ตอนที่ 315 เป็นท่านคาดเดาส่งเดชเอาเอง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 315 เป็นท่านคาดเดาส่งเดชเอาเอง

“ผู้อื่นถ่ายทอดให้อย่างนั้นหรือ?” ลิ่งหูชิวมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ อันที่จริงเขาอยากถามเหลือเกินว่าก่อนตายตงกัวเฮ่าหรานได้บอกอะไรกับเจ้าหรือมอบอะไรให้เจ้าหรือไม่ ทว่าเขารู้ว่าหนิวโหย่วเต้ามิใช่คนโง่ จึงไม่กล้าถามคำถามเช่นนี้ออกไปตรงๆ ด้วยกลัวว่าจะทำให้หนิวโหย่วเต้าเกิดความสงสัยได้ ทำได้เพียงลองถามไปว่า “ผู้ใดถ่ายทอดให้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าถือถ้วยชาไว้ ส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า “ไม่ทราบ”

ลิ่งหูชิวกลอกตา เอ่ยไปว่า “เหลวไหล คนเขาถ่ายทอดวิชาให้เจ้า เจ้าจะไม่รู้ว่าเป็นใครได้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ายักไหล่พลางเอ่ยว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพูดไปท่านก็ไม่เชื่อ เรื่องนี้หากว่ากันไปแล้ว แม้แต่ตัวข้าก็ยังสับสนอยู่เช่นกัน จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใคร ถ่ายทอดวิชาบำเพ็ญเพียรให้ข้าเสร็จก็จากไป ข้าถามว่าเขาเป็นใคร เขาก็ไม่ยอมบอก กลับจากไปเสียอย่างนั้น ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาคือผู้ใด”

ลิ่งหูชิวถามด้วยความสงสัย “พบกันที่ไหน?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หลังจากข้าถูกกักบริเวณไว้ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่นาน”

“สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ?” ลิ่งหูชิวแปลกใจ “เจ้าไม่รู้จักคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าใช้ความคิด “น่าจะมิใช่คนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เอกลักษณ์ของเขาค่อนข้างเด่นชัด หากว่าเป็นคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หากข้าเคยเห็นต้องจำได้แน่นอน ตอนนั้นข้าถูกกักบริเวณไว้ในที่พักเก่าของตงกัวเฮ่าหรานเมื่อสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ เรียกว่าเรือนดอกท้อ คนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นช่วงค่ำ จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาในเรือนดอกท้อ ซ้ำยังบอกข้าว่าอย่าส่งเสียงดัง”

สีหน้าลิ่งหูชิวพลันจริงจังขึ้นมา เชื่อวาจานี้ไปกว่าครึ่งแล้ว รีบเอ่ยว่า “ในเมื่อมีเอกลักษณ์โดดเด่น มิสู้ลองเล่ารายละเอียดมาหน่อย ข้าเองก็นับว่าเคยพบปะผู้คนในโลกบำเพ็ญเพียรมาไม่น้อย ไม่แน่ว่าข้าอาจจะเคยพบเห็นคนผู้นั้นก็ได้ ถือโอกาสคลายข้อสงสัยให้เจ้าพอดี”

หนิวโหย่วเต้ามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาที่คล้ายจะสื่อว่า ‘ข้าจำเป็นต้องบอกท่านด้วยหรือ’

ลิ่งหูชิวเอ่ยตะล่อม “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าอีกฝ่ายเป็นใคร?”

