บทที่ 304 ปิดล้อมลัทธิกลืนศพ

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 304 : ปิดล้อมลัทธิกลืนศพ

นับแต่ครั้งที่เธอเอาชนะหลานชายของออสวาลด์อย่างขาดลอยได้ เมลิสซ่าก็ถูกพ่อของเธอลงโทษกักบริเวณมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว

แม้เมลิสซ่าจะเป็นคนของหน่วยรบและตามหลักทฤษฎีแล้ว เธอไม่ได้อยู่ใต้บังคับบัญชาของโจเซฟ แต่ใครสั่งใครสอนให้โจเซฟมีเพื่อนมากพอ ๆ กับศัตรูล่ะ?

วินสตัน ผู้บังคับบัญชาสายตรงของเมลิสซ่าก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของโจเซฟเช่นกัน

ดังนั้น แม้ว่าครั้งนี้เมลิสซ่าจะมีผลงาน ‘จับกุมลิ่วล้อของขบวนการหนอนบ่อนไส้’ ได้ก็ตาม แต่เธอก็มีส่วนได้ส่วนเสียเพียงเล็กน้อย

เพราะกระทำเกินกว่าเหตุจนทำให้ท็อดด์ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองอย่างมาก ทั้งยังไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ทัน ส่งผลให้เกิดภาวะสมองเสื่อม และการกักบริเวณนี้คือบทลงโทษสำหรับเธอ

แน่นอนว่านี่เป็นแค่คำอธิบายบังหน้า…

ตอนนี้โจเซฟกลับมาแล้ว และการกลับมานั้นก็ทำให้ตัวเขานั้นกระโดดกลับเข้าไปในทำเนียบอัศวินแห่งแสงเหมือนเก่าทันที แถมยังมีเจ้าหน้าที่อัศวินใต้บัญชาอีกหลายนาย

ทางฝ่ายออสวาลด์ได้กระจายกันแทรกแซงไปทั่วสี่หน่วยหลักของหอพิธีกรรมต้องห้าม ถ้าออสวาลด์เป็นต้นไม้สูงใหญ่ที่บดบังพวกเขาไว้ พวกเขาก็คงเป็นรากไม้ที่ซอกซอนเข้าไปทุกซอกทุกมุมของหอพิธีกรรมต้องห้าม

การถอนรากถอนโคนพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย

แม้ว่าผู้สนับสนุนใหญ่ของพวกเขาจะตายไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่มีใครให้ที่หลบภัย

เหมือนอย่างคำพูดที่ว่า ‘ต่อหน้าราชันย์ยมโลกนั้นรับมือง่าย แต่ปีศาจยิบย่อยนั้นรับมือยาก’

สมาชิกไร้นามพวกนี้สังเกตได้ยากมากเพราะพวกเขาไม่ได้ไร้ความกลัวและมีอำนาจอย่างออสวาลด์ เวลาเกิดเหตุอะไรขึ้น พวกเขาก็จะยิ่งหลบซ่อนเข้าไปลึกกว่าเดิม ทำให้การตามรอยนั้นไม่ง่ายเลย

ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้โจเซฟก็ได้แสดงความสามารถในการเป็นผู้นำของอัศวินแห่งแสงออกมาอย่างเยี่ยมยอด แต่บุคลิกซื่อตรงและชอบธรรมอย่างสุดโต่งของเขาก็ทำให้คนบางคนไม่ชอบใจเท่าไหร่…

ตอนนี้เมื่อเขากลับมาโด่งดัง ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างลับ ๆ

เหมือนเช่นการบุกค้นคฤหาสน์ของออสวาลด์ในครั้งนี้ แม้ว่าเขาจะลงมือภายใต้คำสั่งอย่างเป็นทางการจากสภาผู้อาวุโสและไม่ได้ทำผิดกระบวนการใด ๆ เลยก็ตาม แต่ก็ยังมีคนที่ออกมาโวยวายว่าเขาปล่อยให้ไวลด์รอดชีวิตไปสองปี แล้วกลับมาเป็นอาชญากรที่ชั่วร้ายกว่าเดิม แถมยังปล่อยให้ออสวาลด์ตาย

แล้วยังมีพวกอุกฉกรรจ์ที่กล่าวหาว่าเขาอาจจะร่วมมือกับไวลด์แล้วใช้อีกฝ่ายมากลบเกลื่อนหลักฐานการทุจริตที่เขาทำร่วมกับออสวาลด์อีกต่างหาก…

