ตอนที่ 273 บัณฑิตน้อยเปี่ยมคุณธรรมและความสามารถ
หลานชายของผู้ใหญ่บ้านฝางแอบมองปราดหนึ่ง จากนั้นก็รีบวิ่งกลับไปพร้อมกลืนน้ำลายแล้วพูดกับคนในครอบครัวว่า “ท่านปู่ขอรับ พวกเขากินข้าวขาวกันด้วย ! ขาวดุจหิมะแถมกลิ่นยังหอมมาก ! ”
เจ้าตัวน้อยก็เพิ่งเคยเห็นข้าวขาวหลังจากที่น้องชายลืมตาดูโลก เพราะหลังจากมารดาให้กำเนิดน้องชายแล้วนางไม่มีน้ำนม คนในบ้านจึงกัดฟันซื้อข้าวขาวมา 1 ชั่งเพื่อต้มเป็นโจ๊กให้ทารกน้อยดื่มทุกวัน มีครั้งหนึ่งน้องชายกินไม่หมด เขาจึงพลอยได้ลาภปากชิมหนึ่งคำ ทันใดนั้นเขาก็คิดว่าข้าวขาวเป็นของอร่อยที่สุดและที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว
น่าเสียดายที่บ้านเลี้ยงน้องชายผู้กินข้าวขาวไม่ไหว จึงมอบทารกน้อยให้คนอื่น…
ผู้ใหญ่บ้านต้าฝางจวงลูบศีรษะเจ้าตัวน้อย “ตระกูลหลินทำกิจการค้าขายเนื้อแผ่นและผลไม้อบแห้งให้แก่ร้านค้าในเขตเริ่นอันจึงได้เงินเยอะพอสมควร การจะกินข้าวขาวก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอันใด บ้านเราเองก็ได้เนื้อมาหลายสิบชั่งไม่ใช่หรือ ? คืนนี้ให้แม่เจ้าทำสักครึ่งชั่ง ให้อาเหมาของเราได้กินสักหน่อย ! ”
เจ้าตัวน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจทันที “ว้าว ! ได้กินเนื้อแล้ว ! ถึงปีใหม่แล้ว ! ”
แม่อาเหมาเหมือนมีบางอย่างจะพูดกับพ่อสามี แต่แล้วนางก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา เนื้อพวกนี้ ไม่ได้บอกว่าจะเก็บไว้กินตอนปีใหม่หรอกหรือ ? ตอนนี้ยังห่างจากสิ้นปีอีกตั้งสองสามเดือน ถ้ากินตอนนี้…มันจะไม่ฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อยหรือ ?
หลังกินข้าวปั้นสองก้อนที่มีขนาดเท่ากำปั้นแล้ว ทั้งสองก็ดื่มน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณสองสามอึกแล้วพักอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนที่หลินเว่ยเว่ยจะถือพลั่วและพาบัณฑิตหนุ่มขึ้นเขาลงห้วยอีกครั้ง
ผู้ใหญ่บ้านต้าฝางจวงและพวกชาวบ้านมองส่งทั้งสองออกจากหมู่บ้าน ต่อจากนั้นก็มีชาวบ้านคนหนึ่งถอนหายใจ “ยอดฝีมือช่างใจกล้าเสียจริง เวลาขึ้นเขานั้นพวกเราแทบแห่กันไปสิบกว่าคน แต่พวกนางไม่พาใครไปด้วยเลย”
“หลินกู่เหนียงก็จริง ๆ เลย จะพาใครไปก็ควรพาคนที่ช่วยงานได้สิ พาบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งไปเพื่อเหตุใดกัน ? ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไม่เข้าใจ ! แค่หลินกู่เหนียงคนเดียวก็จัดการได้แล้ว ยังจะพาคนอื่นไปเพื่อเหตุใดอีก ? เอาไปเป็นตัวถ่วงหรือ ? บัณฑิตเจียงเป็นคู่หมั้นของนาง พาเขาไปก็ยังมีเพื่อนคุย ไม่เหงาหงอย หากไม่พาเขาไปแล้วจะให้พาเจ้าไปแทนหรือ ? หน้าแก่ ๆ ของเจ้า ข้ายังไม่อยากเห็นเลย นับประสาอันใดกับหลินกู่เหนียง ! ”
