บทที่ 342 งูเจ้าถิ่นก็ต้องตาย

เสิ่นหงเหวินยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก ทั้งลงโทษสมุนทั้งหมดของเมิ่งซื่อ ทั้งต้องจัดการเอกสารที่ตอนนี้กองเป็นภูเขา จึงลืมเตรียมที่พักให้องค์หญิงใหญ่เซี่ยวั่งซูไปเสียสนิท

โชคดีที่เซี่ยวั่งซูรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้ตั้งใจ เพียงแค่ไม่รู้จะจัดการเรื่องทั้งหมดอย่างไร ดังนั้นจึงได้หาห้องในจวนผู้ว่าเอง จากนั้นก็สั่งให้คนทำความสะอาดเพื่อให้ตัวนางและเผยจี้ฉือได้พักผ่อน

จางหยวนเฉียวพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่งก็ออกไปดูร้านยาในหลูโจว และถามเกี่ยวกับโกดังเก็บสมุนไพร รวมทั้งสำรวจความเป็นอยู่ของราษฎร เพราะมีน้ำขึ้นทุกสามถึงห้าวัน หลูโจวจึงมีคนท้องร่วงและมีไข้สูงมากกว่าเมืองอื่น ๆ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก

รอจนกระทั่งหม่าซานเหนียงและเสิ่นเยี่ยนชิวไปซื้อเครื่องนอนกลับมา และจัดการที่พักให้พวกเซี่ยวั่งซูเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสิ่นหงเหวินจึงนึกถึงเรื่องกองกำลังหลูโจวขึ้นมาได้

เสิ่นหงเหวินรีบวิ่งไปหาเซี่ยวั่งซูทันที ขณะนั้นหม่าซานเหนียงกำลังพูดคุยและหัวเราะเสียงดังอยู่ในห้องโถง เมื่อเห็นเสิ่นหงเหวินรีบวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าตื่นตระหนกก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา

“เหตุใดเจ้าถึงทำหน้าตาเช่นนี้ ใครที่ไม่รู้คงคิดว่ามีน้ำทะลักเข้ามาเป็นแน่!”

แม้ตอนนี้จะมีข่าวลือเช่นนี้ในเมืองหลูโจว แต่ทุกคนก็ล้วนเป็นคนท้องที่ ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์บนเขื่อนจะเป็นเช่นไร บางคนจึงตัดใจขายทรัพย์สินของบรรพบุรุษแล้วหนีไป บางคนยังอยากรอดูสถานการณ์ต่ออีกหน่อย คิดว่าหากราชามังกรน้ำเปลี่ยนเส้นทาง เช่นนั้นหลูโจวก็รอดแล้ว

ดังนั้นการหาซื้อของจึงหาซื้อได้ยากมาก เพราะร้านค้าต่างก็ปิดไปจนเกือบหมด

เสิ่นหงเหวินหอบเล็กน้อย ก่อนจะรีบคารวะเซี่ยวั่งซู “กระหม่อมลืมเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ฉินเถี่ยซานหัวหน้ากองกำลังทหารของเรากับเมิ่งซื่อเป็นพวกเดียวกัน ในเมืองหลูโจวเรียกได้ว่าฝ่ามือเดียวปิดฟ้า* เมิ่งซื่อตอนนี้ติดคุก ฉินเถี่ยซานผู้นั้นไม่มีทางมองดูอยู่เฉย ๆ อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

เพราะตีกระดูกหักก็เชื่อมไปถึงเส้นเอ็น** ฉินเถี่ยซานทำอะไรลับหลังเอาไว้บ้าง เมิ่งซื่ออาจจะคายออกมาจนหมดก็ได้

* ฝ่ามือเดียวปิดฟ้า (一手遮天) หมายถึง การใช้อำนาจหรือกลวิธีตบตาประชาชน

** ตีกระดูกหักก็เชื่อมไปถึงเส้นเอ็น (打断了骨头连着筋) หมายถึง คนที่มีความผูกพันแน่นแฟ้น มิอาจตัดขาดกันได้

ปกติแล้วเขาไม่ได้คบค้าสมาคมกับฉินเถี่ยซาน จึงทำให้ลืมเรื่องสำคัญนี้ไปเสียสนิท

เซี่ยวั่งซูได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับรู้ “ค่ายทหารของฉินเถี่ยซานผู้นั้นอยู่ที่ใด? ไกลจากตัวเมืองหรือไม่ และมีทหารอยู่เท่าใด?”

