บทที่ 271 ความลังเลของเซียนอาวุโสหยาง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 271 ความลังเลของเซียนอาวุโสหยาง
บทที่ 271 ความลังเลของเซียนอาวุโสหยาง

เซียนอาวุโสหยางปลดปล่อยพลังอย่างไม่แยแส เขาตัดศีรษะของอสูรตรงหน้าอย่างไม่คิดละเว้น

ลำแสงสีทองพันรอบอาวุธปราบมาร มันพุ่งทะยานออกจากปลายหอก ทุบตีร่างกายของเผ่ามารกลายเป็นเนื้อบด ก่อนจะปลดปล่อยพลังเหนือธรรมชาติอีกคราเพื่อระเบิดเศษดินให้กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ฝังศพพวกมัน

แรงระเบิดบดขยี้อสูรใกล้เคียงจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

หลังจากนั้น กองทัพจักรพรรดิเซียนจัดตั้งกองกำลังเพื่อแยกย้ายออกไปไล่ล่า กำจัดอสูรจำนวนมากที่อยู่ใกล้เคียง

เซียนอาวุโสหยางควบคุมกงล้อลำแสงสีทองด้านหลังศีรษะ สังสารวัฏห้าวิถีปรากฏขึ้น ก่อนที่จะกลับสู่ความว่างเปล่า ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเด็ดขาด

“ยึดสถานที่แห่งนี้ไว้ครึ่งชั่วยาม แล้วจึงเดินทางต่อ”

เหล่าเซียนชื่นชอบเสรีภาพ และไม่ชอบการถูกควบคุม ทว่าไม่ได้คัดค้านคำสั่งของเซียนอาวุโสที่เข้มงวดผู้นั้น ทั้งหมดเริ่มเข้าสู่สมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังเหนือธรรมชาติที่ถูกใช้ออกไปในการต่อสู้คราวนี้

พวกเขาไม่เพียงแต่ประพฤติราวกับว่าตนเองได้รับคำสั่ง หรือภารกิจบางอย่างล่วงหน้า แต่ยังกระทำราวกับว่าทั้งหมดคือกองกำลังทหารที่ไม่อาจขัดขืนต่อคำสั่งผู้บังคับบัญชาได้

และมันก็เป็นเช่นนั้น บัดนี้แดนเซียนได้เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ ชีวิตกับความตายของปุถุชนและผู้ฝึกตนอยู่ในเงื้อมมือของจักรพรรดิเซียนสวรรค์ แน่นอนว่าความสำคัญระหว่างพวกเขาทั้งสองฝ่ายนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หลังจากที่กองทัพของเซียนอาวุโสหยางนั่งลงเพื่อปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ เซียนอาวุโสหยางก็นั่งลงด้วยเช่นกัน เขาไม่ได้เข้าสู่สมาธิ หลังจากที่เปิดการใช้งานสังสารวัฏแห่งการเกิดและตาย สังสารวัฏหกวิถีในร่างกายจึงเปลี่ยนพลังวิญญาณที่แท้จริงให้กลายเป็นพลังเซียนอย่างต่อเนื่อง กล่าวโดยรวมว่าเหล่าเซียนไม่มีปัญหาเรื่องขาดแคลนพลังการต่อสู้

เขาหยิบวัตถุสี่เหลี่ยมออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะลูบคลำด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลังเล

แม้ว่าจะสามารถทำพันธสัญญากับสิ่งนี้ได้แล้ว แต่การเปิดใช้งานมันไม่ต่างอะไรจากการวิ่งเข้าหาพยัคฆ์ร้าย หากควบคุมไม่ได้ แม้แต่จักรพรรดิเซียนก็ไม่อาจต้านทานอำนาจของชายผู้นั้นได้

“เซียนอาวุโส…”

ข้าควรมอบให้เขาหรือไม่…

“เซียนอาวุโสหยาง”

เมื่อได้ยินว่ามีผู้เรียกขาน เซียนอาวุโสหยางก็ฟื้นสติกลับมา เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกล่าวถาม

“มีสิ่งใด?”

“พวกเราพร้อมแล้วท่านเซียนอาวุโส”

รองหัวหน้ากองทัพกล่าวรายงาน

“ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยาม พี่น้องทุกคนต่างพักผ่อนเสร็จสิ้น”

“งั้นหรือ?”

เซียนอาวุโสหยางยืนขึ้นและเก็บสิ่งของในมือ ก่อนจะออกคำสั่ง

“จัดกองทัพ และออกเดินทัพ!”