พอได้ยินเขาว่ามาเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้ากุมถ้วยชาด้วยสองมือ คล้ายจะย้อนระลึกความทรงจำอยู่ เอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนนั้นเป็นช่วงค่ำฟ้ามืดแล้ว อันที่จริงข้าก็มองเห็นหน้าตาของเขาไม่ชัดเจน เพียงอาศัยแสงจันทร์จากด้านนอกทำให้พอจะมองเค้าโครงออกเล็กน้อย เขาเป็นบุรุษคนหนึ่ง บุรุษที่มอมแมมมอซอ เป็นชายที่มีผมเผ้าหนวดเครารุงรังคนหนึ่ง จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าข้า ทำเอาข้าตกใจแทบแย่ สิ่งแรกที่เขาทำคือสั่งให้ข้าเงียบ หากท่านจะถามว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร สิ่งที่ข้าเห็นในตอนนั้นก็มีเพียงเท่านี้”

ลิ่งหูชิวขมวดคิ้วแน่น ปากเอ่ยพึมพำ “บุรุษที่มอมแมมมอซอ ผมเผ้าหนวดเครารุงรัง…”

หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองปฏิกิริยาของเขาเป็นระยะ ยกถ้วยชาละเลียดจิบ สำหรับคนที่ตนเล่าถึงผู้นี้ย่อมไม่มีตัวตนอยู่จริง เขาไม่มีทางเล่าเรื่องสิ่งของที่ตงกัวเฮ่าหรานฝากฝังเอาไว้ก่อนตายให้คนนอกทราบ ของที่ตงกัวเฮ่าหรานยอมสละชีวิตฝากฝังเอาไว้ สั่งไว้ชัดเจนว่าต้องส่งให้ถึงมือเจ้าสำนักถังมู่เท่านั้น นั่นต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน แม้แต่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตนก็ยังไม่ยอมบอกให้รู้ แล้วมีหรือที่เขาจะยอมบอกอีกฝ่าย

ส่วนลักษณะของคนที่เขากล่าวอ้างถึงผู้นี้ เขาเคยได้ยินมาว่าจ้าวสยงเกอน่าจะมีลักษณะมอมแมมรุงรังประมาณนี้ จึงคิดว่าน่าจะปัดเรื่องนี้ให้จ้าวสยงเกอแบกรับไว้ได้

ลิ่งหูชิวใคร่ครวญอยู่สักพักก็เงยหน้าเอ่ยถาม “เบาะแสที่เจ้าเล่ามาน้อยเกินไปหน่อย พอจะเห็นเค้าโครงหน้าหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าตอบไปว่า “ฟ้ามืดแล้ว มองเห็นไม่ชัด”

ลิ่งหูชิวเอ่ยถาม “ตอนนั้นเขาคุยอะไรกับเจ้า?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ก็ไม่ได้คุยอะไร เพียงถามว่าข้าคือศิษย์ของตงกัวเฮ่าหรานใช่หรือไม่ ทั้งยังบอกว่าเขาไม่มีเจตนาร้าย บอกข้าว่าไม่ต้องกลัว จากนั้นเขาก็จุดธูปหลายดอกปักไว้หน้าป้ายวิญญาณของตงกัวเฮ่าหราน จากนั้นก็ถ่ายทอดวิชาให้ข้า ซ้ำยังกำชับข้าว่าให้ตั้งใจฝึกให้ดี บอกว่าตงกัวเฮ่าหรานเหลือข้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวแล้ว บอกข้าว่าอย่าทำให้ดวงวิญญาณของตงกัวเฮ่าหรานที่อยู่บนสวรรค์ต้องผิดหวัง…อ่อ ก่อนจากไปยังรื้อหาข้าวของที่เหลืออยู่ของตงกัวเฮ่าหรานแล้วเอาติดตัวไปด้วย เบาะแสที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้ แล้วท่านว่าข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาคือใคร?”

“นำข้าวของที่เหลือทิ้งไว้ของตงกัวเฮ่าหรานไปด้วยอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาลิ่งหูชิวพลันฉายแววแปลกใจระคนสงสัย ลูบคางใคร่ครวญอยู่นาน จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง “วิชาที่เขาถ่ายทอดให้เจ้ามีชื่อว่าอะไร? หากบอกชื่อวิชาได้ ข้าก็อาจจะรู้ว่าเขาคือผู้ใด”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ไม่มีชื่อเรียก ตอนที่ถ่ายทอดวิชาให้ข้า เขาไม่ได้เอ่ยถึงชื่อวิชา หากว่ามีชื่อวิชา ข้าคงไปสืบหาเอาเองแต่แรกแล้ว จำเป็นต้องมาให้ท่านเดาอีกหรือ?”

ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “นับตั้งแต่เจ้าเข้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จนถึงตอนนี้ เป็นระยะเวลาไม่กี่ปีเท่านั้น แต่เจ้ากลับมีสภาวะถึงระดับนี้ได้ ดูเหมือนวิชาที่เจ้าฝึกจะไม่ธรรมดาเลยนะ!”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “ท่านก็ยกย่องเกินไปแล้ว เขาไม่เพียงแต่จะถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้ข้าเท่านั้น แต่ยังถ่ายโอนสภาวะส่วนหนึ่งมาให้ข้าตรงๆ ด้วย มิเช่นนั้นตัวข้าไหนเลยจะมีสภาวะเช่นในวันนี้ได้ เผลอๆ จะบรรลุถึงระดับสร้างฐานได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ”

“ถ่ายโอนสภาวะให้เจ้าโดยตรงหรือ?” ลิ่งหูชิวแปลกใจ พลันลุกพรวดขึ้นมา ร้องเสียงหลงว่า “มหาศาสตร์เบิกวิถีแห่งนิกายมาร!”

เดิมทีหนิวโหย่วเต้าก็แค่อ้างไปเรื่อยเท่านั้น ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงขนาดนี้ จึงอดถามไม่ได้ว่า “มหาศาสตร์เบิกวิถีอะไร?”

“มันคือวิชาที่ถ่ายโอนสภาวะให้เจ้าโดยตรงได้ วิชาที่สามารถถ่ายทอดพลังไปให้คนอื่นได้โดยที่ควบคุมและขจัดข้อบกพร่องในปราณแท้ออกไปแล้ว นอกจากมหาศาสตร์เบิกวิถีของนิกายมาร ข้าก็นึกอะไรอย่างอื่นไม่ออกแล้ว” ลิ่งหูชิวว่าพลางตบมือดังฉาดด้วยความตื่นเต้น “น้องสาม ข้าว่าข้ารู้แล้วว่าคนที่ถ่ายทอดวิชาให้เจ้าคือผู้ใด จ้าวสยงเกอ!”

หนิวโหย่วเต้ากะพริบตาปริบๆ จากลักษณะรูปพรรณสัณฐานที่เล่าไปในตอนแรก อีกฝ่ายไม่ได้คาดคิดไปถึงจ้าวสยงเกอเลย แต่ไม่นึกเลยว่าแค่คำกล่าวอ้างเลื่อนลอยกลับทำให้อีกฝ่ายนึกเชื่อมโยงไปถึงจ้าวสยงเกอขึ้นมาได้

ที่เขาไม่กล่าวถึงหน้าตาของจ้าวสยงเกอ ประการแรกเป็นเพราะเขาไม่รู้จักหน้าตาของจ้าวสยงเกอ ประการที่สองคือไม่อยากพูดให้ชัดเจนนักเพื่อจะได้เหลือทางถอยไว้ให้ตัวเอง หากวันไหนเผชิญหน้ากับจ้าวสยงเกอเข้าจริงๆ จะได้ปฏิเสธได้ มิเช่นนั้นจะหาทางลงให้ตัวเองไม่ได้

“ท่านกำลังพูดถึงจ้าวสยงเกอแห่งยอดเขาภูตมาร อดีตศิษย์ที่ถูกขับออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์น่ะหรือ?” หนิวโหย่วเต้าลองเอ่ยถาม