โดยทั่วไปแล้ว พื้นที่อย่างเมืองหลูโจวมีกองกำลังรักษาการณ์ห้าพันนายก็นับว่ามีเยอะมากแล้ว เพราะที่ตั้งอยู่ภายในด่าน ไม่ใช่พื้นที่ทางทหารที่สำคัญ หากมีจำนวนทหารมากเกินไปจะทำให้เสบียงของทหารไม่เพียงพอ

“แต่เดิมมีเพียงสามพันคนพ่ะย่ะค่ะ แต่หลังจากที่ฉินเถี่ยซานมารับตำแหน่งก็เปิดรับสมัครเพิ่มอีกสองพันคน เรียกว่ากร่างคับเมืองหลูโจวเลยก็ว่าได้ ค่ายทหารเดิมควรประจำการในพื้นที่โล่งนอกเมือง แต่พวกเขากลับปิดล้อมพื้นที่ของชาวบ้านและขับไล่ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเนินเขาออกไป” เสิ่นหงเหวินพูดขึ้นมาก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก

“แต่เจ้าฉินเถี่ยซานกลับเป็นคนต่ำช้าที่ตีฝีปากเก่ง กระหม่อมไปเจรจากับเขาหลายครั้ง ทุกครั้งเขามักบอกว่าจะสั่งลงโทษสถานหนักให้ ทว่าสุดท้ายแล้วคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดก็คือเขา ราชสำนักไม่สนใจเรื่องนี้ ฎีกาที่ส่งขึ้นไปก็ราวกับหินที่จมหายไปในมหาสมุทร กระหม่อมเองก็ถูกฉินเถี่ยซานกลั่นแกล้งอยู่หลายครั้ง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย เรื่องนี้เจ้าร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ เมิ่งซื่อเกิดเรื่องต้องมีคนหาวิธีแจ้งข่าวแก่ฉินเถี่ยซานแน่ รอดูไปก่อนเถอะ”

เสิ่นหงเหวินไม่ได้มองโลกในแง่ดีเช่นนั้น “องค์หญิงใหญ่ พระองค์ไม่รู้อะไร คนเลอะเลือนอย่างฉินเถี่ยซานไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็กล้าทำทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยวั่งซูยกยิ้มมุมปาก “อย่างนั้นหรือ ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่างูเจ้าถิ่นของหลูโจว จะสามารถสร้างลมฝนได้มากเพียงใดกัน”

ขณะเดียวกัน หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อกำลังบินวนอยู่เหนือเมืองหลูโจว จากนั้นก็บินไปทางทิศตะวันตก เหยี่ยวที่มีสายตาเฉียบคมมองไปรอบ ๆ ปากก็คาบจดหมายที่เซี่ยวั่งซูเขียนด้วยตัวเองเอาไว้

และไม่ไกลจากเมืองหลูโจว ฉินเถี่ยซานและพรรคพวกได้มาถึงหลักเขตแดนแล้ว หากไปต่ออีกก็จะเป็นเขตของเมืองอื่นแล้ว ตามกำหนดการ ข่านของถู่เจียควรมาถึงแล้ว

“ท่านแม่ทัพ ท่านว่าท่านข่านของถู่เจียหน้าตาเหมือนพวกเราหรือไม่ขอรับ?”

ฉินเถี่ยซานปรายตามองทหารชั้นผู้น้อยผู้นั้น “ใครจะไปรู้เล่า อย่างไรเสียองค์ชายสามก็ทรงมีรับสั่งให้ต้อนรับอย่างดี อีกอย่าง เสด็จแม่ของเขาก็คือองค์หญิงใหญ่ของต้าจิ้น ต่อให้เป็นลูกนอกสมรสของถู่เจีย ก็คงมีรูปร่างเหมือนมนุษย์อยู่ไม่มากก็น้อย”

ทันทีที่ฉินเถี่ยซานเอ่ยออกมา ก็ทำให้ทหารชั้นผู้น้อยต่างส่งเสียงหัวเราะออกมา

“เลิกหัวเราะได้แล้ว รีบไปดูด้านหน้าสิว่าพบร่องรอยของคณะทูตบ้างหรือไม่ ข้าจะไปพักผ่อนสักครู่”

สภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้เขาไม่อยากจะออกมาจริง ๆ หากรู้ว่าข่านผู้นั้นจะมาช้าเพียงนี้ ไม่สู้นอนกกอนุที่ได้มาใหม่อยู่ที่จวนยังจะดีเสียกว่า

ฉินเถี่ยซานเพิ่งหาร่มไม้ได้ก็มีคนรีบขี่ม้าเข้ามา มองแวบเดียวก็รู้ว่ามาจากค่ายทหารของเขาเอง

“ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพแย่แล้วขอรับ”

ฉินเถี่ยซานเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “มีอะไรอีก?”

