ตอนที่ 313 ลูกผู้ชายตัวจริง!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 313 ลูกผู้ชายตัวจริง!

“เฮ้อ!” ลิ่งหูชิวกอดอกพลางส่ายหน้า มองเขาจากไป

“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” หนิวโหย่วเต้าเองก็เหินทะยานออกไป

ทั้งสองเดินทางกันอย่างเร่งรีบ หลังพ้นจากเขตทะเลสาบส่องนภาแล้วก็มุ่งหน้าไปทางเมืองหลวงต่อ

เมื่อลิ่งหูชิวสังเกตเห็นทิศทางที่มุ่งหน้าไปก็เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “นี่เจ้ากำลังจะไปเมืองหลวงหรือ? ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น พวกเราหลบไปรอดูสถานการณ์ก่อนดีกว่า”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้าข่มขู่เฮ่าอวิ๋นถูไป ข้าก็นึกสงสัยอยู่แต่แรกแล้วว่าเฮ่าอวิ๋นถูคงไม่ปล่อยข้าไปแน่ คุนหลินซู่ผู้นี้ค่อนข้างจองหอง แต่ไหนแต่ไรมาข้ากับเขาไม่เคยมีความแค้นต่อกัน ก่อนหน้านี้เขาอาจจะไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ไม่มีทางมาตามตอแยข้าอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไร้สาเหตุแน่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช่นนี้ นี่จะต้องมีสาเหตุแน่นอน!”

ลิ่งหูชิวแสดงสีหน้าใช้ความคิดเล็กน้อย ใคร่ครวญอยู่สักพักก็เอ่ยถาม “เจ้าสงสัยว่าเป็นอุบายของเฮ่าอวิ๋นถูหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ไม่มีหลักฐานแน่ชัด”

ลิ่งหูชิวถามด้วยความฉงน “เรื่องนี้ยังต้องมีหลักฐานอันใดอีก ในเมื่อเจ้าสงสัยว่าเขาต้องการทำร้ายเจ้า ไยจึงไม่หลบเลี่ยงอีก ยังวิ่งกลับไปที่เมืองหลวงอีกทำไม?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “อยากไปยืนยันหน่อย! ยิ่งไปกว่านั้นคือถึงหนีไปตอนนี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะปลอดภัยเท่าอยู่ในเมืองหลวง!”

ลิ่งหูชิวหันมองรอบข้างทันที ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะถูกคนสะกดรอยตามมา จึงเอ่ยถาม “ไปเมืองหลวงปลอดภัยกว่าหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าไม่ตอบ ตอนนี้เขาไม่สะดวกจะเผยต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวต่อใครหน้าไหนทั้งนั้น

เหตุผลก็เข้าใจได้ไม่ยาก หากฮ่องเต้อยากให้เขาตายจริงๆ ไหนเลยจะปล่อยให้เขาหนีรอดไปภายใต้สายตาของคนมากมายที่จับตามองดูอยู่ได้ เช่นนั้นแผนสำรองที่เขาเหลือทิ้งไว้ในเมืองหลวงอาจจะได้ใช้งานจริงก็ได้ ดังนั้นจึงต้องเร่งเดินทางกลับไปยังเมืองหลวง

เขาต้องกลับไปที่เมืองหลวงเท่านั้น ถึงจะทำให้กองกำลังที่อาจจะดักรอเล่นงานเขาอยู่นอกเมืองเปลี่ยนเป้าหมายหรือล้มเลิกความคิดได้ ถึงจะดึงดูดความสนใจของคนที่เพ่งเล็งหมายหัวเขาให้เข้ามาในเมืองหลวงแทน หากเกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้น เขาจะก่อความวุ่นวายขึ้นในเมืองหลวงทันที และเมื่อถึงเวลานั้นก็จะไม่มีกองกำลังใดดักเล่นงานเขาอยู่นอกเมือง เขาถึงจะมีโอกาสหนีออกจากเมืองหลวงอย่างราบรื่นได้ ส่วนเรื่องที่ว่าจะถูกไล่ล่าสังหารหรือไม่ อันนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องในอนาคตแล้วกัน ค่อยหาทางจัดการไปตามสถานการณ์อีกที

อยู่ทางนี้ ด้านกำลังสู้ใครไม่ได้ ด้านอำนาจก็สู้ใครไม่ได้เช่นกัน ซ้ำยังไม่เข้าใจในอะไรอีกหลายเรื่อง เพิ่งจะมาถึงก็เผชิญเหตุสะเทือนขวัญทุกย่างก้าวแล้ว

สำหรับเขาแล้ว ทุกการตัดสินใจในช่วงเวลานี้ล้วนมีความเสี่ยงทั้งสิ้น เสมือนเริงระบำอยู่บนปลายดาบ เขาไม่มีสิทธิ์ชักช้าโอ้เอ้ หรือลังเลไม่ยอมตัดสินใจ!

….

ภายในวังหลวง ณ ท้องพระโรง เฮ่าอวิ๋นถูนั่งตัวตรงสายตามองไปด้านหน้า สนมงามนางหนึ่งตักน้ำแกงในหม้อใส่ในชามใบหนึ่ง ยกประคองขึ้นมาด้วยสองมือพลางเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “ฝ่าบาท นี่คือน้ำแกงที่หม่อมฉันเพิ่งเคี่ยวมาเพื่อถวายฝ่าบาท ฝ่าบาทลองเสวยดูหน่อยสิเพคะว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ลำบากเจ้าแล้ว” เฮ่าอวิ๋นถูรับไปจิบสองสามคำ จากนั้นพยักหน้าสื่อว่ารสชาติไม่เลว

สนมนางนั้นพลันแย้มยิ้มหวานปานบุปผา เริ่มอธิบายถึงรายละเอียดของน้ำแกงทำนองว่าใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง ใช้เวลาเคี่ยวนานแค่ไหน

ผู้ดูแลหลวงปู้สวินเดินเข้ามา พอเห็นเช่นนั้นก็มิได้เข้าไปรบกวน เพียงยืนรวบมือรออยู่อีกด้านหนึ่ง เมื่อเฮ่าอวิ๋นถูปรายตามองมา เขาก็ค้อมกายให้เล็กน้อยเพื่อส่งสัญญาณ

พอเฮ่าอวิ๋นถูดื่มน้ำแกงหมดถ้วยก็ยื่นถ้วยคืนให้ สนมผู้งดงามรับไป เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากฝ่าบาทพอพระทัยก็เสวยให้มากหน่อยเถิดเพคะ”

“ไม่ต้องแล้ว ข้ายังมีงานต้องสะสางอีก เจ้าออกไปเถอะ” เฮ่าอวิ๋นถูโบกมือพลางเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

รอยยิ้มบนดวงหน้าสนมงามแข็งทื่อไป แต่ก็ยังตอบรับแต่โดยดี จากนั้นรีบเก็บถ้วยชามน้ำแกงกลับเข้ากล่องอาหารอย่างรวดเร็วแล้วหิ้วจากไป

ในเวลานี้ปู้สวินถึงได้เดินเข้ามา ล้วงรายงานลับฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ รายงานว่า “งานประมูลจบลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นไปตามที่ฝ่าบาทคาดการณ์ไว้ คุนหลินซู่ท้าประลองกับหนิวโหย่วเต้าจริงๆ”

เฮ่าอวิ๋นถูร้องโอ้ ถามด้วยรอยยิ้ม “ผลเป็นอย่างไร?”

ปู้สวินตอบว่า “คุนหลินซู่ถูกหนิวโหย่วเต้าทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูแปลกใจ “คุนหลินซู่สู้หนิวโหย่วเต้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

ปู้สวินส่ายหน้า “มิใช่คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต้าเลยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เข้าปะทะกันครั้งเดียวก็ถูกเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัสแล้ว แทบจะตอบโต้หนิวโหย่วเต้ากลับไม่ได้เลย หากมิใช่เพราะคนของสามสำนักออกหน้าขวางหนิวโหย่วเต้าไว้ ชีวิตน้อยๆ ของคุนหลินซู่คงหลุดลอยไปแล้ว ก่อนที่ข่าวจะส่งมาถึง คุนหลินซู่ก็อยู่ระหว่างรับการรักษาอย่างเร่งด่วนแล้วพ่ะย่ะค่ะ บาดเจ็บสาหัสมากจริงๆ”

เรื่องบางอย่างไม่อาจเล่าให้กระจ่างได้ด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค เฮ่าอวิ๋นถูเปิดรายงานลับอ่านอย่างรวดเร็ว อ่านเนื้อหาในรายงานอย่างละเอียด

หลังจากสิ้นสุดงานประมูล คุนหลินซู่ท้าทายเช่นใด หนิวโหย่วเต้าใช้ความอดทนแค่ไหน ภายหลังทั้งสองประมือกันอย่างไร จวบจนคุนหลินซู่ถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสแล้วถูกช่วยไป ทุกเหตุการณ์ถูกบอกเล่าในรายงานลับอย่างละเอียดชัดเจน

หลังจากอ่านจบ เฮ่าอวิ๋นถูพับรายงานลับลง ใคร่ครวญเงียบๆ อยู่พักใหญ่ สุดท้ายถึงจะเอ่ยเนิบๆ ขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ชื่อเสียงเลื่องลือหาใช่เสียงเล่าอ้างไม่ ก่อนหน้านี้ข้าประเมินหนิวโหย่วเต้าผู้นี้ต่ำไปเสียแล้ว”

เขาเปิดรายงานลับอีกครั้ง อ่านดูอีกเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้านิดๆ กล่าวไปว่า “คมในฝัก งำประกายดั่งมังกรซุ่มในหุบเหว แต่พอเคลื่อนไหวก็สำแดงเดชเลือนลั่นสะท้านสะเทือน ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา! รู้เหตุผลมีหลักการ ดำเนินการไปทีละขั้น ไม่ยืดเยื้อเยิ่นเย้อ ยืดได้หดได้ นับเป็นยอดชายชาตรี เป็นลูกผู้ชายตัวจริง!

ในมุมมองของคนอย่างเขา การที่ใครสักคนได้รับความอัปยศ มันไม่ได้ส่งผลอะไรต่อคำวิจารณ์ที่เขาจะมีให้คนคนนั้น เพราะสำหรับเขาแล้ว บนโลกนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยได้รับความอัปยศ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน ในความคิดของเขา คนที่เข้าปะทะกับทุกเรื่องตรงๆ ต่างหากที่เป็นคนโง่

เขาที่อยู่ในจุดสูงสุดย่อมมีวิธีประเมินคนในแบบของเขา

ปู้สวินแย้มยิ้ม เอ่ยถามว่า “กับหนิวโหย่วเต้าผู้นี้ ฝ่าบาททรงวางแผนขั้นต่อไปไว้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”

เฮ่าอวิ๋นถูลดรายงานในมือลง ลุกขึ้นมาพลางเดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะตัวยาว มาหยุดตรงหน้าแผนที่แผ่นใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง เดินไปยังตำแหน่งที่ตั้งของแคว้นเยี่ยน ไล่นิ้วตามหามณฑลหนานโจว สุดท้ายก็จิ้มลงบนตำแหน่งของจังหวัดชิงซาน เอ่ยถามขึ้นมา “ปู้สวิน เจ้าว่าเขามาที่แคว้นฉีของข้าเพื่ออะไร?”

ปู้สวินเดินตามมาหยุดข้างกายเขา “ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาที่นี่ ส่วนใหญ่ล้วนปรารถนาม้าศึกในอาณัติของฝ่าบาททั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ คนของสำนักหยกสวรรค์อันเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญที่สุดของยงผิงจวิ้นอ๋องซางเฉาจงแห่งแคว้นเยี่ยนก็มาเช่นกัน ในปีที่ผ่านมา ซางเฉาจงบริหารจัดการสองจังหวัดนั้นได้น่าสนใจนัก เกรงว่าคงใช้กำลังทรัพย์ไปพอสมควร ถ้าต้องการเอาตัวรอดจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน อาศัยเพียงกำลังทรัพย์เพียงอย่างเดียวคงไม่พอ หากขาดกำลังรบไปก็เป็นเพียงเศษเนื้อบนเขียงเท่านั้น ดังนั้นการเพิ่มพูนกำลังรบน่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด หนิวโหย่วเต้าเองก็น่าจะมาเพื่อม้าศึกเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูทอดสายตามองอาณาเขตแคว้นเยี่ยนทั้งแคว้น กล่าวไปว่า “หากซางเจี้ยนปั๋วยังอยู่ ไม่รู้ว่ากององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญของเขาจะร้ายกาจกว่าหรือว่าทัพม้าองอาจของเราจะร้ายกาจกว่ากันแน่!”

ปู้สวินเอ่ยว่า “ย่อมเป็นฝ่าบาทที่เหนือกว่าพ่ะย่ะค่ะ!”

เฮ่าอวิ๋นถูยิ้มพลางเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยหยอกเย้า “พูดจาประจบประแจงเหลือเกิน ทั้งสองฝ่ายไม่เคยปะทะกันมาก่อน แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ากองทัพของข้าเหนือกว่า?”

ปู้สวินส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบว่า “กระหม่อมมิได้ประจบเอาใจเลยพ่ะย่ะค่ะ กล่าวไปตามความเป็นจริงทั้งสิ้น”

เฮ่าอวิ๋นถูร้องโอ้ สีหน้าเผยให้เห็นถึงความรู้สึกสนใจ “ความจริงใดเล่า? ไหนลองพูดมาซิ ข้าไม่อาจทนเห็นพวกที่ดีแต่รู้จักพูดจาประจบสอพลออยู่รอบตัวได้ หากเจ้าเพียงประจบเอาใจ ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างหนักแน่นอน!”

ปู้สวินค้อมคำนับคราหนึ่ง จากนั้นยืดตัวขึ้นพลางเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “หลักเหตุผลก็ง่ายมากพ่ะย่ะค่ะ ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นมิใช่ซางเจี้ยนปั๋ว และฝ่าบาทก็หาใช่จักรพรรดิซางเจี้ยนสยงแห่งแคว้นเยี่ยนไม่ ซางเจี้ยนสยงไร้ความอดทนต่อคนอื่น ทนเห็นซ่งเจี้ยนปั๋วไม่ได้ พยายามหาวิธีจำกัดทุกทาง เมื่อนายพลนำทัพถูกควบคุมแล้ว กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญจะออกศึกได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? ต่อให้ร้ายกาจขนาดไหนก็ทำได้เพียงป้องกันศัตรูอยู่ในแคว้นเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้ออกมาทำศึกนอกแคว้นแน่นอน”

“หลังจากซางเจี้ยนปั๋วสิ้นชีพ ซางเจี้ยนสยงก็ล้มล้างกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญที่มีชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้าทิ้ง เป็นเหตุให้แคว้นเยี่ยนเกิดศึกรุมเร้าทั้งนอกใน เกิดมรสุมคลอนแคลน พื้นที่ของแว่นแคว้นถูกศัตรูต่างแคว้นยึดครอง หากว่าซางเจี้ยนปั๋วยังอยู่ แคว้นหานจะกล้าบุกรุกแคว้นเยี่ยนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“ทว่าฝ่าบาททรงต่างออกไป ฝ่าบาทปราดเปรื่องทรงความสามารถ นับตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ก็ทรงงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาแว่นแคว้น อำนาจของแคว้นฉีเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ สำนักนิกายที่ขวางความเจริญของแคว้นฉีเหล่านั้นก็ถูกฝ่าบาทถ่วงสมดุลไว้ เมื่อหันไปมองซางเจี้ยนสยงแล้ว เขามีความสามารถเช่นนี้เสียที่ไหนล่ะพ่ะย่ะค่ะ? มิเช่นนั้นจะทำให้แคว้นเยี่ยนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร? หากสองแคว้นทำสงครามกัน สุดท้ายแล้วก็ต้องประชันกันที่ความแข็งแกร่งของแว่นแคว้น ต่อให้กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญจะแข็งแกร่งกว่าทัพม้าองอาจของพวกเราแล้วจะเป็นอย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ? กำลังของแคว้นเยี่ยนสู้แคว้นฉีไม่ได้ ในแคว้นก็โกลาหลวุ่นวาย หากต่อกรกับกองทัพของฝ่าบาทจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน ย่อมเป็นฝ่าบาทที่เหนือกว่าพ่ะย่ะค่ะ!”

