บทที่ 249 พาพ่อซวย

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 249 พาพ่อซวย
ท่านโหวกู้จะเรียกเช่นนั้นได้อย่างไร!

เจ้าหนุ่มนี่อายุเท่าไหร่กันเชียว ต่อให้ไม่สวมหน้ากาก แต่แววตาและท่วงท่ากิริยาไปจนถึงรูปร่างก็สามารถบ่งบอกอายุของเขาได้อย่างชัดเจน น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเหยี่ยนเอ๋อร์ด้วยซ้ำ!

แล้วจะให้เขาเรียกอีกฝ่ายว่าพ่อได้อย่างไรกัน!

ท่านพ่อของเขานี่ก็จริงๆ เลยเชียว!

อายุปูนนี้แล้วยังสาบานเป็นพี่น้องกับคนอื่นไปทั่วนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่เหตุใดถึงลากลูกชายตัวเองเข้าไปเกี่ยวด้วยเล่า หรือว่าเขาเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยงจริงๆ เหตุใดถึงมีพ่อที่กลั่นแกลังลูกได้ถึงเพียงนี้

อีกเรื่องหนึ่งที่ท่านโหวกู้ยังไม่รู้ก็คือ เขาไม่ได้มีเพียงพ่อที่กลั่นแกล้งลูกของตัวเอง แต่ยังมีลูกสาวที่พาพ่อซวยอีกคนด้วย!

“เรียกสิ!” ท่านเหล่าโหวตะวาดลั่นเรียกสติ

อันที่จริงเขาก็รู้ว่าตัวเองทำเกินเหตุไปหน่อย มีอย่างที่ไหนถึงให้ลูกตัวเองเรียกพี่น้องว่าพ่อกัน อย่างมากก็เรียกว่าลุง

ทว่าเขานั้นรับปากไปแล้ว คนอย่างเขาเสียเงินไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ เพราะอย่างนั้นครานี้จึงจำใจต้องข่มเหงลูกตัวเอง

“ข้าไม่เรียก!”

ขายขี้หน้านัก!

ท่านโหวกู้เองก็เป็นคนมีเกียรติมีศักดิ์ศรีคนหนึ่ง หากท่านพ่อเขาเสียหน้าไม่ได้ แล้วคนอย่างเขาจะยอมเสียหน้าหรือ

บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าไม่เรียก ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่เรียก!

ท่านเหล่าโหวกลับตัวไม่ได้แล้ว ถึงคราวต้องลงมือลงไม้กับเขาแล้ว

คนเป็นพ่อจะทุบตีลูก ไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมอยู่แล้ว

ท่านโหวกู้หลับตาลง เอาสิ หากท่านจะตีข้า! ท่านก็ตีเลย! หากข้าเรียกว่าคำว่าพ่อออกมาถือว่าข้าแพ้!

กู้เจียวห้ามท่านเหล่าโหวเอาไว้ จากนั้นจึงใช้ดินสอถ่านเขียนบนกระดาษแผ่นน้อย ‘ไม่ เป็น ไร ลูก ชาย ไม่ เชื่อ ฟัง ก็ ค่อย ๆ สอน’

กู้เจียวขีดเขียนต่ออีกสองสามตัวอักษร ก่อนจะยื่นให้ท่านโหวกู้อ่าน ‘มา กิน ข้าว’

ท่านโหวกู้หรี่ตามองลายมือไก่เขี่ยนั่น พลางกระตุกยกมุมปาก ราวกับเข้าใจแล้วว่าท่านพ่อของเขาไปรู้จักคบค้ากับอีกฝ่ายได้อย่างไร

ดูจากลายมืออัปลักษณ์นั่นสิ เหมือนกับเหล่าบุรุษจากตระกูลกู้อย่างพวกเขาไม่มีผิดเพี้ยน!

