ตอนที่ 314 รอ

ปู้สวินเข้าใจเจตนาของเขาว่าอยากให้การสนับสนุนซางเฉาจง แต่หากให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยก็เกรงว่าจะทำให้ซางเจี้ยนสยงลุกขึ้นมาตอบโต้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงคิดจะอ้อมไปลงมือผ่านทางหนิวโหย่วเต้าแทน

“เจ้าคิดว่าคำพูดของหนิวโหย่วเต้าคนนี้จะมีน้ำหนักต่อทางซางเฉาจงหรือไม่?” เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยถามเขาอีกครั้ง

ปู้สวินลองไตร่ตรองตามความคิดของเขาอย่างรวดเร็ว ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ตามข่าวที่ได้รับมาจากสายที่อยู่ทางจังหวัดชิงซาน ปัจจุบันนี้ถึงจะอยู่ในจังหวัดชิงซาน แต่หนิวโหย่วเต้าก็แยกตัวออกมาพำนักอย่างสันโดษ น้อยครั้งนักที่จะติดต่อกับซางเฉาจง แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ เมื่อดูจากเบาะแสปัจจัยต่างๆ แล้ว หนิวโหย่วเต้าแทบจะไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการทหารและการปกครองของสองจังหวัดเลยพ่ะย่ะค่ะ มองเผินๆ แล้วดูเหมือนหนิวโหย่วเต้าจะไม่มีอิทธิพลอันใดต่อซางเฉาจงเลย แต่ในบริเวณที่พักของเขาห้ามมิให้คนนอกเข้าใกล้ จึงยากจะสืบทราบได้พ่ะย่ะค่ะ”

“แต่ก็ยังมีอีกหลายประเด็นที่ควรค่าพอให้ไตร่ตรองดูพ่ะย่ะค่ะ ซางเฉาจงและน้องสาวอย่างซางซูชิงเป็นพี่น้องที่สนิทสนมปรองดอง ล้วนทราบกันดีว่าซางซูชิงมีอิทธิพลต่อซางเฉาจงผู้เป็นพี่ชายอยู่ ทว่าซางซูชิงก็ได้ย้ายตามไปพำนักอยู่ในเขตที่พักของหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน อีกทั้งจากการวิเคราะห์ของหน่วยข่าวกรองพบว่ากิจการค้าสุราอันเป็นช่องทางรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของสำนักหยกสวรรค์ก็ผลิตขึ้นในเขตที่พักของหนิวโหย่วเต้าเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ที่น่าแปลกคือมองจากเบาะแสปัจจัยต่างๆ แล้ว คล้ายว่าผู้ที่ผลิตสุราขึ้นจะมิใช่ศิษย์จากสำนักหยกสวรรค์ ปัญหาคือเหตุใดสำนักหยกสวรรค์จึงไม่ได้ถือสิทธิ์ในการควบคุมช่องทางรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของตน? หน่วยข่าวกรองสงสัยว่าโรงงานผลิตสุราจะอยู่ในการควบคุมของสามสำนักหรือไม่ก็หนิวโหย่วเต้า หรือไม่ก็อาจจะเป็นทั้งสองฝ่ายควบคุมร่วมกันพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วก็ยังมีเรื่องที่มณฑลจินโจวจับมือเป็นพันธมิตรกับซางเฉาจงอีกพ่ะย่ะค่ะ การร่วมมือเกิดขึ้นหลังจากหนิวโหย่วเต้าปรากฏตัวขึ้นในจินโจวและสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน หนิวโหย่วเต้าสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน แต่กลับรอดตัวจากการควบคุมของมณฑลจินโจวได้ เช่นนี้หากมิใช่เพราะมณฑลจินโจวมีเจตนาจะปล่อยตัว หนิวโหย่วเต้าจะรอดออกมาจากมณฑลจินโจวได้อย่างไร? ดังนั้นการที่มณฑลจินโจวและซางเฉาจงจับมือเป็นพันธมิตรกัน หนิวโหย่วเต้าจะมีบทบาทอย่างไรในเรื่องนี้ อันนี้มันก็น่าครุ่นคิดพ่ะย่ะค่ะ”

