บทที่ 279 การเปลี่ยนแปลง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 279 การเปลี่ยนแปลง

บทที่ 279 การเปลี่ยนแปลง

สองสามีภรรยาต้องคุยกัน ถ้ามีเรื่องในใจ ชีวิตนี้คงแก้ไม่ตก

หม่านซิ่วเดินนำหน้าเงียบ ๆ ด้านหลังมีเฉินจื่ออันอุ้มลูกชายแล้วตามมาอย่างกระวนกระวาย

หม่านซิ่วไม่ได้พูด แต่เขาจะไม่พูดก็ไม่ได้

“ซิ่วเอ๋อร์ เรื่องของฉันมันไม่ใช่แบบนั้นนะ ฉันไม่ควร…”

เขาไม่ควรอะไรล่ะ?

เหมือนว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนี่นา

หัวหน้าเฉินที่คิดว่าตนมีอำนาจทุกอย่าง แต่กลับไม่สามารถหาคำมาอธิบายความผิดพลาดของตนเองได้

หม่านซิ่วที่อยู่ด้านหน้าไม่ได้ยินคำพูดสักที เธอจึงหันกลับไปมอง แต่ก็เห็นสองพ่อลูกได้แต่มองหน้ากัน

ท่าทางที่เฉินจื่ออันมองลูกชายราวกับต้องการถามว่าพ่อควรทำอย่างไรดี

ท่าทางเลิ่กลั่กนั้นทำให้ซูหม่านซิ่วหัวเราะออกมา

“วันนี้ฉันเองก็ผิดเหมือนกัน ฉันควรเชื่อใจคุณให้คุณมากกว่านี้” ซูหม่านซิ่วคลี่ยิ้ม

ตอนนั้นเองที่เฉินจื่ออันคิดว่าภรรยาของเขาแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ และความขี้ขลาดที่เคยมีเหมือนจะทิ้งเธอไปแล้ว

เป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งมั่นใจในตัวเอง!

เช้าวันรุ่งขึ้น เสี่ยวเถียนและพี่ ๆ ต่างไปโรงเรียน ตอนที่เดินผ่านบ้านเฉินจื่ออัน อีกฝ่ายกำลังออกไปทำงานพอดี

ซูหม่านซิ่วออกมาส่งสามีไปทำงาน ความสัมพันธ์ทั้งสองหวานชื่นปานน้ำผึ้งเดือนห้า

เสี่ยวเถียนรู้สึกโล่งใจ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้ทั้งสองหย่ากัน และความสัมพันธ์ยังดีเหมือนเดิมด้วย

แบบนี้เธอก็สามารถวางใจได้แล้ว

ทว่าสิ่งที่คิดว่าน่าจะจบแล้วกลับยังไม่จบ

ตอนกลับถึงบ้านในตอนเที่ยง เธอได้ยินว่าเหยียนชุนนีไปที่สำนักงานกรรมการของอำเภอจริง ๆ และคุกเข่าขอร้องให้ทางผู้อาวุโสจัดการเรื่องนี้

เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้งในทันที บางคนที่ไม่ชอบเฉินจื่ออันก็ถือโอกาสจะจับตัวเพื่อหาทางจัดการกับเขา

เสี่ยวเถียนถามอย่างร้อนรน “แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ?”

ไม่ใช่แค่ยุคนี้นะ ในยุคหลัง ๆ การที่ชายหญิงมีความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวเป็นข้อห้ามสำหรับข้าราชการเลย

ถ้าอาเขยมีชื่อเสียเรื่องทิ้งลูกทิ้งเมีย ชีวิตคงพังพินาศ

ขนาดเป็นโทษเบาด้วยนะ บางทีอาจติดคุก โดนปลดออกจากตำแหน่งอะไรแบบนี้ ยิ่งให้เกิดขึ้นไม่ได้เลย

ถึงความทรงจำในชาติก่อน เฉินจื่ออันจะมีอนาคตที่ดีก็ตามเถอะ

แต่หลายอย่างในชีวิตนี้เปลี่ยนไปเยอะมาก และเสี่ยวเถียนไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องนี้จะเปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่า

คุณย่าซูเอ่ย “พออาใหญ่ของหลานรู้ข่าวก็รีบไปที่สำนักงานกรรมการเลย”

อาใหญ่ไปสำนักงานกรรมการ?

ไปทำอะไรเนี่ย?

หญิงชราตอบอย่างรวดเร็ว

“หลังจากที่อาใหญ่ของหลานไป เธอไม่แสดงความเมตตาเลย พูดฉอด ๆ จนผู้หญิงคนนั้นพูดไม่ออก แถมไม่ให้มาเป็นเมียน้อยอะไรแบบนั้น”

ตอนคุณย่าซูพูด แกภาคภูมิใจมาก!