คนตระกูลกู้ ต่อให้เป็นคนเก่งกาจเช่นกู้ฉังชิง แต่หากหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรเมื่อใด ก็ไม่เคยมีใครอ่านออกสักตัว

เพราะอย่างนั้นท่านพ่อของเขาจึงรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยกับคนผู้นี้ผ่านทางลายมือสินะ

ว่าแต่เขาพูดไม่ได้หรืออย่างไร หรือว่าเป็นเด็กใบ้

ท่านโหวกู้มองอีกฝ่ายหัวจรดเท้า หน้ากากนั้นปกปิดใบหน้าไปกว่าครึ่ง ทว่าดูจากดวงตาและคางกลมมนนั้นคงจะเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง

ช่างน่าเสียดายนัก

ท่านโหวกู้นั่งลงข้างๆ อีกฝ่าย

เพราะสถานะที่แตกต่างออกไป ความรู้สึกของกู้เจียวยามมองท่านโหวกู้จึงเปลี่ยนไปจากเคย นางแสดงท่าทีสนอกสนใจท่านโหวกู้อย่างชัดเจน สายตาที่มองมาที่ท่านโหวกู้นั้นราวกับแววตาของผู้ใหญ่ในครอบครัว

ท่านโหวกู้รู้สึกทะแม่งๆ ขึ้นมา

เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีอย่างเจ้า ใช้แววตาเช่นนั้นมองผู้อื่นจะดีหรือ

ไม่นานอาหารก็ถูกนำขึ้นโต๊ะ

ท่านโหวกู้ประหลาดใจ เอ๊ะ เหตุใดถึงมีแต่ของโปรดเขาทั้งนั้น

ขณะที่ท่านโหวกู้กำลังแเกะเปลืองกุ้งตัวหนึ่ง

กู้เจียวก็เผยแววตาปลื้มอกปลื้มใจแกมชื่นชมออกมา

ท่านโหวกู้ ‘อะไรกัน ข้าแค่แเกะเปลือกกุ้ง ต้องชื่นชมกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้าไม่ได้ปัญญาอ่อนเสียหน่อย!’

จากนั้นกู้เจียวก็เริ่มลงมือกิน

ตลอดทั้งมื้ออาหารกู้เจียวไม่ปริปากพูดแม้สักคำ ทว่าท่านโหวกู้กลับสัมผัสได้ถึงแววตาสื่อความหมายของนางอยู่เสมอ

ดูสิ ดูสิ! เขากินกุ้งล่ะ! เขากินกุ้งเป็นด้วย!

ดูสิ ดูสิ! เขากินปลาล่ะ! เขาเขี่ยก้างออกเป็นด้วย!

ทั้งหมดล้วนแต่เป็นความคิดในหัวที่ท่านโหวกู้ปรุงแต่งขึ้นมาเอง เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาหมายความเช่นนั้น แต่เพราะเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้มองด้วยแววตาสนอกสนใจเพียงนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“เจ้า…เจ้าอยากกินหรือ” ท่านโหวกู้ถือกุ้งที่แกะเปลือกเสร็จแล้วในมือพลางถามกู้เจียว ใช่ว่าเขาอยากจะถาม เพียงถูกสายตาของอีกฝ่ายจ้องมองจะขนลุกเกลียวไปหมดแล้วต่างหาก

กู้เจียวพยักหน้า

ท่านโหวกู้วางกุ้งลงในชามของนาง

กู้เจียวโคลงศีรษะไปมาอย่างชอบใจ

ท่านโหวกู้ราวกับอ่านคำพูดในแววตาของนางออกได้ว่า ‘ไอ้หยา กตัญญูดีแท้!’

ท่านโหวกู้ตื่นตระหนกเพราะความคิดของตนเอง หยุดคิด หยุดคิด! หยุดคิดเดี๋ยวนี้!

ท่านเหล่าโหวบังเอิญเจอเพื่อนเก่า จึงออกไปทักทาย

ภายในห้องจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน

กู้เจียวยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะให้เขาเรียกตัวเองว่าท่านพ่อ นางค่อยๆ ใช้ดินสอถ่านขีดเขียนทีละตัวอักษร ‘หาก เจ้า เรียก พ่อ จะ ให้ อั่ง เปา เจ้า !’

ท่านโหวกู้ที่กำลังเกะเปลือกกุ้งอยู่ “เหอะเหอะ เจ้าเรียกข้าว่าพ่อสิ ข้าจะให้อั่งเปาเจ้า!”

กู้เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเขียนตอบ ‘ให้ เท่า ไหร่’

ท่านโหวกู้ “…”

กู้เจียวเขียนต่อ “ข้า ไม่ ได้ เรียน หนัง สือ รู้ หนัง สือ ไม่ กี่ ตัว คำ นี้ อ่าน ว่า อย่าง ไร หรือ”

ตัวอักษรนั้นโย้เย้ไปมา ท่านโหวกู้พยายามขุดวิชาที่ร่ำเรียนมาทั้งหมดถึงจะพอเดาเค้าโครงตัวอักษรออก เขาขมวดคิ้วมุ่น อ่านออกเสียงอย่างไม่มั่นใจนัก “พอ…”

กู้เจียว “อืม!”

ท่านโหวกู้ “…!”

เจ้าหมอนี่เจ้าเล่ห์นัก!

เดี๋ยวก่อน น้ำเสียงนี้ฟังดูแปลกชอบกล!

เหมือนกับเสียงเด็กสาวไม่มีผิด!

ท่านโหวกกู้ตกตะลึง หันขวับไปมองกู้เจียว

กู้เจียวยกนิ้วขึ้นชนกันแก้เก้อ เมื่อครู่นางตื่นเต้นจนเกินไป ถึงได้เผลอส่งเสียงออกมา

ท่านโหวกู้มาจ้องนางหัวจรดเท้าไม่วางตา “เจ้าคือ…”

กู้เจียวส่ายหน้าอย่างหนักแน่น ‘ข้าไม่ใช่!’

ท่านโหวกู้ลุกยืนขึ้นพรวด ‘เจ้าคือ…’

กู้เจียวปล่อยหมัดน้อยออกไปทันใด

“โอ๊ย” ท่านโหวกู้ถูกชกจนขอบตาเขียวช้ำ เขากุมดวงตาข้างซ้ายของตัวเองเอาไว้

ไม่เหลือเวลาให้ได้ตั้งสติ กู้เจียวก็เผ่นแนบออกจากประตูไป

ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าท่านโหวกู้ถึงจะได้สติกลับมา

แรงหมัดที่แสนคุ้นเคย กระบวนท่าที่แสนคุ้นเคย…

เหตุใดถึงได้เหมือนนางตัวแสบนั่นนัก

แม้ท่านโหวกู้จะไม่มีหลักฐาน แต่เขาก็เดาได้ว่าใต้ผืนฟ้านี้นอกจากนางตัวแสบที่บ้าดีเดือดผู้นั้นแล้ว ย่อมไม่มีทางเป็นผู้ใดไปได้อีก!

เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตนเอง ท่านโหวกู้ไม่สนใจแล้วว่าท่านพ่อของตัวเองจะรับแขกอยู่ที่โรงน้ำชา เขารีบสาวเท้าวิ่งตามออกไป

ร่างกายที่เพิ่งพักฟื้นมาได้ครึ่งเดือนกว่าๆ ของเขา มีหรือจะสู้กับกู้เจียวกับที่ออกกำลังกายทุกวันได้ ไม่นานกู้เจียวคลาดสายตาไป

สัญชาตญาณบอกให้เขาไปยังโรงหมอ ทว่ากู้เจียวไม่อยู่ที่นั่น

ไม่อยู่อย่างนั้นหรือ

ดีมาก!

เขารุดไปยังตรอกปี้สุ่ยในทันที เขาอยากจะรู้นักว่าคราวนี้นางตัวดีจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด!

ประตูเรือนไม่ได้ลงกลอน เขาเดินหอบหายใจถี่รัวเข้าไป ครั้นกำลังจตะโกนเรียกให้นางตัวดีออกมา กลับกลายเป็นว่าหันไปเห็นแม่นางเหยาในชุดกระโปรงแขนกว้างสีเหลืองนวล กำลังนั่งปักผ้าอยู่บนเก้าอี้หน้าเรือน

หลายวันไม่ได้พบหน้า ใบหน้าของแม่นางเหยาดูอิ่มเอิบขึ้นมาก ดวงหน้าขึ้นสีระเรื่อ จะบอกว่าอวบอัดขึ้นก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าทั้งเนื้อทั้งตัวดูมีน้ำมีนวลขึ้นไม่น้อย

ท่านโหวกู้ชะงักไปในทันใด

แม่นมฝางสังเกตเห็นเขาก่อน จึงโค้งคำนับให้ “คำนับท่านโหวเจ้าค่ะ!”