เฮ่าอวิ๋นถูชี้หน้าเขาพลางหัวเราะฮ่า เอ่ยไปว่า “เจ้ามันหัวแหลม ข้าให้เจ้าเปรียบเทียบกำลังของสองกองทัพ แต่เจ้ากลับเบี่ยงเบนไปเปรียบเทียบกำลังระหว่างสองแคว้น” ถึงแม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับแสดงออกมาจากใจ

ปู้สวินค้อมกายกล่าวไปว่า “เป็นกระหม่อมที่โง่เขลาพ่ะย่ะค่ะ”

สายตาของเฮ่าอวิ๋นถูมองไปยังจังหวัดชิงซาน “พยัคฆ์ย่อมไม่คลอดบุตรเป็นสุนัข ต้องยอมรับเลยว่าซางเจี้ยนปั๋วได้บุตรชายที่ยอดเยี่ยมมาคนหนึ่ง หากมองจากสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ดูเหมือนเขาจะได้จัดการได้ดีทีเดียว! แต่ด้วยรูปการณ์ของแคว้นเยี่ยน เกรงว่าคงประคองไว้ได้อีกไม่นานนัก ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป หากไม่มีการปรับปรุงแก้ขืเกรงว่าคงยื้อไว้ไม่ได้ถึงสิบปี!”

ปู้สวินก็มองไปยังแผนที่เช่นกัน “หากว่าโอกาสมาถึง แคว้นหาน แคว้นจ้าวและแคว้นซ่งต้องผนึกกำลังกันเข้าโจมตีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เข้าห้ำหั่นตัดแบ่งดินแดนแบ่งปันผลประโยชน์ แล้วก็ล่มสลายไปเหมือนแคว้นฉิน!

เฮ่าอวิ๋นถูทอดสายตามองออกไปยังอีกฝั่งหนึ่งของแผนที่ เขาจ้องมองแคว้นที่อยู่ทางฝั่งนั้นพลางกัดฟันกรอด เอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง “แคว้นจิ้นยโสโอหัง เที่ยวรุกรานตามอำเภอใจ คิดจะบุกโจมตีแคว้นฉีของข้าอยู่หลายหน แคว้นฉีและแคว้นเว่ยต้องรวมกำลังกันถึงจะสะกดเอาไว้ได้ หากแคว้นเยี่ยนเกิดความวุ่นวายขึ้น อีกทั้งอำนาจแคว้นฉีเราก็ไปไม่ถึงฝั่งตะวันออก หรือจะให้นั่งมองแคว้นฝั่งตะวันออกเรืองอำนาจขึ้นมาโดยไม่อาจทำอะไรได้? ทันทีที่แคว้นทางตะวันออกเรืองอำนาจขึ้นมา แคว้นฉีของเราต้องเผชิญศึกจากทั้งทางตะวันออกและตะวันตก!”

ปู้สวินไม่ทราบว่าการที่เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไร จึงสอบถามไปว่า “ความหมายของฝ่าบาทคือ?”