ลิ่งหูชิวตบไหล่เขาพลางกล่าวว่า “น้องสาม เจ้าลองคิดดูสิ คนที่สามารถบุกเข้าไปในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์โดยหลบเลี่ยงหูตาของคนในสำนักจนไปถึงที่พักของตงกัวเฮ่าหรานได้ ถ้าไม่ใช่คนที่รู้จักสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นอย่างมาก ก็ต้องเป็นเพราะคนในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีเจตนาปล่อยเขาเข้าไป แล้วเหตุใดสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ต้องปล่อยเขาเข้าไปล่ะ? ก็เป็นเพราะเขาคือคนที่ทางสำนักรู้จักเป็นอย่างดีอย่างไรล่ะ! ประเด็นที่สอง เพราะเจ้าคือศิษย์ของตงกัวเฮ่าหรานถึงได้ถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้เจ้า ซ้ำยังถ่ายโอนสภาวะให้เจ้าโดยตรงอีก แสดงว่าเขาต้องเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับตงกัวเฮ่าหราน เพราะว่าจ้าวสยงเกอและตงกัวเฮ่าหรานเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมอาจารย์ ภาพลักษณ์ภายนอกในปัจจุบันของจ้าวสยงเกอก็ผมเผ้ารุงรังกระเซอะกระเซิงตามที่เจ้าเล่ามาพอดี ประเด็นสำคัญที่สุดคือจ้าวสยงเกอคือคนที่อาจจะใช้มหาศาสตร์เบิกวิถีได้จริงๆ เมื่อนำปัจจัยต่างๆ มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าคนผู้นี้ก็คือจ้าวสยงเกอแห่งยอดเขาภูตมาร!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เป็นไปไม่ได้กระมัง! จ้าวสยงเกอถูกขับออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปแล้วนี่”

ลิ่งหูชิวเล่าว่า “หรือเจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องที่ก่อนหน้านั้นสำนักเซียนสถิตบุกไปหมายกวาดล้างสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แต่ผลสุดท้ายกลับถูกจ้าวสยงเกอขู่ขวัญจนล่าถอยไป อูเซ่าฮวนแขนเดียวคนนั้นเจ้าก็เคยพบแล้ว จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าจ้าวสยงเกอยังคงมีเยื่อใยให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่เขาจะไปเคารพส่งวิญญาณศิษย์พี่ของตน”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไปว่า “หากว่าจ้าวสยงเกอห่วงใจสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จริง สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไหนเลยจะถูกกดดันจนต้องละทิ้งถิ่นฐานบรรพชนหลีกลี้ไปไกล? อีกอย่างข้าเคยสอบถามสำนักเซียนสถิตแล้ว ครั้งนั้นที่บุกไปหมายถล่มสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ อันที่จริงคนของสำนักเซียนสถิตมิได้พบจ้าวสยงเกอเลย จ้าวสยงเกอไม่ได้เผยตัวออกมาจริงๆ ด้วยซ้ำ เห็นเพียงโห่วขนทองตัวหนึ่งก็เลยตกใจกลัวเท่านั้น”

ลิ่งหูชิวโบกมือพลางเอ่ยว่า “คำพูดนี้กล่าวผิดไปแล้ว จ้าวสยงเกอเป็นใครเล่า? หนึ่งในยอดฝีมือชั้นแนวหน้าในใต้หล้า แค่สำนักเซียนสถิตสำนักเดียว จำเป็นต้องให้จ้าวสยงเกอออกหน้าเองเสียที่ไหน แค่สัตว์พาหนะของจ้าวสยงเกอออกมาขู่ขวัญก็มากพอแล้ว! อีกอย่างถึงอย่างไรจ้าวสยงเกอก็ถูกขับออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว การที่เขาจะไม่ออกหน้าเองก็สมเหตุสมผลอยู่”