แม่นางเหยาค่อยๆ เหลียวมองมา อาจเป็นเพราะอยู่ที่นี่อย่างไร้กังวล รอยขมวดย่นระหว่างคิ้วของนางจึงได้จางหายไป ดวงตาสุกใส ความอบอุ่นของคนเป็นแม่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง

ท่านโหวกู้ไม่เคยเห็นแม่นางเหยาเช่นนี้มาก่อน

แม่นางเหยาวางเข็มและด้ายในมือลง “ท่านโหวมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ”

“ข้า…ข้ามา…มาหาเจ้า” ท่านโหวกู้ก้าวขึ้นหน้าพลางเอ่ย

แม่นางเหยาชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้าง “ท่านโหวกู้นั่งก่อนสิเจ้าคะ”

“ข้าจะไปชงชาสักกาให้ท่านโหวเองเจ้าค่ะ!” แม่นมฝางเอ่ยขึ้นพลางปลีกตัวออกไป

ท่านโหวกู้มองแม่นางเหยา จับจ้องไม่วางตา เขากุมมือแม่นางเหยาเอาไว้ “ช่วงนี้ไม่ได้มาหาเจ้า เป็นความผิดข้าเอง”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” แม่นางเหยาถาม “จิ่นอวี๋สบายดีใช่ไหมเจ้าคะ”

ตั้งแต่แม่นางเหยาย้ายออกมา ก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย ช่วงแรกจิ่นอวี๋ยังแวะเวียนมาหานางบ้าง แต่ช่วงนี้กลับไม่เห็นหน้าเห็นตา

“นางสบายดี แล้วก็คิดถึงอยู่เจ้าไม่น้อย” ท่านโหวกู้พูดจบ สายตาก็หยุดอยู่บนเรือนร่างที่อวบอิ่มขึ้นมาไม่มาน้อยของนาง อยากจะถามว่านางอ้วนขึ้นหรือไม่ ทว่าพอจะเอ่ยปากออกไปก็รู้สึกว่าเป็นคำถามที่หาเรื่องใส่ตัว

เขาเปลี่ยนเรื่องในทันใด “ว่าแต่ เจียวเจียวไม่อยู่ที่เรือนหรือ”

แม่นางเหยาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “นางนอนกลางวันยังไม่ตื่นเลย ท่านมาหานางหรือ”

ท่านโหวกู้บ่นพึมพำ “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ยังนอนกลางวันอยู่อีกรึ”

แม่นางเหยาตอบ “นางนอนดึกนัก มีธุระกับนางหรือเจ้าคะ”

ท่านโหวกู้กระแอมให้โล่งคอก่อนจะส่ายหน้าพลางเอ่ย “เอ่อ…เปล่าหรอก เขาก็แค่…เป็นห่วงนางนิดหน่อย นางอยู่บ้านตลอดทั้งบ่ายเลยหรือ”

แม่นางเหยาพยักหน้า “เจ้าค่ะ วันนี้ที่โรงหมอไม่มีอะไร นางก็อยู่ที่เรือนตลอด”

หรือว่าจะไม่ใช่นางหนูนี่จริงๆ เป็นเขาที่คิดมากไปเองหรอกหรือ

แม่นางเหยาไม่มีทางโกหกเขา ดูท่าแล้วเขาคงคิดมากไปเองจริงๆ

วันสอบระดับเตี้ยนซื่อไปประกาศออกมาแล้ว กำหนดสอบย่อยในวันที่สิบห้าเดือนสี่ ส่วนวันสอบจริงเป็นวันที่สิบเจ็ดเดือนสี่

ที่เรียกว่าสอบย่อยนั้นคือการจำลองสอบระดับเตี้ยนซื่อนั่นเอง วังหลวงเป็นผู้จัดสอบ โดยมุ่งหมายให้ผู้เข้าสอบคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมล่วงหน้า ได้รู้กฎระเบียบยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ เพื่อป้องกันไม่เกิดการเสียกิริยาต่อหน้าฮ่องเต้

การสอบย่อยนั้นไม่คิดคะแนน แต่ไม่ก็อาจสอบแบบขอไปทีได้ เพราะเท่ากับไม่ให้เกียรติผู้คุมสอบ

ช่วงวันที่สิบเอ็ดและสิบสองเดือนสี่สองวันนี้ สนามสอบก้งย่วนจะมอบป้ายประจำตัวและบัตรเชิญเข้าสอบให้กับก้งเซิงที่เข้าสอบชุ่นเหว่ยฤดูใบไม้ผลิทุกคนในรอบนี้