“จากนั้นก็เป็นเรื่องในปัจจุบันนี้ เมื่อหนึ่งปีก่อนสำนักหยกสวรรค์เดินทางมาที่แคว้นฉีเพื่อจัดหาม้าศึกให้ซางเฉาจง หน่วยข่าวกรองทราบเรื่องแต่แรกแล้ว ด้วยการเข้าแทรกแซงของหน่วยข่าวกรองทำให้สำนักหยกสวรรค์คว้าน้ำเหลวอย่างต่อเนื่อง ต่อมาสำนักเซียนสถิต สำนักคีรีพิลาสและสำนักเมฆาล่องที่สวามิภักดิ์ต่อซางเฉาจงก็ได้ส่งคนมาที่นี่เพื่อช่วยเสริมกำลังให้สำนักหยกสวรรค์”

“ตอนนี้ ทางซางเฉาจงก็ได้ส่งหนิวโหย่วเต้ามาอีก ตามหลักแล้ว หนิวโหย่วเต้าเคยสร้างเรื่องไว้มากมาย ไม่ควรปรากฏตัวในที่สาธารณะอีก ดูจากเรื่องที่เขาปะทะกับจั๋วเชาระหว่างทางก็น่าจะทราบแล้ว แต่เขาก็ยังเดินทางมา จากจุดนี้ทำให้เห็นว่าซางเฉาจงให้ความสำคัญและไว้วางใจในความสามารถของเขาพ่ะย่ะค่ะ เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ แล้ว หนิวโหย่วเต้าน่าจะมีอิทธิพลต่อซางเฉาจงพ่ะย่ะค่ะ”

เป็นผู้ดูแลหลวงอยู่ภายในวังหลวง แต่กลับสามารถพูดคุยถึงสถานการณ์ในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปนับหมื่นลี้ได้ประหนึ่งคุยเรื่องทั่วไปในครัวเรือน มิใช่เพราะเขาเก่งกาจแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะหน่วยข่าวกรองที่รับผิดชอบสอดส่องหาข้อมูลแก่แคว้นฉีอยู่ในการดูแลของเขา ตำแหน่งผู้ดูแลหลวงของเขาก็คือหัวหน้าของหน่วยข่าวกรองนั่นเอง

ระยะนี้ฝ่าบาทให้ความสนใจหนิวโหย่วเต้าคนนี้ เขาย่อมไปสืบหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต้ามาทันที เตรียมตัวตอบคำถามของฝ่าบาททุกเมื่อ

ชัดเจนยิ่งนัก การเตรียมตัวล่วงหน้านั่นถูกต้องแล้ว ได้นำมาใช้งานจริง

เฮ่าอวิ๋นถูพยักหน้ารับนิดๆ เอ่ยเนิบๆ ว่า “ในเมื่อเขามีอิทธิพลต่อซางเฉาจง เช่นนั้นก็ไปติดต่อเขาหน่อยเถอะ ซางเฉาจงมีใจทะเยอทะยาน พื้นที่สองจังหวัดเติมเต็มความต้องการของเขาไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วต้องขยายอาณาเขตออกไปแน่ ข้ายังไม่ต้องการให้แคว้นเยี่ยนเกิดความโกลาหลขึ้นในขณะนี้ ไปหาคนที่มีใจเป็นกลางมาสักคน แล้วก็ต้องเป็นคนที่สามารถเจรจากับทางซางเจี้ยนสยงได้ด้วย ส่งไปคุยกับหนิวโหย่วเต้า ช่วยสมานความสัมพันธ์ระหว่างซางเจี้ยนสยงและซางเฉาจงสักหน่อย”

ปู้สวินถาม “แล้วราชทูตแคว้นเยี่ยนที่ประจำการอยู่ในแคว้นฉีล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

เฮ่าอวิ๋นถูกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าราชทูตแคว้นเยี่ยนจะปล่อยให้พวกเราจัดการตามที่ใจคิดได้หรือ?”

