่องเต้ที่กำลังลูบมือของชิวกุ้ยเหรินอยู่ชะงักทันที “เจ้ากำลังเป็นแม่สื่อให้เหลียงอ๋องกับไป๋ชิงเหยียนอย่างนั้นหรือ”

“หม่อมฉันแค่อยากให้ทุกคนในใต้หล้าสมหวังในความรักเช่นเดียวกับหม่อมฉันและฝ่าบาทเท่านั้นเพคะ” ราวกับชิวกุ้ยเหรินกำลังเอ่ยถึงเรื่องสะเทือนใจ ขอบตาของนางร้อนผ่าว “ที่สำคัญหม่อมฉันรู้สึกชอบคุณหนูใหญ่ไป๋มาก อยากกลายเป็นครอบครัวเดียวกันกับนางเพคะ”

“ทว่า ไป๋ชิงเหยียนสาบานไว้ว่าจะไม่แต่งงานตลอดชีวิต อีกทั้งมีบุตรยาก เกรงว่าจะไม่เหมาะสม…” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นอย่างช้าๆ ไม่ได้ปฏิเสธในทันที “ให้เราคิดทบทวนดูก่อนแล้วกัน”

ชิวกุ้ยเหรินไม่ได้รบเร้าอีก นางมองไปทางฮ่องเต้ด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก “เพคะ…”

อวี๋กุ้ยเฟยเหล่มองทางฮ่องเต้และชิวกุ้ยเหรินเล็กน้อย ยกชาขึ้นจิบพลางเอ่ยเสียงเบาหวิว “เสแสร้งแกล้งทำ เหมือนคนผู้นั้นที่ใดกัน”

อวี๋กุ้ยเฟยรู้จักไป๋ซู่ชิว สตรีผู้นั้นตรงไปตรงมา เย็นชาน่าเกรงขาม อย่าว่าแต่ให้นางแสดงกิริยายั่วยวนเช่นนี้เลย เมื่อพบนาง นางมีแต่จะเชิดคออย่างทะนง

คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ผู้นั้นต่างหากที่ดูคล้ายคลึงกับไป๋ซู่ชิวอยู่หลายส่วน

เมื่อเพลงบรรเลงจบ ฮ่องเต้ตรัสขึ้นยิ้มๆ “ครั้งนี้เราได้รับชัยชนะที่หนานเจียง ต้องขอบคุณแม่ทัพและทหารทุกคนที่เสียสละ! ทหารที่มีความดีความชอบในครั้งนี้จะได้รางวัลอย่างงาม แม่ทัพทุกท่านยิ่งต้องได้รางวัล! เกาเต๋อเม่าประกาศราชโองการ…”

ทุกคนรีบคุกเข่าฟังราชโองการในทันที

แม่ทัพจางตวนรุ่ยได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ฝู่จวิน

แม่ทัพเจินเจ๋อผิงได้รับการแต่งตั้งแม่ทัพใหญ่หวายฮว่า

แม่ทัพสือพานซานได้รับการแต่งตั้งแม่ทัพใหญ่อวิ๋นหมัว

ได้ทองหนึ่งพันตำลึง จวนใหม่อีกหนึ่งหลัง

เมื่อราชโองการจบลง แม่ทัพเจินเจ๋อผิงที่เป็นคนตรงไปตรงมาเงยหน้ามองฮ่องเต้ที่อยู่ทางเบื้องสูง “ฝ่าบาท แม่ทัพไป๋คือคนที่มีความดีความชอบมากที่สุดในสงครามครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ”

แม่ทัพเจินเจ๋อผิงกลัวว่าฮ่องเต้จะลงโทษไป๋ชิงเหยียนเรื่องที่หญิงสาวสังหารทหารยอมจำนนของซีเหลียง

“ดูสิ” องค์รัชทายาทมองไปทางฮ่องเต้ยิ้มๆ พลางเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ลูกกราบทูลแล้วว่าแม่ทัพเจินผู้ใจร้อนต้องร้อนใจขึ้นมาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