เฮ่าอวิ๋นถูยกมือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ตรงหน้าแผนที่ เอ่ยอย่างใช้ความคิด “หนิวโหย่วเต้า คนผู้นี้อายุยังน้อยก็มีวิสัยทัศน์และความสามารถถึงขนาดนี้แล้ว หากฝ่าฟันผ่านพ้นปัญหาหนักหน่วงไปได้ วันหน้าต้องกลายเป็นยอดคนแน่! คนประเภทนี้หากผูกความแค้นสลักลึกไว้ อีกทั้งไม่อาจกำจัดเขาได้ล่ะก็ วันหน้าจะต้องมีปัญหาตามมาแน่นอน เพื่ออนาคตแล้ว ข้าควรจะแสดงไมตรีต่อเขาไว้ เขาต้องการม้าศึกมิใช่หรือ? เช่นนั้นข้าก็จะให้เขา! ”

ปู้สวินมองแผนที่พลางเอ่ยด้วยความลังเล “ต่อให้เขาสามารถนำม้าศึกกลับไปได้ แต่เกรงว่าซางเฉาจงคงยากจะกอบกู้แคว้นเยี่ยนให้กลับมายิ่งใหญ่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”

เฮ่าอวิ๋นถูหยุดอยู่ตรงตำแหน่งที่ตั้งของแคว้นเยี่ยน จ้องมองแผนที่พลางเอ่ยเนิบๆ ขึ้นมา “ต่อให้แคว้นเยี่ยนจะแตกแยกแบ่งเป็นฝักฝ่าย แต่ซางเฉาจงไม่เหมือนเจ้าศักดินาคนอื่น”

“เจ้าศักดินารายอื่นย่อมสยบต่อผู้แข็งแกร่งเพื่อแลกกับความรุ่งเรืองมั่งคั่ง ทว่าซางเฉาจงเป็นเชื้อพระวงศ์แคว้นเยี่ยนที่มีอำนาจทหารอยู่ในมือ อีกทั้งเป็นบุตรชายของซางเจี้ยนปั๋ว มีความทะเยอทะยานที่จะก้าวหน้า เรียกได้ว่าบนบ่าแบกความหวังสุดท้ายของราชสกุลซางเอาไว้ หากเขาปราชัย ราชสกุลซางจะล่มสลายสิ้นวงศ์ตระกูล แคว้นอื่นไม่มีทางยอมให้ตระกูลซางมีโอกาสได้ผงาดขึ้นมาอีก หากเขาแข็งแกร่งขึ้นมา แคว้นอื่นจะมีห่วงให้คอยพะวง หวั่นเกรงว่าจะตกเป็นเป้าหมายในการล้างแค้นของซางเฉาจง ไม่กล้าสังหารล้างบางราชสกุลซาง”

“ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านความรู้สึกหรือว่าเหตุผล ซางเฉาจงก็ไม่มีทางยอมนิ่งดูดายมองแคว้นเยี่ยนล่มสลายลงเช่นนี้ได้ หากแคว้นเยี่ยนย่อยยับ หากจะมีใครสักคนที่หยัดยืนต่อสู้จนถึงที่สุด คนๆ นั้นย่อมต้องเป็นซางเฉาจงแน่นอน อย่างน้อยเขาก็ไม่มีทางยอมสยบก้มหัวให้ง่ายๆ!”

“ในเมื่ออำนาจแคว้นฉีของเราไปไม่ถึง ต่อให้ยากจะกอบกู้สถานการณ์โดยรวมของแคว้นเยี่ยนกลับมาได้ แต่ก็ไม่อาจให้ปล่อยให้แว่นแคว้นฝั่งตะวันออกทำอะไรสะดวกราบรื่นเกินไปได้ อีกทั้งข้าก็มีความกังวลในตัวซางเจี้ยนสยงด้วย ซางเจี้ยนสยงคนนี้รับมือกับศึกภายนอกไม่ไหว แต่กับภายในแคว้นกลับคล้ายจะโหดเหี้ยมนัก หากซางเฉาจงแข็งแกร่งขึ้นมา ซางเจี้ยนสยงจะทนกล้ำกลืนไม่ลงมือกับซางเฉาจงได้หรือ? หากเป็นเช่นนี้จะทำให้แคว้นเยี่ยนเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นมาก่อนเวลา ซึ่งนี่มิใช่สิ่งที่ข้าอยากเห็นในตอนนี้เลย”

……………………………………………………………….