ผู้ใหญ่บ้านฝางเห็นพวกชาวบ้านเริ่มพูดจาไม่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงรีบขัดบทสนทนาทันที “พอได้แล้ว ! จะไปทำอันใดก็ไปทำ อย่ามาพ่นน้ำลายกันอยู่แถวนี้ หากทำให้หลินกู่เหนียงขุ่นเคืองขึ้นมาอีก พวกเจ้ายังคิดจะขึ้นเขาไปเก็บของป่าอยู่หรือไม่ ? ยังอยากได้ดื่มน้ำอย่างมีความสุขทุกวันหรือเปล่า ? ถ้าไม่มีอันใดทำก็กลับไปเลี้ยงแมวที่บ้านโน้น ! ”
เด็กชายที่เคยได้ดื่มน้ำจากหลินเว่ยเว่ยก็แกว่งมือมารดาไปมาพลางถามว่า “ท่านแม่ขอรับ พี่สาวคนนั้นจะจับหมูป่าจนหมดได้จริงหรือ ? แล้วพวกเรากำลังจะได้กินผักป่าและมีน้ำที่ดื่มไม่หมดจริงหรือขอรับ ? ”
ท่านแม่ของเขาใช้มือที่ผอมแห้งลูบศีรษะบุตรชายและเอ่ยคล้ายให้กำลังใจตนเอง “ใช่ ! วันนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว ! ”
เด็กชายแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตนแล้วฉีกยิ้มอย่างมีความสุข…
“บัณฑิตน้อย เจ้าเหนื่อยหรือไม่ ? ” นี่สามารถกล่าวได้ว่าแถวหมู่บ้านต้าฝางจวงไม่มีหญ้าขึ้นอยู่เลย หรือน่าจะกล่าวได้ว่าหญ้าที่สามารถกินได้จำนวนมากถูกพวกชาวบ้านขุดไปกินยันรากหมดแล้ว แม้แต่เปลือกไม้ก็เหมือนโดนแพะภูเขาแทะ ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ยิ่งคิดว่าการช่วยหมู่บ้านต้าฝางจวงกำจัดหมูป่าในหุบเขาเป็นเรื่องดีสำหรับนางเองและชาวต้าฝางจวง !
เจียงโม่หานสะบัดพัดในมือพร้อมส่ายศีรษะไปมา “อย่าดูถูกข้าเชียว ช่วงครึ่งปีมานี้ข้าขึ้นลงภูเขาบ่อยครั้ง ฝึกร่างกายได้เหมือนกัน ! ”
“ข้าหลงเข้าใจผิดว่าเจ้าทุ่มเทในการศึกษาตำรา ที่ไหนได้ขึ้นเขาเพื่อฝึกฝนร่างกายนี่เอง ! ” หลินเว่ยเว่ยจับก้อนหินขนาดใหญ่แล้วยื่นมือไปทางเขา
เจียงโม่หานก็เอื้อมมือไปจับ ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ออกแรงดึงตัวคนขึ้นไป แล้ว…ก็ไม่ปล่อยมือจากกันอีก เจียงโม่หานก็ไม่มีทีท่าว่าจะชักมือกลับ ตรงกันข้ามยังปล่อยให้นางจับมือ แล้วหนุ่มสาวคู่นี้ก็จับมือกันเดินบนถนนขรุขระของหุบเขา
“ประเดี๋ยวด้านหน้าก็ถึงหุบเขาลูกนั้นแล้ว เจ้าจะรอข้าอยู่ตรงทางเข้าหรือจะเข้าไปกับข้าด้วย ? ” หลินเว่ยเว่ยแกว่งมือน้อย ๆ ของพวกตนไปมา
เจียงโม่หานตอบทันที “เข้าไปด้วยกัน ! ”
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า จากนั้นก็แหวกวัชพืชที่สูงเท่าตัวคนออกเป็นทางสายหนึ่ง แต่นางก็ยังหันกลับมามองบัณฑิตหนุ่มเพื่อบอกให้เขาตามติด พอเดินเข้าไปข้างในไม่ไกลนัก นางก็หยุดเดิน หลังเลือกสถานที่ได้แล้ว นางก็พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มลงมือใช้พลั่วขุดดิน
ส่วนเจียงโม่หานก็ก้มเก็บผลไม้ป่าที่อยู่ใกล้ ๆ ขณะเดียวกันก็เงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวในป่า หลังขุดไปได้พักหนึ่ง หลินเว่ยเว่ยก็หยิบเชือกเส้นหนึ่งออกมาทำเป็นสายบ่วงกับดักแล้ววิ่งไปวางยังจุดที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก “เย็นนี้ข้าไม่อยากกินข้าวปั้นแล้ว หวังว่าจะมีไก่ป่าสักตัวมาติด แล้วข้าจะทำบะหมี่ไก่ให้เจ้ากิน”
ยามเย็นของเดือนสิบเริ่มมีลมหนาวพัดมาแล้ว หากได้กินของร้อน ๆ หน่อย ตอนกลางคืนจะได้นอนหลับสบาย !