เสี่ยวเถียนคิดว่า คงเพราะอาใหญ่เหมือนกับตัวแกเองนั่นแหละ

แต่อาใหญ่จะแข็งแกร่งเหมือนคุณย่าจริงหรือ?

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้!

เสี่ยวเถียนมองหญิงชราด้วยความไม่เชื่อ

จะเป็นไปได้อย่างไร?

อาใหญ่ไม่ใช่คนนิสัยแบบนั้น เธอเป็นคนหัวอ่อนแต่ไหนแต่ไร

แต่ไม่ว่าจะอ่อนแออย่างไร ถึงจะจนมุมก็ยังหาทางรอดได้!

โอ๊ะ! ไม่สิ โอ้! ต้องบอกว่ากระต่ายร้อนรนจนพุ่งเข้ากัด*[1]

แต่อยากเห็นอาใหญ่สู้กับคนอื่นจริง ๆ เลยนะ

เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าตนพลาดการแสดงอันยิ่งใหญ่เสียแล้ว!

ตกเย็น เธอเห็นหม่านซิ่วกลับมาด้วยท่าทีเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และความมั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เธอรู้ได้ทันทีว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงกับอาใหญ่แล้ว

ใช่แล้ว เธอคิดว่าหม่านซิ่วได้เปลี่ยนไปแล้ว

ดีจริง ๆ!

ละครบ้านเฉินจื่ออัน เสี่ยวเถียนดันพลาด แต่ละครที่โรงเรียน เสี่ยวเถียนกลับไม่พลาด

ถ้าจะบอกว่าภาพลักษณ์ของโรงเรียนไหนดีที่สุด ก็ต้องบอกว่าโรงเรียนที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นที่รู้จักมาก่อน

นับเป็นครั้งแรกหลังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยกลับมาอีกครั้ง โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของอำเภอมีผลการเรียนที่ดีที่สุดในประวัติการณ์ ผู้นำทุกระดับต่างยกย่องและมอบรางวัลให้ทีละคนเลยทีเดียว

ครูใหญ่กัวมีความสุขมากจนยิ้มไม่หุบ

แต่ปัญหาที่ตามมาก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน

ผู้ปกครองหลายบ้านเชื่อในศักยภาพการสอนของโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของอำเภอ พวกเขาจึงหมายปองโรงเรียนแห่งนี้เอาไว้

มีนักเรียนจากหลากหลายเมือง แม้แต่ตัวเมืองจังหวัดก็ยังย้ายมาที่นี่

เป็นผลให้โรงเรียนแห่งนี้เป็นกระแสพุ่งขึ้นสูง

ท่ามกลางนักเรียนที่ตั้งใจเล่าเรียน ผู้ปกครองที่โอบกอดความหวังอันริบหรี่ หวังว่าโรงเรียนน่าไว้วางใจแห่งนี้จะสามารถเปลี่ยนลูกหลานและบังคับให้พวกเขาเข้าเรียนได้

แต่พวกเขาไม่รู้ว่าทองคำย่อมส่องแสงเสมอ และหินที่ยังไม่แกะสลัก*[2] ย่อมกองอยู่แค่ที่มุมเท่านั้น

ท่ามกลางพวกเขามีนักเรียนที่พื้นเพทางบ้านดีแต่เรียนไม่เก่ง ทว่ากลับเก่งเรื่องต่อสู้และเอาแต่สร้างปัญหา

นักเรียนพวกนี้ถูกทอดทิ้งไว้เป็นจำนวนมากในหลายปีที่ผ่านมา และมักจะสอบเข้าโรงเรียนไม่ได้อยู่แล้ว

เพราะเรียนไม่เข้าใจ สิ่งเดียวที่ทำได้คือสร้างปัญหา

นักเรียนบางคนขู่ว่าจะรุมเหยียบเด็กที่ชอบเรียนหนังสือ

ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังบอกเหตุผลมากมายอีกว่าเรียนหนังสือมันไม่มีประโยชน์

ปกติแล้ว เด็กบ้านซูเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของโรงเรียน

เด็กพวกนี้ได้ยินว่า นักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นพี่ชายพี่สาวของพวกเขา เห็นว่าบ้านนี้เป็นพวกเหม็นโฉ่อันดับเก้า*[3] ด้วย ควรไปเป็นพวกคอกวัวเสีย

เสี่ยวเถียนเรียนอยู่ในห้องด้วยความสบายใจ เธอไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้เลย

เพราะตอนนี้บรรยากาศทั่วไปของโรงเรียนดีขึ้นกว่าเดิมมาก

เพราะพื้นฐานทางบ้านดี ครูก็ไม่กล้าไปแหย่เพราะกลัวจะทำให้โกรธ

เพื่อสร้างชื่อให้กับตัวเอง คนพวกนี้จึงวางแผนระบายความโกรธกับเด็ก ๆ บ้านซู

แต่พวกเขาไม่ได้กำหนดไปที่คนอายุเยอะอย่างเสี่ยวซื่อและเสี่ยวอู่ แต่มุ่งเป้าไปที่เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วที่อายุน้อยสุดแทน