ในกรณีนี้ เมลิสซ่าก็ถือได้ว่าเป็นชนวนระเบิดอีกสายหนึ่ง ถ้าปล่อยให้เธอฝึกและรับภารกิจตามปกติต่อไป มันก็เท่ากับว่าปล่อยเธอไว้ที่ใจกลางพายุ อย่าว่าแต่การกดขี่ข่มเหงเลย การนินทาอย่างน่าอายก็คงทำให้แม่สาวน้อยไม่สบายใจเอาเสียเปล่า ๆ

แม้โจเซฟจะคิดว่าการฝึกฝนจิตใจอย่างเหมาะสมจะส่งผลดีต่อการเติบโตของเมลิสซ่าก็ตาม แต่ความเสียหายที่เกิดจากความเพิกเฉยของเขาในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้ถูกเรื่องของท็อดด์สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน

‘การฝึก’ พวกนี้มากพอแล้ว…ตอนนี้เขาต้องกลับมาและย่อมต้องปลดปล่อยพันธนาการ เติมเต็มความรับผิดชอบของผู้เป็นบิดาเสียที

ดังนั้น นี่ก็คือการปกป้องที่ใช้ชื่อการกักบริเวณมาบังหน้า

แกร๊ก!

เมลิสซ่าปิดหนังสือในมือ ถอนหายใจยาว หลับตาลงแล้วระลึกถึงข้อความในนั้น แล้วเธอก็สัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าและความพึงพอใจที่ลึกล้ำ

รากฐานที่สำคัญของสิ่งต่าง ๆ นั้นเหมือนกันหมด…พวกมันมีพื้นฐานเดียวกัน หลัก ๆ แล้วความแตกต่างของมันก็เกิดขึ้นแค่เพราะวิธีการ ลำดับการจัดเรียงและการรวมตัวที่แตกต่างกัน

และหากเราสามารถใช้อีเธอร์จัดการกับรากฐานพวกนี้ได้ก็เข้าใจรูปร่างของพวกมันได้…แล้วเราก็จะควบคุมการมีอยู่ของมันได้เช่นกัน

แต่เดิมแล้วเราไปถึงแค่ ‘การมองเห็น’ การมีอยู่และโครงสร้างของรากฐานพวกนี้ เพราะฉะนั้นจึงใช้จุดอ่อนของพวกมันในการจัดการกับโล่แห่งการคุ้มกันระดับภัยพิบัติของท็อดด์ในครั้งก่อนจนแตกไปได้

แต่ถ้าพูดอีกอย่างก็คือ เรายังทำได้มากกว่าเรื่องแค่นั้น

ถ้าเกิดว่าตรงหน้าเรามีคนระดับภัยพิบัติยืนอยู่จริง ๆ เราคงป้องกันตัวได้ไม่ถึงหนึ่งยกด้วยซ้ำ เพราะเราอาจจะไม่มีโอกาสได้หามาตรการป้องกันจากการโจมตีระดับภัยพิบัติได้เลย…ในทางตรงกันข้าม ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับภัยพิบัติสามารถฆ่าเราได้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว เพราะเราทำได้แค่มองทะลุ แต่ไม่สามารถป้องกันได้

แต่ถ้าเราสามารถใช้งานพวกมันได้ หรือแม้กระทั่งแยกโครงสร้างของอีเธอร์ได้ล่ะ?

ถ้าเป็นแบบนั้น การโจมตีระดับภัยพิบัติก็จะสลายไปได้เหมือนกัน!

อย่างนี้นี่เอง นี่แหละคือพลังที่แท้จริง

เมลิสซ่าครุ่นคิด ดวงตาของเธอฉายประกายตื่นเต้นแทบลิงโลด

เธอดูซูบซีดไปมาก ใต้ตาของเธอมีปื้นดำ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังตื่นเต้น

นับแต่ตอนที่เธอได้รับหนังสือ ‘กุญแจสู่ประตู : พื้นฐานแห่งปัญญาและสัญลักษณ์’ จากร้านหนังสือมา เวลาก็ผ่านไปสามเดือนเต็ม ๆ แล้ว แต่จนตอนนี้เธอก็ทำความเข้าใจมันได้เพียงเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้ แต่ละครั้งที่เธออ่านหนังสือเล่มนี้ เธอจะตกสู่สภาวะไร้สมาธิจนเป็นลมทุกครั้งไป

แม้ว่าเธอจะตั้งใจเรียนจริง ๆ ก็ตาม แต่สิ่งที่เธอได้รับมันไร้ประสิทธิภาพพอ ๆ กับนักเรียนประถมที่โดนบังคับยัดเยียดความรู้ ด้วยระดับก่อนหน้านี้ของเธอเข้าใจหนังสือเล่มนี้ไม่ถึงหนึ่งในหมื่นด้วยซ้ำ

ไม่ใช่ว่าเธอใฝ่หาความรู้พวกนั้นหรอก แต่เป็นความรู้พวกนั้นต่างหากที่กลืนกินเธอเข้าไป