ไป๋ชิวหรานช่วยซูเซียงเสวี่ยจัดการงานน่าเบื่อให้เสร็จสิ้น เขาใช้เวลาอยู่ตรงนี้สักพักใหญ่

มันไม่ง่ายเลย เอกสารทั้งหมดไม่ใช่การต่อสู้ ไม่ว่าหมัดของชายหนุ่มจะเก่งกาจเพียงใด แต่เขาก็ทำได้แค่นั่งลงพร้อมกับเขียนมันอย่างช้า ๆ เท่านั้น

หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ ปรัชญาในการทำงานของไป๋ชิวหรานที่ว่า ‘หากมีความสามารถ ก็จับปลาได้’ ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น

ไป๋ชิวหรานอยู่ที่อวิ๋นโจวกว่าครึ่งเดือน เขาช่วยสำนักเหอฮวนและหอหยกแห่งเซียนตูฟื้นฟูเมืองหลังจากประสบภัยพิบัติ จากนั้นก็ออกเดินทางไปยังหย่งโจวซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพเทพยุทธ์

เผ่ามารบนท้องถนนต่างพ่ายแพ้ราบคาบ เหลือเพียงปลาซิวปลาสร้อยตัวน้อยเท่านั้น สิ่งเหล่านี้จะถูกผู้ฝึกตนจัดการในภายหลัง

หลังจากเดินทางมาสักระยะหนึ่ง เขาจึงสังหารอสูรที่ได้พบพานตลอดเส้นทาง ในที่สุดไป๋ชิวหรานก็มาถึงค่ายกองทัพเทพยุทธ์

ในฐานะที่เป็นสำนักที่มีกองกำลังทหารมากที่สุดในห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรม ค่ายของกองทัพเทพยุทธ์จึงเป็นปราสาทใหญ่ตั้งอยู่ในหุบเขา และไม่มีใครสามารถโจมตีได้

เพียงแต่ว่าปราสาทแห่งนี้เลื่องชื่อว่าไม่เคยแพ้พ่าย แต่กลับถูกเผ่ามารบุกทำลายมาแล้วหนึ่งครั้ง เหล่ามารใช้หมัดทรงพลังเพื่อทำลายค่ายกลป้องกันของปราสาทและประตูเมือง หมัดนั้นทำลายค่ายของกองทัพเทพยุทธ์จนกลายเป็นหุบเหวที่ลึกกว่าร้อยห้าสิบลี้!

ไป๋ชิวหรานมองเห็นรอยขนาดใหญ่นี้ชัดเจน มันคือสัญลักษณ์แห่งความอัปยศและเจ็บปวดของกองทัพเทพยุทธ์ ยามนี้ไม่มีเผ่ามารหลงเหลืออยู่ในเมืองแล้ว และกลุ่มกองทัพเทพยุทธ์ก็กำลังฟื้นฟูค่ายของตนเอง

ไป๋ชิวหรานร่อนลงมาอย่างเงียบเชียบ เขาเดินตรงเข้าไปในกองทัพเทพยุทธ์พร้อมกับมองหาคนรู้จัก อย่างไรแล้วเขาก็ต้องการสอบถามสถานการณ์ของกองทัพเทพยุทธ์ในตอนนี้

ใบหน้าของเหล่าศิษย์ในกองทัพเทพยุทธ์ที่เห็นล้วนอ่อนล้าและโศกเศร้า ในภัยพิบัติร้ายแรงนี้ กองทัพเทพยุทธ์นับว่าเป็นสำนักที่เสียหายอย่างรุนแรงที่สุด หากกองทัพเทพยุทธ์ไม่สามารถฟื้นฟูตนเองได้ เขาเกรงว่าแม้แต่สำนักอันดับหนึ่งจะไม่สามารถทำได้เช่นกัน

หลังจากเดินไปรอบ ๆ ไป๋ชิวหรานยังไม่พบคนคุ้นเคย แต่จู่ ๆ มีหนึ่งคนมาหยุดยืนด้านหลัง

“ผู้อาวุโสไป๋งั้นหรือ?”

ไป๋ชิวหรานหันศีรษะกลับไปมอง ด้านหลังคือสตรีคนหนึ่งสวมชุดเกราะที่แตกหักของตำแหน่งร้อยโทกองทัพเทพยุทธ์ รูปร่างผอมเพรียวและสง่างาม ผมสีดำขลับถูกมัดเป็นหางม้าทรงเสน่ห์ ทว่าใบหน้าสวยงามกลับเหนื่อยล้ายิ่ง

บุคคลนี้คือจั่วเหยียนเฟย เป็นสตรีเหล็กที่แกร่งกล้าในกองทัพเทพยุทธ์

“กลายเป็นแม่นางจั่วเหยียนเฟย”

ไป๋ชิวหรานกล่าวพร้อมประสานมือ

“มิกล้า ท่านคือผู้อาวุโสผู้มีพระคุณของกองทัพเรา”

จั่วเหยียนเฟยส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวต่อ

“ผู้อาวุโสกำลังมองหาผู้ใดอยู่หรือไม่?”