เสี่ยวเถียนกับพี่ชายทั้งสองเรียนชั้นเดียวกัน

ตอนที่เด็กพวกนั้นเข้ามา บังเอิญมีเสี่ยวเถียนอยู่ด้วย

ลูกน้องที่แสนภักดีของเสี่ยวเถียนก็อยู่

พอเฝิงเสียงอวี่เห็นคนพวกนี้เข้ามาสร้างปัญหา เขารู้สึกเหมือนเห็นตัวเองที่วอนหาเรื่องในตอนนั้น

เขายังมีลางสังหรณ์ว่า เสี่ยวเถียนจะกำจัดเด็กเหลือขอพวกนี้ได้ด้วยตัวเอง

เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วที่กำลังตั้งใจเรียน จู่ ๆ ก็โดนคนมาขวางตรงที่นั่งของตน

“พวกนายจะทำอะไร?” เสี่ยวปาลุกขึ้น เพราะอายุยังน้อยเลยตัวเล็กกว่าคนที่มายืนขวางไว้

เด็กชายถามอย่างใจเย็น

“ทำอะไรน่ะหรือ? พวกแกคิดว่าฉันทำอะไรล่ะ?” เด็กหนุ่มที่เป็นผู้นำหยิบหนังสือบนโต๊ะแล้วขว้างลงกับพื้น ทั้งยังเหยียบซ้ำหลาย ๆ ครั้ง

“นายต้องการอะไรกันแน่?” เสี่ยวปาถามด้วยความโกรธ

เด็กบ้านซูชอบเรียนหนังสือ และหวงแหนหนังสือมาก ๆ

คงจะแปลกถ้าเสี่ยวปาจะไม่โกรธเมื่อเห็นหนังสือที่ล้ำค่าของเขาถูกโยนลงบนพื้นแบบนี้

“ไอ้หนู แกก็ดูฉลาดนะ ทิ้ง ๆ หนังสือพวกนี้ไปซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าเหล่าจื่อหยาบคายเลย!”

คนที่เป็นหัวหน้าพูดอย่างชั่วร้าย

อ่านหนังสือหรือ? อ่านหนังสือห่วย ๆ แบบนี้น่ะหรือ? มันทำเสียเวล่ำเวลาตั้งหลายปี ก็เสียต่อไปเสียสิ ยังจะมาเรียนกันอีก!

แต่เสี่ยวปาก็พูดอย่างใจเย็น “แต่ฉันไม่ต้องการ!”

“ไม่ต้องการ?” ชายคนนั้นหัวเราะเยาะ “เหล่าจื่อบอกให้แกทราบ ไม่ได้มาหาคำปรึกษา!”

เด็กชายไม่พูด เอาแต่มองน้องเก้า

คนอื่นไม่เข้าใจความหมายนี้ แต่พี่น้องบ้านซูเข้าใจ

เพราะนี่กำลังถามกันอยู่ว่าอยากสู้เพื่อแก้ปัญหานี้ไหม

เสี่ยวจิ่วมอง ความหมายชัดเจน

“งั้นเรามาสู้กันไหมล่ะ?” เสี่ยวปายิ้ม

ประโยคนี้ทำให้พวกวัยรุ่นหัวเราะลั่น หัวเราะเยาะที่เสี่ยวปาเป็นคนโง่ ไม่ได้ดูขนาดตัวของคู่ต่อสู้เลย ต่อยสองทีไม่มีปัญหาแน่นอน!

“ไอ้หนูเอ๊ย กล้าเหลือเกินนะ!” เด็กหนุ่มว่า “ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าต้วนซิงกั๋วอย่างฉันหรอก”

เสี่ยวเถียนขบริมฝีปาก ชื่อตลกเหลือเกิน หมดหวังที่จะพึ่งพาคนแบบนี้มาสร้างประเทศให้แข็งแกร่งมาก (段兴国 ต้วนซิงกั๋ว – 兴国 แปลว่าสร้างประเทศให้แข็งแกร่ง)

“นายไม่กล้าสู้กับฉันหรือ?” เสี่ยวปายิ้ม ดวงตาเป็นประกาย

ท่าทางแบบนี้ทำให้พวกต้วนซิงกั๋วโกรธจัด

*[1] คนอ่อนแอที่กล้าขัดขืนในยามที่สิ้นหวังจริง ๆ

*[2] คนดื้อรั้น

*[3] ศัพท์ปฏิวัติ เจ้าของที่ดิน คนรวย พวกต่อต้านการปฏิวัติ คนเลว พวกขวาจัด กบฏ คนทรยศ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และปัญญาชน คนเหล่านี้เป็นชนชั้นนอกรีตทางการเมืองภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน