บทที่ 248 สิ้นสุด (2)
“ถ้าเจ้ามีโอกาสไปเที่ยวแคว้นเหลียง อย่าลืมมาหาข้าที่จวนอ๋องล่ะ ข้าจะพาเจ้ากินของอร่อย!”
ตั้งแต่ที่หมิงเอ๋อร์รู้ว่าเสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กกินไม่เลือก ก็เลยมองว่าเสี่ยวจิ้งคงเป็นพวกบ้าอาหาร
เสี่ยวจิ้งคงนึกในใจ ที่จริงแล้วคนที่กินไม่เลือกมากที่สุดน่าจะเป็นท่านย่ามากกว่า
“นี่ของเจ้า!” หมิงเอ๋อร์มอบของขวัญให้เสี่ยวจิ้งคง มันคือมีดพกที่หมิงเอ๋อร์รักมากที่สุด
มีดพกนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นมีดพกที่เขาได้เป็นพิธีเลือกของขวัญตอนอายุหนึ่งขวบ คนแคว้นเหลียงให้ความสำคัญกับพิธีเลือกของขวัญของเด็กเป็นอย่างมาก โดยปกติแล้วของที่ได้มาจะไม่มีการส่งต่อให้ใคร
เสี่ยวจิ้งคงไม่เข้าใจว่าจะต้องมีของแบบนี้ไว้ทำไม และไม่รู้ว่าจะใช้มันในตอนไหน
แต่ในเมื่อเป็นของขวัญจากท่านพี่หมิงเอ๋อร์ เสี่ยวจิ้งคงจึงรับมาด้วยความดีใจ และเขาเองก็มีของจะมอบให้กับหมิงเอ๋อร์เช่นกัน
เพื่อไม่ให้หมิงเอ๋อร์ต้องเจอแบบที่เขาเจอ เสี่ยวจิ้งคงจึงเปิดกล่องของเขาออก แล้วให้หมิงเอ๋อร์เป็นคนตัดสินใจเลือกของขวัญเอง
“เจ้าชอบอะไรก็เลือกตามสบายเลยนะ!”
ของในนั้นส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่ใช้งานแทบไม่ได้แล้ว แถมยังถูกวางกระจัดกระจายไม่เป็นสัดเป็นส่วน วันก่อนกู้เจียวพยายามมาจัดระเบียบให้แล้ว แต่สุดท้ายก็ถูกเสี่ยวจิ้งคงทำรกเหมือนเดิม สำหรับหมิงเอ๋อร์ที่เคยได้แต่ของสวยๆ งามๆ สภาพดี เขามองว่าของพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับกองขยะ
จู่ๆ เขาเกิดรู้สึกสงสารน้องชายขึ้นมา
พลางนึกว่าเสี่ยวจิ้งคงต้องอยู่อย่างแร้นแค้นมากแน่ๆ คงไม่มีเงินซื้อของเล่นแพงๆ สินะ
ถ้าเขากลับถึงแคว้นแล้ว จะรีบส่งของเล่นที่ดีที่สุดมาให้เขาโดยทันที
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ หมิงเอ๋อร์จึงรีบหยิบกล่องเล็กๆ กล่องนึงขึ้นมาแล้วรีบปิดหีบสมบัติของเสี่ยวจิ้งคงลง
ส่วนของชิ้นอื่นเขาเลือกที่จะไม่หยิบ เพราะมองว่าวันข้างหน้าเสี่ยวจิ้งคงอาจเอามันไปขายเพื่อแลกสตางค์ได้
สักพัก หมิงเอ๋อร์เริ่มรู้สึกว่ามีดพกที่เขาให้นั้นเริ่มน้อยไป ก็เลยหันไปถามขันที “เจ้าพกเงินมาบ้างไหม”
“ขอรับ” ขันทีเอ่ย
“เอามาให้ข้าทั้งหมดเลย!” พอหมิงเอ๋อร์ไถเงินจากขันทีมาได้ ก็เปิดกล่องที่ได้มาเมื่อครู่นี้แล้วหยิบกระดาษสีเหลืองที่อยู่ด้านในออกก่อนจะใส่เงินลงไปแทน แล้วยื่นให้เสี่ยวจิ้งคง
และแล้ว หมิงเอ๋อร์ก็ได้เอ่ยร่ำลาเสี่ยวจิ้งคง
แล้วะเดินทางกลับไปยังแคว้นเหลียง
การมาเยี่ยมของคณะทูตแคว้นหลียงในครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อแคว้นเจา แม้คนทั่วไปจะยังสัมผัสไม่ได้ถึงผลกระทบนั้น และอาจมองว่าเป็นแค่ข่าวที่เอาไว้คุยกันบนโต๊ะอาหาร แต่ในอนาคตอันใกล้ พวกเขาจะต้องรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอน
การสอบชุนเหว่ยฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างก็พูดคุยเกี่ยวกับปัญหาการสอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเทียบกันแล้ว ระบบการสอบของแคว้นเหลียงมีความสมบูรณ์กว่าของแคว้นเจาอย่างมาก เนื่องจากแคว้นเหลียงมีการวัดความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ ไม่เน้นการสอบพวกปากู่เหวิน อีกทั้งให้ความสำคัญกับวิชาคณิตศาสตร์ กฎหมาย เกษตรกรรม และดาราศาสตร์
การได้เรียนวิชาที่หลากหลายส่งผลให้บัณฑิตมีการขยายขีดความสามารถของพวกเขาให้กว้างขึ้น ถ้าเทียบกับชาติก่อนของกู้เจียว คือเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน
แต่แน่นอนว่าคัมภีร์ซื่อชูหวู่จิงยังคงสำคัญที่สุด
ฮ่องเต้ทรงเห็นชอบกับการเรียนการสอนแบบนี้ เพราะพระองค์เองก็มีความสนใจด้านดาราศาสตร์ และมองว่าแคว้นเจาควรจะเรียนรู้จากแคว้นเหลียงไม่มากก็น้อย
แม้ท่านเหล่าโหวจะออกจากราชการแล้ว ก็เลยไม่ต้องทำหน้าที่รับส่งแขกบ้านแขกเมือง และช่วงนี้เขาใช้เวลาพำนักอยู่ที่จวนอย่างเงียบๆ
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นที่เขาดื่มจนเมา พอเริ่มจำความได้แล้วว่าตัวเผลอพูดอะไรออกไปตอนเมา ก็ได้แต่คิดว่าไม่น่าเลย เหตุใดถึงได้ไปสัญญาอะไรแบบนั้นได้นะ
เจ้าเด็กนั่นก็เหมือนกัน ตัวกะเปี๊ยกแค่นั้นแต่นิสัยนักเลงชะมัด
แต่บุรุษเอ่ยแล้วไม่คืนคำ!
ท่านเหล่าโหวจึงตัดสินใจไปหาท่านโหวกู้ที่ห้องของเขา
หลังจากที่ท่านโหวกู้ถูกพ่อบังเกิดกล้าลงโทษอย่างหนักแล้ว ก็เกิดประหลาดใจที่จู่ๆ ท่านเหล่าโหวเดินมาหา
ท่านโหวกู้รีบยกมือทำความเคารพ “ท่านพ่อ!”
“อืม” ท่านเหล่าโหวกระแอมในลำคอ “เป็นอย่างไรบ้าง หายดีแล้วหรือยัง”
นี่ท่านพ่อเป็นห่วงเขาหรือนี่
ท่านโหวกู้เอ่ยด้วยท่าทีมึนงง “ดีขึ้นเยอะแล้ว! ข้าไม่ดีเองที่ปล่อยให้ท่านต้องเป็นห่วง”
ท่านเหล่าโหวนึกในใจ ข้าห่วงเจ้าเสียที่ไหนกัน
“ที่ข้ามานั้น…เพราะมีเรื่องจะบอกเจ้า ข้าน่ะ…หาพ่อใหม่ให้เจ้าได้แล้วล่ะ”
เอ๊ะ
ท่านโหวกู้ไม่เข้าใจ
เดี๋ยวก่อนนะ หาแม่ให้ยังพอว่าไปอย่าง แต่นี่อะไร หมายความว่าอย่างไร!
“ข้าสัญญากับเขาไว้แล้วว่าจะให้เจ้าเรียกเขาว่าพ่อ” ท่านเหล่าโหวพยายามอธิบาย
ซึ่งเขาไม่ได้อธิบายดีเท่าไหร่นักในสายตาของท่านโหวกู้ เหตุใดพวกทหารนี่ช่างไม่มีศิลปะในการพูดเอาเสียเลย ถ้าเป็นจี้จิ่วอาวุโสเฒ่านะ ป่านนี้คงอธิบายเรื่องนี้ได้น่าเข้าใจมากกว่านี้อีก
“ข้าไปทำสาบานพี่น้องเอาไว้กับเขา! ถ้าวัดกันตามรุ่นแล้ว เจ้าก็คือลูกของเขา เจ้าต้องเรียกเขาว่าท่านพ่อ!”
จากนั้นท่านเหล่าโหวก็พาท่านโหวกู้ไปพบกับพี่น้องร่วมสาบานที่ว่า
ตอนอยู่ในโรงประลอง กู้เจียวแนะนำตัวว่ามาจากตระกูลหลี่ แต่ภายหลัง กู้เจียวบอกกับท่านเหล่าโหวไปว่าตัวเองมาจากตระกูลกู้ เพราะนางขี้เกียจปิดบังและไม่อยากให้ความแตก
คนที่มาจากตระกูลกู้มีอยู่ถมเถในเมืองหลวงแห่งนี้ ท่านเหล่าโหวเลยไม่เอะใจอะไร ซ้ำยังมองว่าเป็นพรหมลิขิตเสียอีกที่พวกเขานามสกุลเหมือนกัน
พวกเขาติดต่อกันจากการเจอกันที่โรงบู๊ ท่านเหล่าโหวได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ในโรงบู๊ ใจความว่า พรุ่งนี้ช่วงค่ำเจอกันที่ร้านน้ำชา เขาจะพาลูกชายไม่รักดีของเขามาพบ
กู้เจียวเห็นดังนั้นก็รีบเขียนจดหมายตอบ
ใจความมีแค่คำเดียว ‘ตกลง’
หลังจากเสร็จงานจากโรงหมอ กู้เจียวรีบเปลี่ยนเป็นชุดผู้ชาย และสวมหน้ากากที่เพิ่งขโมยมาจากกู้เฉิงเฟิง มุ่งหน้าไปที่ร้านน้ำชา
วันนี้ล่ะ จะต้องมีคนเรียกพ่อ
กู้เจียวนั่งรอเงียบๆ อยู่ในห้องรับรองของร้านน้ำชา พลางนั่งเขย่าขารอด้วยความตื่นเต้น
ท่านเหล่าโหวเป็นคนตรงต่อเวลา เขาไม่ปล่อยให้กู้เจียวรอนาน
เขาพาท่านโหวกู้เดินขึ้นไปที่ห้องรับรองชั้นสอง
“ท่านชายกู้มารออยู่แล้วขอรับ” บ่าวในร้านเอ่ยทักทาย
“แซ่กู้อย่างนั้นหรือ เดี๋ยวสิท่านพ่อ เพื่อนของท่านพ่อคนนั้นก็มาจากตระกูลกู้ด้วยรึ” ท่านโหวกู้เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล!
“อย่าทำให้เขาเสียหน้าเข้าใจไหม” ท่านเหล่าโหวถลึงตาใส่พลางกัดฟันเอ่ยเตือน
“เข้าใจแล้วน่า ข้าไม่ทำให้เขาเสียหน้าหรอก ก็เขาเป็นถึงขั้นพี่น้องร่วมสาบานของเขาเลยนี่นา” ท่านโหวกู้เอ่ยตอบผู้เป็นบิดาที่เอาแต่เตือนเขาเรื่องนี้มาตลอดทางราวกลับกลัวเขาจะทำเสียเรื่องอย่างไรอย่างนั้น
ท่านพ่อเองก็คิดมากเกินไป เขาเองก็เป็นท่านโหวนะ ผ่านงานสังคมมาตั้งมากตั้งมาย เรื่องแค่นี้เขาไม่มีทางทำเสียหน้าหรอก
ก็แค่ให้เรียกพ่อ แค่นี้เอง
จะพ่อบุญธรรม จะพ่อทูนหัว อย่างไรก็ก็คือพ่อ เขาจะเรียกอย่างไรก็ได้ ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้วนี่!
เอี๊ยด
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ท่านเหล่าโหวเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับท่าทีสดชื่น “น้องรัก พี่มาแล้ว!”
น้องรักอย่างนั้นรึ เหตุใดท่านพ่อถึงเรียกเขาแบบนั้นล่ะ
ท่านโหวกู้นึกว่าชายปริศนาคนนี้จะรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเขา พอมาเจอตัวจริงกลับพบว่าเป็นเด็กหนุ่มหน้าหยก
แถมยังใส่หน้ากากติดขนนกอีกด้วย
ท่านโหวกู้เกิดอาการมึนงง
นี่เขาต้องมาเรียกเจ้าเด็กน้อยนี่ว่า…พ่อ งั้นรึ
กู้เจียวใกล้จะเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ นั่งตัวตรงและเบิกตากว้างจ้องไปที่ท่านโหวกู้
รีบเรียกสิ รีบเรียกสิ รีบเรียกสิ!