รอยยิ้มของฮ่องเต้มากขึ้นกว่าเดิม

องค์รัชทายาทกล่าวยิ้มๆ “แม่ทัพเจินวางใจได้ เสด็จพ่อไม่มีทางลืมคุณหนูใหญ่ไป๋หรอก ทว่า คุณหนูใหญ่ไป๋เป็นสตรีจึงไม่อาจแต่งตั้งเป็นแม่ทัพได้ เสด็จพ่อจึงมีราชโองการอีกฉบับหนึ่งแทน”

ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม ยังคงแนบศีรษะอยู่กับพื้น ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนกับเรื่องนี้สักนิด

ฮ่องเต้สั่งให้เกาเต๋อเม่าประกาศราชโองการ

เกาเต๋อเม่ากางราชโองการอีกฉบับออก ประกาศเสียงดัง “หลานสาวคนโตของเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋ชิงเหยียนมีคุณธรรมและความกล้าหาญ เดินทางไปช่วยเหลือบ้านเมืองและราษฎรที่เดือดร้อนที่หนานเจียง ไม่เสียเกียรติเจิ้นกั๋วอ๋อง แต่งตั้งเป็นเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ คุณหนูสี่ตระกูลไป๋ แต่งตั้งเป็นเกาอี้เซี่ยนจู่…”

เนื้อหาที่เกาเต๋อเม่าอ่านถัดจากนั้น ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ฟังแม้แต่คำเดียว…

เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ บรรดาศักดิ์นี้สูงส่งมากจริงๆ

รบชนะกลับมาจากหนานเจียงแล้วได้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์เช่นนี้ มันไม่สูงส่งหรอกหรือ

แน่นอนว่าต้องสูงส่ง ทว่า บรรดาศักดิ์นี้ไม่ได้รับอำนาจอย่างแท้จริง ฮ่องเต้ไม่ต้องการใช้ตระกูลไป๋ ทว่า กลับเหลือทางรอดให้นาง ให้ไป๋ชิงเหยียนแบกรับภาระการเป็นเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่

ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเจิ้นกั๋ว ต่อไปหากแคว้นต้องการความช่วยเหลือ นางจะไม่ช่วยได้หรืออย่างไร คนของราชวงศ์…ช่างวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้วจริงๆ

คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่ เซี่ยนจู่ ภายภาคหน้าหากแต่งงานออกเรือนย่อมได้แต่งงานกับผู้ที่มีฐานะสูงส่งขึ้น ฮูหยินสามหลี่ซื่อดีใจมาก เพราะอย่างไรเสียไป๋ชิงเหยียนและบุตรสาวของตนไม่ใช่บุรุษ ได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่และเซี่ยนจู่ดีกว่าได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพมากนัก

ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ้นจื้อน้อมศีรษะขอบพระคุณ

องค์รัชทายาทกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ “เสด็จพ่อทรงพระราชทานจวนหลังใหม่ให้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ และพระองค์ยังเขียนป้ายชื่อด้วยพระองค์เองอีกด้วย พระกรุณาเช่นนี้หาได้ยากในเมืองหลวง…”

คิ้วของไป๋ชิงเหยียนเลิกขึ้นน้อยๆ ก้มศีรษะแนบพื้นทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ขอบพระคุณในความเมตตากรุณาของฝ่าบาทและองค์รัชทายาทเพคะ ทว่า จวนที่ซั่วหยางซ่อมแซมเสร็จแล้ว มารดาและท่านอาสะใภ้ปรึกษากันแล้วว่าจะเดินทางกลับซั่วหยางในวันที่หนึ่ง เดือนห้า เกรงว่าคงไม่ได้อยู่ในจวนจวิ้นจู่นานนัก ทว่า หากภายภาคหน้าฝ่าบาทเรียกหม่อมฉันมาที่เมืองหลวง หม่อมฉันคงได้พักที่จวนจวิ้นจู่เพคะ”

จักรพรรดิเกาจู่เป็นผู้พระราชทานจวนเจิ้นกั๋วกงให้ตระกูลไป๋ บัดนี้ตระกูลไป๋สละยศตำแหน่ง เตรียมเดินทางกลับซั่วหยาง ต่อไปจวนไป๋ไม่อาจเรียกว่าจวนไป๋ได้อีก