ปู้สวินค้อมคำนับพลางเอ่ยถามอีกประโยค “ฝ่าบาททรงมีตัวเลือกที่หมายตาไว้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

เฮ่าอวิ๋นถูถามกลับ “เจ้าคิดว่าซางเสวี่ยชายาของหงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”

คนที่เขาเอ่ยถึงคือชายาของเฮ่าหงโอรสลำดับที่สองของเขา ซางเสวี่ยมิได้เป็นเพียงลูกสะใภ้ของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นธิดาของซางเจี้ยนสยงด้วย

หลายปีก่อนยามที่แคว้นเยี่ยนและแคว้นหานทำสงครามกัน เนื่องจากสถานการณ์บีบคั้น ซางเจี้ยนสยงจึงส่งตัวพระธิดาคนหนึ่งมาอภิเษกกับพระโอรสของเฮ่าอวิ๋นถู ใช้การสมรสเชื่อมสัมพันธ์แลกเปลี่ยนกับกำลังสนับสนุนจากแคว้นฉี ปัจจุบันนี้นางได้ให้กำเนิดพระนัดดาชายหญิงคู่หนึ่งแก่เฮ่าอวิ๋นถูแล้ว

ปู้สวินทราบเจตนาของเขาในทันที

ซางเจี้ยนสยงส่งธิดามาอภิเษกที่แคว้นฉี ก็เพราะอยากให้ธิดากลายเป็นกำลังให้แคว้นเยี่ยน ตอนนี้ซางเสวี่ยยังต้องการการสนับสนุนจากทางตระกูลฝ่ายมารดาในการตั้งตัวที่นี่อยู่ เผื่อไว้สำหรับช่วงเวลาที่ซางเจี้ยนสยงต้องการ หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว ซางเสวี่ยนั้นมีอิทธิพลต่อซางเจี้ยนสยงอยู่พอสมควร อีกทั้งฝ่าบาทก็ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่งโรจน์ ยังไม่มีการแต่งตั้งรัชทายาทแห่งแคว้นฉีขึ้นมา หากฝ่าบาททรงออกปากทั้งที ซางเสวี่ยจะไม่ทุ่มเทอย่างสุดกำลังได้หรือ? มิใช่เพื่อใครอื่นเลย แต่เป็นการทำเพื่ออนาคตโอรสธิดาของนางรวมถึงตัวนางเองด้วย ซางเสวี่ยต้องทุ่มสุดตัวแน่นอน

เกรงว่าซางเจี้ยนสยงก็คงคาดหวังให้ธิดาตนได้กลายเป็นชายารัชทายาทเช่นกัน เพื่อที่จะได้มีอิทธิพลในแคว้นฉีมากขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อแคว้นเยี่ยนเช่นกัน

ปู้สวินยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมจะไปสืบดูลาดเลาของหนิวโหย่วเต้าก่อน หากมีจังหวะเหมาะสมค่อยไปหารือเรื่องนี้กับองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูตอบอืมคำหนึ่ง ทอดสายตามองไปทางเหนือของแคว้นเยี่ยนต่อ จ้องมองมณฑลเป่ยโจวพลางเอ่ยถาม “สืบหาข้อมูลของคนที่ช่วยจัดหาม้าศึกให้ทางเป่ยโจวได้หรือยัง?”

ปู้สวินตอบว่า “ภายในเรือนเมฆาขาวมีการป้องกันหนาแน่น ไม่สามารถเข้าไปสืบข่าวด้านในได้เลยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่จากการวิเคราะห์เบาะแสต่างๆ แล้ว หน่วยข่าวกรองสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับหอจันทร์กระจ่างพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูค่อยๆ หันกลับมา “หอจันทร์กระจ่างอย่างนั้นหรือ?”

ปู้สวินตอบกลับ “พ่ะย่ะค่ะ! เคยมีคนของหอจันทร์กระจ่างเข้าไปยังส่วนในของเรือนเมฆาขาว แต่ก็มีเพียงเท่านี้ ยังไม่มีหลักฐานมากไปกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ แต่มองจากแนวทางในการจัดการเรื่องราวตามวิสัยของหอจันทร์กระจ่างแล้ว เรือนเมฆาขาวก็เข้าเค้าเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ หน่วยข่าวกรองวิเคราะห์ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เรือนเมฆาขาวจะเป็นฐานลับแห่งหนึ่งของหอจันทร์กระจ่างพ่ะย่ะค่ะ หอจันทร์กระจ่างกระทำการใดล้วนปกปิดลึกลับ มีความระมัดระวังตัวสูงมาก หน่วยข่าวกรองไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นจึงหาโอกาสเข้าไปสืบค้นเจาะลึกไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ ข้อมูลที่ทราบในตอนนี้ก็มีเพียงเท่านี้พ่ะย่ะค่ะ”

ถึงแม้หอจันทร์กระจ่างจะลึกลับ แต่เครือข่ายข่าวกรองของแคว้นฉีก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นคืออยู่ในเขตพื้นที่แคว้นฉีด้วย เมื่ออยู่ในอาณาเขตแคว้นฉี จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เครือข่ายข่าวกรองอันทรงประสิทธิภาพของแคว้นฉีจะจับพิรุธคนของหอจันทร์กระจ่างไม่ได้เลยสักคน คนที่เข้าไปติดต่อข้องแวะกับเรือนเมฆาขาวล้วนถูกหน่วยข่าวกรองจับตามองทั้งสิ้น ย่อมพบเห็นเบาะแสร่องรอยเป็นธรรมดา

นั่นเป็นเพราะเหตุผลเดียวกัน ม้าศึกเป็นทรัพยากรทางการศึกของแคว้นฉี ย่อมถูกเฮ่าอวิ๋นถูจำกัดควบคุมอย่างเข้มงวด ในลานเลี้ยงม้าขนาดใหญ่แทบทั้งหมดล้วนมีสายลับของหน่วยข่าวกรองปะปนอยู่ เมื่อมีการค้าขายม้าศึกจำนวนมากย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาของหน่วยข่าวกรองไปได้

ส่วนที่ว่าควรจะขัดขวางผู้ใดหรือไม่ขัดขวางผู้ใดนั้น นั่นล้วนขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเฮ่าอวิ๋นถู และเป็นเพราะเหตุนี้ จึงทำให้เขาสามารถรักษาสมดุลระหว่างสำนักบำเพ็ญเพียรขนาดใหญ่ภายในแคว้นได้

เรือนเมฆาขาวคิดว่าตนจัดการปกปิดเรื่องม้าศึกเป็นความลับ แต่กลับไม่ทราบเลยว่าถูกหน่วยข่าวกรองจับได้แล้ว ลอบสังเกตการณ์อยู่นานแล้ว เรื่องที่ซูจ้าวออกจากแคว้นฉีไปติดต่อกับตระกูลเซ่าแห่งเป่ยโจวก็อยู่ในสายตาของหน่วยข่าวกรองแคว้นฉีเช่นกัน

ความสามารถในการสืบข่าวคราวของแคว้นแคว้นหนึ่งไม่ใช่สิ่งที่สำนักบำเพ็ญเพียรทั่วไปจะเทียบชั้นได้ ซึ่งในจุดนี้หนิวโหย่วเต้าก็เคยมีประสบการณ์มาแล้ว

“หึๆ!” เฮ่าอวิ๋นถูหัวเราะหยัน “หลายปีมานี้น้องห้าแสร้งทำตัวโง่เขลาบ้าบอได้แนบเนียนเหลือเกิน คิดไม่ถึงว่าจะลอบรวมหัวสมคบกับคนของหอจันทร์กระจ่างอย่างลับๆ น้องห้าหนอน้องห้า เจ้ารู้จักประเมินตนไว้จะดีที่สุด มิเช่นนั้นก็อย่าได้นึกเคืองพี่ชายอย่างเราเลย!

น้องห้าที่เขาเอ่ยถึงก็คือเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง ซีย่วนต้าอ๋องแห่งแคว้นฉี

ปู้สวินก้มหน้าลงเล็กน้อย เรื่องราวในส่วนนี้เขาไม่สะดวกจะกล่าวอะไรมากนัก เพียงเอ่ยเตือนไปว่า “มองจากพฤติกรรมของคนเหล่านั้นแล้ว ช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวอยู่บ่อยครั้ง เกรงว่าคงเตรียมจะส่งม้าศึกออกนอกแคว้นแล้ว ต้องการสกัดไว้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

เฮ่าอวิ๋นถูจ้องมองแผนที่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ม้าศึกน่ะข้ามีมากมายอยู่แล้ว ม้าศึกแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไป ปล่อยผ่านไป! ตระกูลเซ่าแห่งเป่ยโจวมีใจทะเยอทะยาน ไม่ยอมสยบต่อแคว้นเยี่ยนและแคว้นหาน มีกำลังกล้าแข็งกว่าซางเฉาจง ประโยชน์ในการควบคุมก็มีมากกว่าซางเฉาจงเช่นกัน!”

เขาอยากจะให้มีกลุ่มอิทธิพลเช่นเดียวกับตระกูลเซ่าเพิ่มขึ้นอีกหลายๆ แห่งในพื้นที่แคว้นเยี่ยน แคว้นหาน แคว้นซ่งและแคว้นจ้าวด้วยซ้ำ

….

ณ เรือนเมฆาขาว ภายในศาลา ฉินเหมียนโบกมือให้บุรุษที่เพิ่งกลับมารายงานข่าวของทางทะเลสาบส่องนภา “เจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ!”

“ขอรับ!” ชายคนนั้นประสานมือคำนับซูจ้าวที่นั่งเงียบอยู่ในศาลา จากนั้นถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

ฉินเหมียนหันกลับมา มองซูจ้าวแล้วเอ่ยว่า “หนิวโหย่วเต้าคนนี้มีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ ไม่คิดเลยว่าคุนหลินซู่ประมือกับเขากระบวนท่าเดียวก็ต้านไม่อยู่เสียแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าทางสำนักเพลิงนภาจะไปหาเรื่องเขาหรือไม่”

“เฮ้อ!” ซูจ้าวถอนหายใจเบาๆ “สำนักเพลิงนภาเองก็มีศักดิ์ศรีของทางสำนักอยู่เช่นกัน ระยะนี้น่าจะไม่มีทางไปหาเรื่องเขา ดูเหมือนครั้งนี้หนิวโหย่วเต้าจะพ้นภัยไปได้อีกครั้งแล้ว คนผู้นี้เผชิญอันตรายหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังรอดตัวไปได้ มิใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน เป็นคนที่จัดการได้ยากจริงๆ”

ฉินเหมียนเอ่ยว่า “ธุระของทางมณฑลเป่ยโจวสำคัญมาก ไม่อาจปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ นายหญิงเจ้าคะ ตามความเห็นข้า ตอนนี้อย่าเพิ่งดำเนินการใดๆ กับหนิวโหย่วเต้าอีกเลยเจ้าค่ะ คนผู้นี้จัดการยากจริงๆ จะทำให้เกิดปัญหาเพิ่มได้ง่ายๆ นะเจ้าคะ”

ซูจ้าวพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนหนิวโหย่วเต้าจะมาถึง นางเคยคิดว่าตนสามารถขยี้เขาให้ตายได้ทุกเมื่อ แต่ตอนนี้กลับพบว่าจนปัญญาจะทำอันใดหนิวโหย่วเต้าได้ จึงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

….