ป้ายประจำตัวใช้ในการเข้าวังหลวง ส่วนบัตรเชิญใช้ในการเข้าสนามสอบ

บัตรเชิญเข้าสอบและป้ายประจำตัวนั้นเจ้าตัวต้องเป็นผู้ไปรับเองที่สนามสอบก้งย่วน

เช้าตรู่วันที่สิบเอ็ด เฝิงหลินและหลินเฉิงเยาก็พากันมาหาเซียวลิ่วหลังที่ตรอกสุ่ยปี้ ทั้งสามพกบัตรประจำตัวก้งซื่อของตัวเองติดตัวไป พร้อมมุ่งหน้าไปยังก้งย่วนเพื่อแลกป้ายประจำตัวและบัตรเชิญเข้าสอบ

บัตรประจำตัวจะถูกเก็บไว้ที่ก้งย่วน หลังจากสอบเสร็จต้องนำป้ายประจำตัวพร้อมทั้งบัตรเข้าสอบมาคืน เพื่อแลกกับบัตรประจำตัวก้งซื่อ

ทั้งสามคนบังเอิญเจอตู้รั่วหานนี่หน้าประตู

ในการสอบระดับฮุ่ยซื่อ เฝิงหลินสอบได้ที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก ส่วนหลินเฉิงเย่สอบได้ที่หนึ่งร้อยยี่สิบสาม ล้วนแต่เป็นลำดับค่อนไปทางท้าย ตู้รั่วหานสอบได้ที่สิบห้าอีกนิดเดียวก็จะติดหนึ่งในสิบแล้ว จึงถือว่าเป็นคู่แข่งที่ทุกคนให้ความสนใจ

เฝิงหลินตบบ่าตู้รั่วหาน “สู้เขานะเสี่ยวตู้จื่อ ตั้งใจสอบระดับเตี้ยนซื่อล่ะ ติดอันดับต้นๆ กับลิ่วหลังให้ได้!”

ตู้รั่วหานส่งเสียงฮึดฮัด “เหตุใดต้องสอบติดพร้อมกับเขาด้วย ข้าติดของข้าเองไม่ได้หรือไร อีกอย่าง พวกเจ้าสองคนนี่อย่างไรกัน ไม่คิดอยากติดอันดับกับเขาบ้างหรือ ”

ตู้รั่วหานนับว่าเป็นคนเก่งระดับแนวหน้าของเมืองหลวง ไม่เช่นนั้นจวงเซี่ยนจือคงไม่ลงทุนลงแรงสอนเสริมให้เขาด้วยตัวเองหรอก เฝิงหลินและหลินเฉิงเย่เป็นคนเก่งที่หัวช้า หากไม่ได้อาจารย์ยอดฝีมืออย่างเซียวลิ่วหลัง พวกเขาทั้งสองคงสอบเป็นบัณฑิตจวี่เหรินไม่ได้ด้วยซ้ำ

ติดอันดับอย่างนั้นหรือ

พวกเขาทั้งสองคนไม่หวังหรอก

ตู้รั่วหานเห็นทั้งสองดูท่าใจไม่สู้แล้วจึงรีบเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ไปต่อแถวกันเถิด! ไม่แน่ว่าพวกเราจะได้อยู่แถวเดียวกัน!”

หากอยู่แถวเดียวกัน แม้จะลอกข้อสอบกันไม่ได้ แต่ท่ามกลางบรรยากาศแปลกที่แปลกทางและแรงกดดันสูงเช่นนี้ อย่างน้อยก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

เซียวลิ่วหลังไม่เอ่ยคำใด พลางเดินไปต่อแถวด้านหลังทั้งสามคนอย่างเงียบๆ

“ลิ่วหลังเจ้าไปอยู่ข้างหน้าสิ!” เฝิงหลินเอ่ย

ตู้รั่วหานเอ่ยเสียงฮึดฮัด “เจ้าก็เอาอกเอาใจเขาอยู่ได้!”

หลินเฉิงเย่เองก็ถอยหลังไปเพื่อสละตำแหน่งให้กับเซียวลิ่วหลัง

ตู้รั่วหานมุมปากกระตุกจนใบหน้าแทบจะเหยเกไปหมดแล้ว

หมายเลขประจำตัวและตำแหน่งที่นั่งในการสอบย่อยนั้นเหมือนกับการสอบระดับเตี้ยนซื่อ

หลังจากทั้งสี่คนรับบัตรเชิญเข้าสอบมาเปิดดู ก็พบว่ามีสองคนที่ได้นั่งติดกันจริงๆ เพียงแต่เป็นตู้รั่วหานกับเซียวลิ่วหลัง