“ใช่ แต่ข้าไม่ได้เจาะจงว่าต้องการพบใคร ข้าแค่ต้องการพบคนรู้จักเพื่อสอบถามข่าว”

ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะกล่าวกับจั่วเหยียนเฟย

“แต่ตอนนี้แม่นางจั่วอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจึงอยากถามว่ากองทัพเซียนเหล่านั้นไปที่ใด?”

“แน่นอน ข้าทราบ”

จั่วเหยียนเฟยพยักหน้าพร้อมกล่าวตอบ

“พวกเขาผ่านเขตแดนตะวันตกและตรงเข้าไปในป่า”

“ทราบหรือไม่ว่าพวกเขามุ่งหน้าไปที่ใด?”

ไป๋ชิวหรานถามอีกครั้ง

เดิมทีเขาถามออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก และไม่ได้คาดหวังว่าจั่วเหยียนเฟยจะสามารถตอบได้

“ข้าทราบ ผู้บัญชาการกองพันรู้สึกว่าผู้บัญชาการกองทัพของเราอาจจะอยู่ในป่า เช่นนั้นจึงส่งหน่วยสอดแนมออกไปค้นหา และขณะที่หน่วยสอดแนมกำลังค้นหา เขาพบว่ากองทัพเซียนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวนัตก”

“ทางตะวันตก… อืม ข้าเข้าใจแล้ว”

ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่า… ผู้บัญชาการจ้าวเทียนจ้งอาจอยู่ในป่างั้นหรือ?”

“เป็นเช่นนั้น”

จั่วเหยียนเฟยพยักหน้าพร้อมอธิบายเรื่องราวให้ไป๋ชิวหรานรับทราบ

เป็นเพราะว่าหลังจากออกจากถ้ำเซียนแล้ว กองทัพเทพยุทธ์กำลังศึกษาวิธีการใช้อวกาศเพื่อทำสงครามข้ามแดน

ในขั้นแรก พวกเขาพัฒนาเครื่องรางเคลื่อนย้ายระยะไกลอย่างรวดเร็วออกมา แต่ตำแหน่งไม่ค่อยถูกต้องนัก เช่นนี้จึงเป็นเพียงการทดลองเท่านั้น

ในมือของจ้าวเทียนจ้งถือเครื่องรางดังกล่าวเอาไว้ ตำแหน่งของเครื่องรางนั้นคือสถานที่ปลอดภัยภายในป่าลึก

เมื่อเผ่ามารบุกกองทัพเทพยุทธ์ จ้าวเทียนจ้งก็อยู่กับเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ และคนอื่น ๆ เช่นกัน ทั้งหมดจึงตัดสินใจเข้าไปหลบภัยในถ้ำเซียน

แต่เป็นเพราะผู้บังคับบัญชาประสาท ซ้ำยังโชคร้าย เขาอยู่ด้านหลังของปลายแถว ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านห้วงมิติ เขาก็ถูกเผ่ามารบุกโจมตีอย่างกะทันหัน เช่นนั้นจึงถูกแยกออกจากกองทัพเทพยุทธ์

จั่วเหยียนเฟยและคนอื่น ๆ คิดว่าผู้บัญชาการกองทัพตายตก หรือถูกเผ่ามารจับกุมตัว แต่ยามนี้เผ่ามารที่อยู่ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินทั้งหมดถูกกองทัพเซียนกวาดล้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครพบเจอจ้าวเทียนจ้ง…

และภายในกองทัพ หินพลังวิญญาณที่เชื่อมกับพลังวิญญาณของจ้าวเทียนจ้งยังคงเปล่งแสงเรืองรอง เช่นนั้นแสดงว่าผู้บัญชาการกองทัพของพวกเขายังมีชีวิตรอด

ดังนั้น ทุกคนในกองทัพเทพยุทธ์จึงคาดเดาว่าจ้าวเทียนจ้งได้ใช้เครื่องรางเคลื่อนย้ายขั้นทดลอง และถูกส่งตัวเข้าไปในป่าลึกแห่งนั้น

“ท่านอาวุโสไป๋จะตามไปหรือไม่?”

หลังจากอธิบายจบ จั่วเหยียนเฟยจึงกล่าวถาม

“อืม”

ไป๋ชิวหรานทราบดีว่านางหมายถึงสิ่งใด และเมื่อเห็นท่าทีกังวลของอีกฝ่าย เขาจึงกล่าวขึ้นว่า

“อย่ากังวล หากข้าพบจ้าวเทียนจ้ง ข้าจะพาเขากลับมา”

“ขอบคุณอาวุโสไป๋”

จั่วเหยียนเฟยโค้งคำนับอย่างจริงใจก่อนจะกล่าวว่า

“ขณะนี้พวกเรากำลังขาดแคลนกำลังพล เราจึงไม่สามารถส่งคนเข้าไปในป่าที่ห่างไกลเพื่อค้นหาผู้บัญชาการกองทัพได้…”