องค์รัชทายาทดวงตาเป็นประกาย คุกเข่าลงบนพื้นพลางกล่าวกับฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ ลูกอยากทูลขอความเมตตาจากเสด็จพ่ออีกเรื่องพ่ะย่ะค่ะ จวนไป๋คือจวนที่จักรพรรดิเกาจู่ทรงพระราชทานให้ตระกูลไป๋ เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เติบโตมาที่นั่นตั้งแต่เล็ก ย่อมรู้สึกผูกพันเป็นธรรมดา เสด็จพ่อทรงพระราชทานป้ายชื่อจวนที่ทรงเขียนด้วยพระองค์เองแขวนไว้ที่จวนไป๋แล้วพระราชทานจวนไป๋ให้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น

ฮ่องเต้หรี่ตาคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่าเป็นการพระราชทาน…ความจริงก็แค่เป็นการเปลี่ยนชื่อจวนเท่านั้น ตั้งแต่ที่ตระกูลไป๋มาขอถอดยศ พวกเขาเปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อจวนไป๋ บัดนี้ก็แค่เปลี่ยนจากจวนไป๋เป็นจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ก็เท่านั้น

“เช่นนั้นก็เอาตามที่องค์รัชทายาทว่าเถิด” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นอย่างไม่รีบร้อน

“ขอบพระคุณฝ่าบาท ขอบพระคุณองค์รัชทายาทเพคะ!”

งานเลี้ยงที่จัดก่อนงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮ่องเต้ใช้เวลาไม่นานมาก ฮ่องเต้ตรัสว่าพรุ่งนี้ถึงจะเป็นงานเลี้ยงฉลองอย่างจริงจัง ให้พวกเขารีบกลับไปพักผ่อน บำรุงร่างกายอย่างเต็มที่

เดินออกมาจากวังหลวง ไป๋จิ่นจื้อก็ขอร้องฮูหยินสามหลี่ซื่อว่าต้องการนั่งรถม้าคันเดียวกับต่งซื่อและไป๋ชิงเหยียน ฮูหยินสามเถียงไม่ชนะไป๋จิ่นจื้อ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่ามีเรื่องต้องปรึกษากับต่งซื่อ ให้พวกนางสองพี่น้องนั่งรถม้าคันเดียวกันกลับจวน

เมื่อขึ้นไปบนรถม้า ไป๋จิ่นจื้อรับชาที่ชุนเถาส่งให้มาดื่ม จากนั้นอดบ่นอุบอิบไม่ได้ “ฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทมีหัวการค้าจริงๆ นะเจ้าคะ แค่เปลี่ยนป้ายจวนให้พวกเราใหม่เท่านั้น ทำอย่างกับเป็นบุญคุณล้นฟ้า!”

มองเห็นน้องสาวโมโหจนแก้มป่อง ไป๋ชิงเหยียนเอื้อมมือไปลูบศีรษะของน้องสาว “จักรพรรดิเกาจู่เป็นคนพระราชทานจวนไป๋ให้เรา มันไม่ใช่ของตระกูลไป๋ สามารถเก็บจวนที่พวกเราอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กเอาไว้ได้ พวกเรายินดีรับน้ำใจขององค์รัชทายาทในครั้งนี้”

ไป๋จิ่นจื้อขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจ ยกมือลูบท้องของตัวเอง “งานเลี้ยงในวันนี้ช่างไม่สนุกเอาเสียเลย ไม่มีอาหารให้ทานสักนิด!”

ชุนเถาได้ยินก็คุกเข่านั่งขำอยู่ด้านข้าง นางรีบนำขนมออกมาจากลิ้นชักในรถม้าแล้วยื่นให้ไป๋จิ่นจื้อ “คุณหนูสี่ทานรองท้องก่อนเถิดเจ้าค่ะ”

ขณะกล่าว จู่ๆ รถม้าก็หยุดลงกะทันหัน ไป๋จิ่นจื้อขมวดคิ้วพลางแหวกม่านรถม้ามองออกไปด้านนอก เมื่อเห็นว่าพี่สาวตระกูลต่งสามคนกำลังลงมาจากรถม้า เดินไปคารวะต่งซื่อ ดวงตาของไป๋จิ่นจื้อเป็นประกาย หันไปบอกไป๋ชิงเหยียน “พี่หญิงใหญ่ ญาติผู้พี่ชายตระกูลต่งสองคนและญาติผู้พี่สาวตระกูลต่งสามคนมาเจ้าค่ะ…”