บทที่ 248.1 สิ้นสุด (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 248 สิ้นสุด (1)
ณ ห้องข้างกัน กู้เจียวเพิ่งจะทายาให้เสี่ยวจิ้งคงเสร็จ ที่จริงเสี่ยวจิ้งคงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่จิตใจของเขาถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก

เส้นผมสุดที่รัก จากที่ขึ้นน้อยอยู่แล้ว ตอนนี้หายหมดเกลี้ยงเลย ต่อหน้าคนอื่นเขาไม่กล้าแสดงอาการ แต่พออยู่กับกู้เจียว เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ร่างเล็กได้แต่โอดครวญพลางเอามือกุมหัว

“ผมของข้า…ไม่เหลือแล้ว…”

“เดี๋ยวมันก็งอกใหม่น่า เดี๋ยวกลับไปข้าจะทำงาก้อนให้เจ้ากิน ผมที่งอกใหม่จะได้ดกดำเงางามอย่างไรเล่า”

“ฮือ” เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้า

“ยังเจ็บอยู่ไหม” กู้เจียวเอ่ยถามพลางมองไปที่หัวเหม่งๆ ของเขา

จู่ๆ เจ้าตัวเล็กดันใช้แรงกระแทกหัวขนาดนั้น ทำเอาหัวใจเกือบวาย

“เจ็บสิ เป่าให้ข้าหน่อย” เสี่ยวจิ้งคงบ่นพลางอ้อนใส่คนตรงหน้า

กู้เจียวเป่าเข้าไปที่หัวกลมๆ ของเขาเบาๆ

เสี่ยวจิ้งคงเพลิดเพลินกับการซุกหัวในอ้อมแขนของกู้เจียว

กู้เจียวนึกย้อนไปตอนเหตุการณ์ก่อนหน้า

ตอนนั้นเสี่ยวจิ้งคงยังไม่รู้ว่าหมิงเอ๋อร์เข้าใจผิดไป และคิดไปว่าตัวเองเป็นบุตรของอวี้ชินอ๋องเฟยจริงๆ เสี่ยวจิ้งคงเลยพูดเอ่ยกับอวี้ชินอ๋องเฟยไปว่า “ข้าต้องขอโทษด้วย แม้ท่านจะเป็นแม่แท้ๆ ของข้า แต่ข้ามิอาจกลับไปกับท่านได้ เพราะข้าอยากอยู่กับเจียวเจียว นางดูแลข้ามาตลอด ข้าอยากอยู่ดูแลนางด้วยเหมือนกัน”

สรุปใครช่วยใครไว้กันแน่ล่ะเนี่ย

กู้เจียวคิดได้ดังนั้นก็ก้มหน้าแล้วหอมฟอดเข้าไปที่หัวเหม่งของเขา

“เมื่อกี้เจียวเจียวจุ๊บข้าหรือ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยถามอย่างคาดหวัง

“อื้อ ข้าจุ๊บเจ้า” กู้เจียวพยักหน้าให้

เสี่ยวจิ้งคงเขินจนบิดตัวไปมา มือพลางคว้าชายเสื้อของกู้เจียวเอาซุกเข้าไปในอ้อมอกอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ที่ห้องรับแขกในโรงหมอ อวี้ชินอ๋องและเซียวลิ่วหลังกำลังเอ่ยขอบคุณผู้ที่เป็นเสมือนเจ้าชายขี่ม้าขาวในครั้งนี้ นั่นก็คือ หลิ่วอี้เซิง

ตอนที่หมิงเอ๋อร์โดนทุบด้วยท่อนไม้ บังเอิญว่าหลิ่วอี้เซิงอยู่แถวนั้นพอดี แม้เขาจะไม่รู้ว่าหมิงเอ๋อร์เป็นใคร แต่เขารู้ว่าเสี่ยวจิ้งคงเป็นใคร เพราะเขาเคยเห็นเสี่ยวจิ้งคงอยู่ด้วยกันกับกู้เจียว. แน่นอนว่าเรื่องนี้แม้แต่กู้เจียวเองก็ไม่รู้

หลิ่วอี้เซิงไม่ใช่คนประเภทชอบชกต่อย ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะพวกนักเลงต้มตุ๋นได้ แต่ถึงอย่างนั้น หลิ่วอี้เซิงก็คือหลิ่วอี้เซิง

ขอแค่เอ่ยออกไปว่า “หลิ่วอี้เซิงอยู่นี่” คนทั้งเมืองหลวงก็พร้อมจะเข้ามาถีบยอดหน้าเขา

ดังนั้น หลิ่วอี้เซิงจึงชี้ไปทางชายแปลกหน้ากับชายอีกคนที่ชื่อว่าเหลาหลี่ “พวกเขาคือพี่ชายและพี่รองของข้า ขอแค่มีพวกเขาอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ทำร้ายข้าไม่ได้หรอก!”

และแล้วโจรต้มตุ๋นสองคนนั้นก็โดนรุมประชาทัณฑ์

จากนั้น หลิ่วอี้เซิงก็พาเด็กๆ มาที่โรงหมอ

และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ทั้งเซียวลิ่วหลังและอวี้ชินอ๋องต่างก็เคยแค่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหลิ่วอี้้เซิง แต่ยังไม่เคยเจอตัวเป็นๆ พวกเขารู้แค่ว่าหลิ่วอี้เซิงเป็นทายาทของครอบครัวทางฝ่ายแม่ของหลิ่วกุ้ยเฟย

คาดไม่ถึงเลยว่าคนอย่างเขาจะช่วยเด็กสองคนนี้ไว้ได้

“ขอบใจท่านชายหลิ่วเป็นอย่างมาก นี่เป็นของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ จากข้า โปรดรับไว้ด้วย” อวี้ชินอ๋องเอ่ยคำขอบคุณและมอบของให้แก่หลิ่วอี้เซิง

เขารับมันมาอย่างไม่ลังเล เพราะช่วงนี้เขาร้อนเงินเหลือเกิน

อวี้ชินอ๋องพอใจกับท่าทีของเขา เพราะตัวเองก็ไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร

“ได้ยินมาว่าท่านชายอยู่ในเมืองนี้ด้วยความอัตคัด เลยอยากถามว่าท่านชายยินดีจะย้ายมาอยู่ที่แคว้นเหลียงหรือไม่” อวี้ชินอ๋องเอ่ยถาม

ก่อนหน้านี้ ตระกูลหลิ่วเคยเกี่ยวข้องกับแคว้นเฉิน แม้หลิ่วอี้เซิงกับแคว้นเหลียงจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการเมืองที่เปราะบางก็ตาม แต่ต่อให้มีจริงๆ อย่างไรเสียอวี้ชินอ๋องก็จัดการได้อย่างสบายๆ แค่คุ้มกันหลิ่วอี้เซิงคนเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขา

แต่หลิ่วอี้เซิงตอบกลับตอบไปว่า “ขอบพระทัยน้ำใจของท่านอ๋องเป็นอย่างยิ่ง…แต่บัดนี้ข้ายัง ไม่อยากออกไปจากที่นี่ขอรับ”

หลิ่วอี้เซิงเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ซึ่งทำให้เขาเหนือกว่าคนอื่นๆ หากเทียบกับคนในรุ่นราวคราวเดียวกัน

อวี้ชินอ๋องไม่ซักถามอะไรต่อ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าที่แห่งนี้ยังมีอะไรให้ต้องอาลัยอาวรณ์อีก ก่อนจะเอ่ยขอบคุณแล้วขอตัวออกไปเยี่ยมหมิงเอ๋อร์ที่ห้องผู้ป่วย

เหลือแค่เซียวลิ่วหลังและหลิ่วอี้เซิงสองคนในห้อง

เซียวลิ่วหลังเองก็แสดงความขอบคุณให้เขา และมอบเงินขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาได้มาจากการสอนหนังสือและทำการบ้านให้คนอื่นๆ

นอกจากนี้เขายังเตรียมหนังสือที่ตาเฒ่าเฟิงเคยทิ้งไว้ให้เขา เซียวลิ่วหลังมัดรวมทุกอย่างไว้ในกล่องเดียว แล้วยื่นให้หลิ่วอี้เซิง

แต่ผิดคาด หลิ่วอี้เซิงไม่ยอมรับของขวัญจากเขา

“เพราะเหตุใดหรือ” เซียวลิ่วหลังทำหน้าไม่เข้าใจ

หลิ่วอี้เซิงมองหน้าเขา “หมอกู้เป็นคนรักษาข้าให้หายดี แถมนางยังไม่คิดค่ารักษาอีกด้วย ข้าเป็นหนี้บุญคุณนาง ดังนั้น ข้าขอไม่รับของจากเจ้านะ ”

เซียวลิ่วหลังได้ยินดังนั้นก็เริ่มเอะใจและสำรวจชายตรงหน้าหัวจรดเท้า เจ้านี่ ถ้าไม่นับว่าหน้าซีดเป็นไก่ต้มแล้วล่ะก็ เขามีคิ้วที่ชัดเจน ริมฝีปากสีแดงและฟันขาว รวมๆ แล้วก็จัดอยู่ในลักษณะของคนที่ดูดีนั่นแหละ

ให้ตายสิ นอกจากอันจวิ้นอ๋องแล้ว ยังมีหลิ่วอี้เซิงโผล่มาให้กวนใจอีกหรือนี่

นัยน์ตาเซียวลิ่วหลังเริ่มแข็งกร้าว!

หลิ่วอี้เซิง “…”

อาการบาดเจ็บของหมิงเอ๋อร์นับว่ารุนแรงไม่น้อยเลยทีเดียว โชคยังดีที่กระดูกสันหลังของเขาไม่หัก ที่แย่ก็คือม้ามของเขาเกิดแตกขึ้นมา

หลังจากที่เสี่ยวจิ้งคงผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของกู้เจียว พอเห็นดังนั้น กู้เจียวก็ค่อยๆ วางร่างของเสี่ยวจิ้งคงลงบนเตียง ก่อนจะห่มผ้าให้. จากนั้นจึงเดินไปที่ห้องของหมิงเอ๋อร์เพื่อที่จะดูอาการ

หมิงเอ๋อร์เองก็หลับแล้วเช่นกัน

อวี้ชินอ๋องเฟยร้องไห้จนตาแดงบวม นับตั้งแต่หมิงเอ๋อร์บอกกับนางว่าไปตามตัวน้องชายกลับมาได้แล้ว อวี้ชินอ๋องเฟยก็ปล่อยโฮไม่หยุด

ทั้งปวดใจ ทั้งรู้สึกผิด แต่ก็มีความรักและความอบอุ่นอยู่ในอารมณ์เหล่านั้นด้วยเช่นกัน

ความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกของนางดูเหมือนจะไม่สำคัญอีกต่อไป เมื่อมองดูเด็กน้อยตรงหน้าที่เกือบจะเสียชีวิตเพื่อนาง นางก็รู้สึกว่าการได้เป็นแม่ของเขานับว่าเป็นเกียรติที่สุดในชีวิตของนาง

“แม่นางกู้ ครั้งนี้ข้าขอขอบใจเจ้ามาก…ขอบใจที่เจ้าช่วยหมิงเอ๋อร์ไว้ได้อีกครั้ง…” อวี้ชินอ๋องเฟยลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยขอบคุณให้กับกู้เจียว

กู้เจียวแสดงท่าที่ประมาณว่าไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น พลางส่ายหัวแล้วยิ้มให้ “ท่านไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก คนที่ช่วยเขาไว้ได้คือท่านต่างหาก”

ระหว่างที่กู้เจียวผ่าตัดให้กับหมิงเอ๋อร์ พบว่าเขาเสียเลือดมาก ต้องการเลือดโดยด่วน

ซ้ำร้าย เลือดของหมิงเอ๋อร์คือเป็นเลือดชนิดหายาก ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครมีเลือดที่เข้ากันกับของเขาได้เลย ยกเว้นอวี้ชินอ๋องเฟยแต่เพียงผู้เดียว

อวี้ชินอ๋องเฟยต่างหากที่มอบชีวิตให้กับหมิงเอ๋อร์

กู้เจียวเอ่ยอย่างจริงจัง “นับแต่นี้เป็นต้นไป เลือดของท่านจะไหลเวียนอยู่ในร่างของเขา”

อวี้ชินอ๋องเฟยพยักหน้าพร้อมกับสะอื้น ก่อนจะโน้มตัวเอาหน้าผากของตัวเองแตะเข้าไปที่หน้าผากของหมิงเอ๋อร์

ต่อให้ไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น อย่างไรหมิงเอ๋อร์ก็เป็นลูกของนางตลอดไป

หมิงเอ๋อร์รักษาตัวอยู่ที่เรือนเล็กของกู้เจียว

พอเสี่ยวจิ้งคงเลิกเรียน ก็รีบมาที่โรงหมอเพื่อดูแลหมิงเอ๋อร์ หลังจากผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน ทั้งสองจึงกลายเป็นพี่น้องกันไปแล้วจริงๆ

แม้เสี่ยวจิ้งคงจะรู้ความจริงแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นน้องชายแท้ๆ ของหมิงเอ๋อร์ แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคของมิตรภาพระหว่างพวกเขาทั้งสอง

หมิงเอ๋อร์เรียนรู้ภาษาแคว้นเจาได้ดี ในขณะที่เสี่ยวจิ้งคงยังต้องเรียนรู้ภาษาแคว้นเหลียงอีกมาก หมิงเอ๋อร์จึงรับหน้าที่เป็นครูสอนเสริมให้เขา

พอมีแวดล้อมภาษา เสี่ยวจิ้งคงก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

วันนี้เสี่ยวจิ้งคงพาหมิงเอ๋อร์ออกมาเดินรับแสงแดด

จู่ๆ หมิงเอ๋อร์ก็เอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคง “โตขึ้นข้าอยากเป็นทหาร แล้วเจ้าล่ะอยากเป็นอะไร”

เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยท่าทีเครงขรึม “ข้าอยากเรียนหนังสือจนกลายเป็นนักปราชญ์!”

หมิงเอ๋อร์ทำหน้าผิดหวัง “ถ้าเจ้าเป็นทหารก็ดีสิ หากวันใดเกิดทั้งสองแคว้นทำสงครามกัน ข้าจะสั่งถอยทัพไปประมาณสามร้อยลี้”

เสี่ยวจิ้งคงโดนโน้มน้าวสำเร็จ ก่อนจะมโนภาพว่าตัวเองได้เป็นทหาร “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไม่สั่งฆ่าทหารของเจ้า!”

ชั่วพริบตาเดียวผ่านไปก็เข้าเดือนสี่แล้ว อาการบาดเจ็บของหมิงเอ๋อร์เริ่มดีขึ้น การเจรจาของทั้งสองแคว้นจึงได้ดำเนินต่อ

แม้อวี้ชินอ๋องตัดเรื่องเสี่ยวจิ้งคงออกไปในเงื่อนไขได้แล้ว กระนั้น เขาก็มิได้ตัดเรื่องว่าจะมอบเครื่องหลอมเหล็กออกไปแต่อย่างใด ยังคงอยู่ในข้อตกลง

ส่วนเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายมองว่าไม่ธรรมนั้น คงไม่มีพื้นที่จะให้ประนีประนอมกันต่อแล้ว น้ำใจส่วนน้ำใจ การเมืองส่วนการเมือง เรื่องส่วนตัวคือเรื่องส่วนตัว ไม่ควรโยงกับงานของราชสำนัก

อวี้ชินอ๋องถือว่าเป็นนักการปกครองที่โดดเด่น เขาไม่ใช่คนหัวร้อนทำอะไรหุนหันพลันแล่น การที่เขายื่นข้อเสนอเรื่องเครื่องหลอมกระจกนั้นก็นับว่าเป็นการประนีประนอมขั้นสุดของเขาแล้ว แม้กลับไปจะต้องถูกท่านเจ้าแคว้นต่อว่าก็ตาม

ว่ากันตามจริงแล้ว ฮ่องเต้เองก็ประหลาดใจไม่น้อยกับข้อสรุปที่ได้ เพราะแต่ไหนแต่ไร แคว้นเหลียงเป็นพวกชอบขูดรีดขูดเนื้อ คราวก่อนที่ไปขอเครื่องระบายน้ำมาก็ต้องแลกกับเขาเหมืองแร่ของแคว้นเจาตั้งสามลูก ครั้งนี้นับว่าพวกเขาเมตตากับแคว้นเจามากแล้ว

ในหกแคว้นทั้งหมด มีแคว้นเยียน แคว้นเหลียงและแคว้นจิ้นที่ถูกจัดอยู่ในแคว้นที่เจริญมั่งคั่ง ส่วนแคว้นเจา แคว้นเฉิน และแคว้นจ้าวถูกจัดอยู่ในแคว้นที่ระดับล่าง ที่จริงแล้วยังมีแคว้นลับอยู่อีกแคว้นหนึ่ง แต่กลับไม่ถูกยอมรับโดยหกแคว้นที่เหลือ

ช่วงปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของแคว้นเฉินและแคว้นจิ้นค่อนข้างดี กับแคว้นอื่นๆ เองก็เช่นกัน ดังนั้น แคว้นเจามิอาจละทิ้งแคว้นเหลียงได้ ไม่อย่างนั้นแคว้นเจาอาจกลายเป็นหมาหัวเน่าไปได้

ต้นเดือนสี่ผ่านไป ภารกิจเจรจาของทูตแคว้นเหลียงก็ได้สิ้นสุดลง

ฮ่องเต้ทรงต้อนรับเหล่าคณะทูตให้พำนักที่ตำหนักจินหลวน จากนั้นพอเสร็จภารกิจ ไท่จื่อและเซวียนผิงโหวก็รับหน้าที่นำส่งคณะทูตกลับแคว้นเหลียง

ก่อนจะเดินทางกลับ หมิงเอ๋อร์มุ่งหน้าไปที่โรงหมอ

แผลของเขาถูกตัดไหมแล้วเรียบร้อย แม้จะยังกระโดดโลดเต้นไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาฟื้นตัวได้เร็ว

เขามาเพื่อที่จะอำลาน้องชายของเขา