ยิ่งเธอไม่เข้าใจมันเท่าไหร่ ก็ยิ่งค้นคว้าอย่างจริงจังขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่อ่านมันต่อไป…แต่ร่างกายของเธอสนับสนุนสปิริตนักเรียนของเธอไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้นในการอ่านแต่ละครั้งของเธอจึงต้องพึ่งพลังจากภายนอกเพื่อบรรเทาความอ่อนล้าภายในด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงล้มประดาตายไปแล้ว

จากการเรียนรู้ที่แสนเจ็บปวดนี้ ร่างกายและวิญญาณของเมลิสซ่าก็ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ความแข็งแกร่งของเธอพัฒนาอย่างก้าวกระโดดขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของระดับสัตว์ประหลาดแล้ว

เนื่องจากมาตรการของหอพิธีกรรมต้องห้ามที่มีต่อร้านหนังสือยังไม่แน่ชัด เธอจึงตั้งใจปกปิดความแข็งแกร่งของเธอเอาไว้ และมีเพียงน้อยคนที่รู้เรื่องนี้…

จากนี้ก็ไม่ต้องซ่อนตัวแล้ว จากที่พ่อว่า หอพิธีกรรมต้องห้ามจะเอนเอียงไปพึ่งพาร้านหนังสืออย่างสมบูรณ์ การประจบเจ้าของร้านหลินก็กลายเป็นกลยุทธ์เดียวและเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง…

ถึงแม้ว่าคำสั่งจากสภาผู้อาวุโสคงไม่ระบุส่งเดชว่าให้ ‘ประจบเจ้าของร้านหลิน’ อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้หยุดเมลิสซ่าไม่ให้เข้าใจมัน

เมลิสซ่าหัวเราะดังฮี่ ๆ

บุคคลที่เคยมีการติดต่อกับร้านหนังสือมาก่อนอย่างโจเซฟ เมลิสซ่า และแคโรไลน์ก็ย่อมกลายเป็นแกนนำหลักในการกระทำต่อ ๆ ไปของหอพิธีกรรมต้องห้ามอย่างแน่นอน

หรือก็คือ คนที่ตั้งตัวเป็นอริของโจเซฟได้กลายเป็นอริของสภาผู้อาวุโสไปด้วยแล้ว

เจ้าพวกนั้นหาเรื่องฆ่าตัวตายเองนะ!

เมลิสซ่าคิด ก่อนที่จะลุกขึ้นคว้าหนังสือไว้ในมือ

ที่นี่เป็นห้องขังเดี่ยวของหอพิธีกรรมต้องห้ามซึ่งสูงแค่พอ ๆ กับตัวคนและมีขนาดพื้นที่หนึ่งตารางเมตร มีเฟอร์นิเจอร์อยู่เพียงสองอย่างคือโต๊ะและเก้าอี้ที่แคบสุด ๆ

ในระหว่างการถูกกักบริเวณจะมีช่วงเวลาที่สามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ทั้งหมดสามชั่วโมงต่อวันคือระหว่างเวลาอาหารสามมื้อ นอกจากนี้ผู้ถูกขังจะสามารถนำสิ่งของอื่น ๆ เช่น หนังสือหรือรูบิคเข้าไปในห้องขังได้เพื่อเลี่ยงการเกิดปัญหาจิตเวช เพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็คือการกักขังให้ไตร่ตรอง ไม่ใช่การทรมานจิตใจใคร

แต่เดิมแล้วเมลิสซ่าก็ถูกกักบริเวณอยู่บ่อยครั้ง ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติของหอพิธีกรรมต้องห้ามไม่ใช่คนทั่วไป แค่ถูกขังสามวันเจ็ดวันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเกิดแผลใจใด ๆ หรอก

นี่คือวันสุดท้ายที่เธอจะถูกกักตัวแล้ว…

ทันทีที่เมลิสซ่ายืนขึ้น ผนังด้านหลังเธอก็มีประตูบานหนึ่งปรากฏขึ้น แล้วเปิดออกช้า ๆ

ครูฝึกคนหนึ่งของเธอในหน่วยรบยืนอยู่ที่ทางเข้าอย่างไร้อารมณ์ แล้วยื่นเอกสารให้เธอหนึ่งซอง

“เมลิสซ่า การกักตัวของคุณจบแล้ว รับภารกิจใหม่ไปซะ”

เมลิสซ่ารับซองแล้วหยิบเอกสารออกมาดู จากนั้นเธอก็ขมวดคิ้ว “ปิดล้อมที่มั่นลัทธิกลืนศพในซอยหกสิบเจ็ด…”