“เหตุใดทุกครั้งที่เจ้าวางบ่วงหรือขุดหลุมกับดักจึงมีสัตว์มาติดทุกรอบ ? มีเคล็ดลับอันใดหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยเริ่มพูดจาไร้สาระ “ข้าเป็นเด็กที่เทพเจ้าแห่งขุนเขาเอ็นดู ! ย่อมโชคดีเป็นธรรมดา สัตว์เข้ามาติดกับดัก แล้วข้าจะมีเคล็ดลับอันใดได้ ? ”
“พูดจาเหลวไหล ! ” เจียงโม่หานแย่งพลั่วมาจากมือนางแล้วช่วยขุดได้ประมาณสองสามครั้ง…เฮ้อ งานใช้แรงไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดจริง ๆ เมื่อครู่เขาเห็นเด็กน้อยขุดอย่างสบาย แต่พอเปลี่ยนเป็นตน กลับใช้แรงทั้งตัวเหยียบพลั่วก็ไม่เห็นพลั่วจะจมดินไปสักเท่าไร
หลินเว่ยเว่ยรับพลั่วมาถือพลางกวาดตามองไปรอบร่างกายอันผอมบางของเขา “กินเยอะ ๆ หน่อย ผอมเกินไปแล้ว ! ”
เจียงโม่หานก้มมองตนเอง ก็สมส่วนอยู่นะ หรือว่า… “เจ้าชอบคนอ้วนหรือ ? ”
“ข้าชอบคนที่ภายนอกดูผอมแต่ความจริงมีกล้ามเนื้อ ! ถ้ามีกล้ามหน้าท้องแปดก้อนยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ! ” หลินเว่ยเว่ยกลัวบัณฑิตหนุ่มจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางจึงรีบเอ่ยเสริมอีกประโยค “ที่จริงตอนนี้หุ่นเจ้าก็ดีมากแล้ว เวลายืนอยู่ท่ามกลางสายลมเหมือนดั่งเทพเซียนไม่มีผิด”
“กล้ามหน้าท้องแปดก้อน ? ” บัณฑิตหนุ่มลูบหน้าท้องของตน ทว่าทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงรีบหันไปมองนางอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไปเห็นคนมีกล้ามหน้าท้องแปดก้อนจากที่ใด ? ”
“โทรทัศน์…อ้อ สมุดภาพวาดในร้านค้า ! ” หลินเว่ยเว่ยเกือบจะหลุดพูดภูมิหลังของตนออกมาแล้ว
เจียงโม่หานขมวดคิ้วทันใด “สมุดภาพเช่นนั้น ต่อไปห้ามดูอีก ! ”
“ได้ ! ไม่ดูก็ไม่ดู ! ” เพราะไม่ว่าอย่างไรชาติก่อนนางก็เห็น ‘ซิกแพค’ ของผู้ชายมาไม่น้อย พวกศัลยกรรมหรือคนแต่งหน้าหนา ๆ นางก็เคยเห็นมาหมด สู้มองใบหน้าอันหล่อเหลาที่สวรรค์สร้างมาของบัณฑิตน้อยดีกว่า !
พอขุดหลุมกับดักได้สองหลุม หลินเว่ยเว่ยก็พรมน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณไว้ล่อเหยื่อลงไป เมื่อพรางด้านบนเสร็จแล้ว นางก็เดินไปดูบ่วงกับดักของตน…มีกระต่ายมาติดหนึ่งตัว ไม่มีปลา ไม่มีกุ้ง ไม่มีไก่ป่า เช่นนั้นเย็นนี้ก็ใช้เนื้อกระต่ายตุ๋นกินกับบะหมี่แทนแล้วกัน !
หลินเว่ยเว่ยรับกระบุงสะพายหลังมาจากบัณฑิตน้อยแล้วใส่กระต่ายลงไป จากนั้นก็เอ่ยชมว่า “นี่เพิ่งออกแรงไปไม่เท่าไรก็เก็บผักป่าได้เต็มกระบุงแล้ว บัณฑิตน้อยเปี่ยมคุณธรรมและความสามารถยิ่งนัก ! ”
“ช่วยลบสองคำก่อนหน้าออกไปด้วย ขอบคุณ ! ” เจียงโม่หานล้างมือในลำธาร หลังหยิบพัดออกจากเข็มขัดด้านหลัง แล้วเขาก็เริ่มสะบัดมันไปมา
หลินเว่ยเว่ยมองเขาอย่างขบขัน “บัณฑิตน้อย ฤดูหนาวแล้ว เจ้าก็ยังจะโบกพัดไปมา ไม่กลัวป่วยหรือ ? ”
“นี่เรียกว่าความสง่าและความอดทน เข้าใจหรือไม่ ? ” เจียงโม่หานใช้พัดเคาะหน้าผากนาง ทว่าหลังโดนนางหยอกเย้าแล้ว เขาก็ถือพัดไว้ในมือและไม่กางมันออกมาอีก บัณฑิตน้อยควรเป็นชาวราศีสิงห์แทนที่ราศีพิจิก เพราะเขาทำได้แค่โอ้อวดแต่ไม่เย่อหยิ่ง !