“น้องสาม ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย ประเด็นสำคัญคือมหาศาสตร์เบิกวิถีแห่งนิกายมารที่เขาใช้ถ่ายทอดวิชาให้เจ้านั่นน่ะ! ว่ากันว่าในอดีตจ้าวสยงเกอได้ผูกสมัครรักใคร่กับเทพีแห่งนิกายมาร จึงถูกต่อต้านจากทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรม หลังจากเทพีแห่งนิกายมารสิ้นชีพ จู่ๆ สภาวะของจ้าวสยงเกอก็ก้าวหน้าเพิ่มพูนอย่างฉับพลัน บุกตะลุยโจมตีสำนักสิบกว่าแห่งด้วยตัวคนเดียวเพื่อล้างแค้นให้เทพีแห่งนิกายมาร สังหารเข่นฆ่ายอดฝีมือตายเป็นเบือเสมือนบ้าคลั่งไปแล้วก็มิปาน สร้างชื่อสะท้านสะเทือนทั่วหล้า! ตอนนั้นก็มีคนนึกสงสัยถึงสาเหตุที่สภาวะของจ้าวสยงเกอเพิ่มขึ้นฉับพลันเช่นกัน เป็นไปได้ว่าเทพีนิกายมารจะใช้มหาศาสตร์เบิกวิถีแห่งนิกายมารถ่ายโอนสภาวะทั้งหมดในร่างไปให้เขา ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ!”

“…..” หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก เขาไม่ได้รู้เรื่องราวของจ้าวสยงเกอมากนัก

เขาเคยอ่าน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ ในนั้นมีประวัติเรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้อาวุโสในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่ไม่น้อย แต่ดูเหมือนข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจ้าวสยงเกอจะถูกลบทิ้งไปทั้งหมด ไม่เอ่ยถึงเลยแม้แต่อักษรเดียว แม้แต่ในผังทำเนียบศิษย์ของเจ้าสำนักแต่ละรุ่นก็ไม่มีชื่อของจ้าวสยงเกอบันทึกอยู่

อีกทั้งชื่อเสียงของจ้าวสยงเกอก็เปรียบได้กับดาวหางที่พุ่งทะยานผ่านท้องนภายามราตรี เจิดจรัสโดดเด่น สร้างชื่อสะท้านแผ่นดินด้วยศึกใหญ่หลายต่อหลายครั้ง หลังจากนั้นก็เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินว่าปลีกวิเวกอยู่บนยอดเขาภูตมารอย่างสันโดษ แทบไม่ปรากฏเบาะแสของเขาขึ้นในโลกบำเพ็ญเพียรอีกเลย เหลือไว้เพียงตำนานเล่าขานบทหนึ่ง

สำหรับต้นสายปลายเหตุของตำนานบทนั้น ดูเหมือนจะมีเพียงผู้อยู่ในเหตุการณ์ในเวลานั้นเท่านั้นที่ทราบชัดเจน ส่วนคนอื่นๆ ที่รู้เรื่อง เนื่องจากหวาดหวั่นในพลังของจ้าวสยงเกอ ดูเหมือนจะไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว จึงไม่ยอมเอ่ยถึงอีก

.”ใช่แล้ว น้องสาม จ้าวสยงเกอถูกขับออกจากสำนักหลายปีแล้ว เหตุใดถึงเอาของต่างหน้าของตงกัวเฮ่าหรานไปด้วยเล่า?”

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? พี่รอง วาจาไม่อาจกล่าวส่งเดชได้ ข้าไม่ได้พูดเลยนะว่าคนผู้นั้นคือจ้าวสยงเกอ เป็นท่านคาดเดาส่งเดชเอาเองทั้งนั้น”

“ได้ๆๆ ข้าเดาส่งเดชไปเอง ต่อให้ไม่ใช่เขาก็เถอะ เหตุใดต้องเอาของต่างหน้าไปด้วย หรือว่าในบรรดาของต่างหน้าเหล่านั้นจะมีของสำคัญอันใดอยู่?”

“ไหนเลยจะมีของสำคัญอันใดได้”

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าไม่มีของสำคัญอันใด?”

“ข้าอาศัยอยู่ในเรือนดอกท้อเพียงลำพัง ของต่างหน้าที่ตงกัวเฮ่าหรานเหลือทิ้งไว้ไม่ว่าสิ่งใดข้าล้วนเคยค้นดูหมดแล้ว ไม่มีของพิเศษอันใดเลย”

“ของต่างหน้าทั้งหมดมีอะไรบ้าง มิสู้ลองเล่ามาหน่อย ข้าจะได้ช่วยเจ้าดูให้” ดวงตาลิ่งหูชิวฉายแววคาดหวังนิดๆ แทบอยากถามออกไปตรงๆ แล้วว่ามี ‘คันฉ่อง’ สักบานหรือไม่ ทว่าหากถามไปตรงๆ ล่ะก็ นั่นจะต้องทำให้หนิวโหย่วเต้าเกิดความสงสัยแน่นอน ดังนั้นจึงต้องเลี่ยงถามอย่างอ้อมๆ

เขาเองก็สงสัยเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้ารู้ถึงการมีอยู่ของคันฉ่องบานนั้นหรือไม่ หากว่ามีอยู่จริงๆ ก่อนตงกัวเฮ่าหรานจะตายคงไม่ยกให้หนิวโหย่วเต้าสืบทอดแน่ๆ แต่จะต้องสั่งให้หนิวโหย่วเต้านำไปส่งมอบให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์แน่นอน หากว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้คันฉ่องบานนั้นไปแล้วจริงๆ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่มีทางปล่อยให้หนิวโหย่วเต้ารอดชีวิตออกมาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้

มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือสำนักสวรรค์พิสุทธิ์รวมถึงหนิวโหย่วเต้าล้วนไม่ทราบว่าในบรรดาของต่างหน้าที่เหลืออยู่ของตงกัวเฮ่าหรานมีสิ่งของพิเศษอันใดอยู่ด้วย

แต่แน่นอน มันยังมีความไปได้อยู่อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือตงกัวเฮ่าหรานไม่ได้มีของชิ้นนั้นอยู่แต่แรกแล้ว เป็นตนที่คิดมากไปเอง ดังนั้นเขาต้องยืนยันให้แน่ใจสักหน่อย หากว่าในบรรดาของต่างหน้าของตงกัวเฮ่าหรานที่จ้าวสยงเกอเอาไปมีคันฉ่องบานหนึ่งอยู่ด้วยจริงๆ เช่นนั้นมันก็น่าสงสัยอย่างมาก

บนโลกนี้มีคันฉ่องอยู่มากมาย แต่เท่าที่เขารู้มา สำหรับคนนอกที่ไม่ทราบเรื่องราวไม่มีทางมองออกว่าบนคันฉ่องบานนั้นมีจุดที่พิเศษอันใดอยู่ แล้วทำไมจ้าวสยงเกอถึงต้องเอาคันฉ่องที่ดูธรรมดาสามัญบานหนึ่งไปด้วย? หากว่ามีอยู่จริง เช่นนั้นจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน!

แต่ใครจะไปรู้ว่าหนิวโหย่วเต้ากลับดื่มน้ำชาเข้าไปอึกหนึ่ง ถอนหายใจพลางเอ่ยออกมาว่า “จะมีของสำคัญอันใดหรือไม่ สำหรับข้าแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ของๆ ข้าอยู่แล้ว หากว่ามีของสำคัญอยู่จริง หากว่าจ้าวสยงเกอนำไปด้วยจริงๆ ข้าก็ไม่มีความสามารถพอจะแย่งกลับมาจากเขาได้อยู่ดี จะเอ่ยถึงเขาไปไย อย่าเอ่ยถึงเลยดีกว่า จะได้ไม่ชักนำปัญหายุ่งยากมา อีกอย่าง สำนักโทรมๆ อย่างสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะมีของสำคัญอันใดได้”

…………………………………………………………….