บนท้องถนน หนิวโหย่วเต้าและลิ่งหูชิวยืนอยู่ที่ปากตรอกพลางมองไปรอบๆ ในที่สุดกลุ่มคนที่ชอบมาเดินเพ่นพ่านไปมาอยู่ตลอดเวลาก็หายไปแล้ว

ทั้งสองสบตากันเล็กน้อย เดินเข้าไปในตรอก พอกลับไปถึงหน้าประตูคฤหาสน์ก็เคาะประตูเล็กน้อย

หงซิ่วมาเปิดประตู พอเห็นพวกเขาก็รีบปล่อยให้ทั้งสองผ่านเข้ามาทันที จากนั้นก็สอบถามถึงสถานการณ์

ลิ่งหูชิวส่งสัญญาณเดี๋ยวค่อยคุยกัน

หนิวโหย่วเต้าไม่ได้กลับไปที่เรือนเดิม หากแต่ไปยังเรือนที่เฟิงเอินไท่เคยพักอยู่

พอลิ่งหูชิวที่ตามเข้ามาด้วยมองเห็นดินโคลนที่กองสุมอยู่รอบกำแพงก็ตะลึงงัน

หลังจากเฟิงเอินไท่ขุดอุโมงค์ทางนี้เรียบร้อย เขาก็ยังไม่เคยเข้ามาเลย ถึงแม้จะพักอยู่ในคฤหาสน์เดียวกัน แต่ก็ตกตะลึง เพราะไม่ทราบว่าเฟิงเอินไท่ขุดดินมากมายขนาดนี้ออกมาตั้งแต่ตอนไหน

หงฝูขยับเข้าใกล้แล้วกระซิบประโยคหนึ่ง “ทางเข้าอุโมงค์อยู่ในบ่อน้ำเจ้าค่ะ”

หลังจากหนิวโหย่วเต้าและลิ่งหูชิวออกไป นางและหงซิ่วที่ลาดตระเวนไปทั่วคฤหาสน์ก็สังเกตเห็นความผิดปกติของที่นี่ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้ามาสำรวจดูเล็กน้อย

ลิ่งหูชิวรีบเดินไปดูที่ปากบ่อ สังเกตเห็นว่ามีทางเข้าอยู่จริงๆ จึงรีบเดินกลับมาถามหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ใต้ชายคาว่า “ก่อนหน้านี้เฟิงเอินไท่ขุดอุโมงค์เตรียมทางหนีไว้จริงๆ หรือ?”

“น่าจะใช่!” หนิวโหย่วเต้าตอบส่งๆ ไปประโยคหนึ่ง จากนั้นให้หงซิ่วและหงฝูไปจับตามองความเคลื่อนไหวด้านนอกอย่างเข้มงวด หากพบเห็นสิ่งผิดปกติให้มาแจ้งเตือนทันที

พอเห็นว่าเขาไม่อยากพูดถึง ลิ่งหูชิวก็ไม่ถามอีก ทั้งสองนั่งดื่มชาอยู่ใต้ชายคาด้วยกัน

“น้องสาม กลับมาทางนี้แล้วเจ้าเตรียมจะจัดการอย่างไรต่อ?”

“รอ!”

“รอหรือ?”

“หากเกิดเรื่องก็หนี หากไม่มีก็ค่อยว่ากัน”

หลังจากคุยสัพเพเหระกันไปสองสามประโยค ลิ่งหูชิวก็เปลี่ยนเประเด็นสนทนา เอ่ยขึ้นว่า “น้องสาม ตอนที่เจ้าสู้กับคุนหลินซู่ ข้าเห็นว่าวิชาที่เจ้าฝึกปรือดูไม่คล้ายว่าจะใช่วิชาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นะ!”

หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “เช่นนั้นท่านคิดว่าคล้ายวิชาของสำนักใดเล่า?”

ลิ่งหูชิวเอ่ยว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า เจ้าบอกว่าตงกัวเฮ่าหรานไม่ได้ถ่ายทอดวิชาใดแก่เจ้ามิใช่หรือ? หรือว่าเป็นวิชาที่ตงกัวเฮ่าหรานถ่ายทอดให้ก่อนสิ้นใจไป?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “คนเขาตายไปแล้ว ไหนเลยจะมีเวลาพอถ่ายทอดวิชาใดให้ข้าได้”

ลิ่งหูชิวถามต่อ “เช่นนั้นเจ้าได้วิชานี้มาแต่ใด?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ย่อมเป็นผู้อื่นถ่ายทอดให้”

………………………………………………………………………………….