เมืองหลูโจวยังจะมีเรื่องเลวร้ายอะไรได้อีก?

“ผู้ว่าการเมิ่งถูกคนจับเข้าคุกไปแล้วขอรับ ตอนนี้เมืองหลูโจววุ่นวายอย่างมาก ประตูเมืองปิดสนิท ภายในที่ว่าการตอนนี้มีแต่คนของเสิ่นหงเหวินเต็มไปหมดเลยขอรับ”

ฉินเถี่ยซานดวงตาเบิกโพลง ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืนทันที “เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ? ใครเป็นคนมาแจ้งข่าว?”

“เป็นผู้คุมของที่ว่าการขอรับ บอกว่าผู้ว่าการเมิ่งสั่งให้เขามาบอก ตอนนี้คนในครอบครัวของผู้ว่าการเมิ่งล้วนอยู่ในคุก แม้แต่บ้านก็ถูกรื้อค้นด้วยขอรับ”

เมิ่งซื่อกับเขามีผลประโยชน์ต่อกัน การค้าหลายอย่างล้วนฝากฝังเมิ่งซื่อไว้

ค้นบ้านของเมิ่งซื่อ นั่นไม่เท่ากับเขาฉินเถี่ยซานผู้นี้ก็ต้องซวยไปด้วยอย่างนั้นหรือ ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจท่านข่านของถู่เจียอะไรนั่นแล้ว “มัวอึ้งอะไรอยู่ รีบกลับไปจัดการสิ!”

“แต่พวกเราต้องรอรับท่านข่านไม่ใช่หรือขอรับ?”

ฉินเถี่ยซานปาดเหงื่อบนหน้าผากด้วยความร้อนใจ แขกคนสำคัญขององค์ชายสามก็ไม่สามารถละเลยได้ แต่หากกลับไปช้าเกิดเมิ่งซื่อตายขึ้นมา เช่นนั้นก็จะยิ่งลำบาก

ยังมีนางโจรเฒ่าที่แอบอ้างเป็นองค์หญิงใหญ่ในเมืองนั่นอีก หากให้ท่านข่านรู้ว่ามีโจรกล้าแอบอ้างเป็นเสด็จแม่ของเขาเช่นนี้ แล้วเกิดพิโรธขึ้นมามิเท่ากับว่าเขาจะถูกตำหนิหรอกหรือ?

ฉินเถี่ยซานคิดไปคิดมาก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก สุดท้ายก็กัดฟันแล้วเอ่ยขึ้นว่า “กลับเมืองหลูโจวก่อน ทางนี้ให้พวกเจ้าคอยรับหน้าเอาไว้ บอกว่ามีโจรอาละวาดข้าจึงต้องรีบกลับไปปราบโจร!”

ฉินเถี่ยซานตัดสินใจเสร็จก็ขึ้นม้าทันที ทว่ายังไม่ทันสะบัดแส้ม้า ก็ได้ยินทหารชั้นผู้น้อยรายงานว่า “คณะทูตอยู่ด้านหน้า อีกสามสิบจั้งก็มาถึงแล้วขอรับ!”

ฉินเถี่ยซานขมวดคิ้ว “เจ้าแน่ใจว่ามองดูดี ๆ แล้วใช่หรือไม่? ไม่ใช่คาราวานพ่อค้าใช่หรือไม่?”

“ไม่ผิดแน่ขอรับ มีธงของถู่เจีย คนทั้งกลุ่มสวมเสื้อผ้าไม่เหมือนกับพวกเรา”

“มากันกี่คน?”

“ทหารถู่เจียประมาณสามพันคน ยังมีผู้ติดตามอีกกลุ่มใหญ่ด้วยขอรับ”

นี่เป็นท่านข่านแน่นอน ทหารจำนวนมากปกติแล้วไม่สามารถเข้าเขตแดนมาได้ การที่ทหารหลายพันคนสามารถเข้ามาได้ มีเพียงมิตรประเทศเท่านั้นที่ได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้

คราวนี้ฉินเถี่ยซานจึงกลับไปไม่ได้อีกแล้ว เขาค่อยพาท่านข่านไปจับนางโจรแก่ที่แอบอ้างเป็นองค์หญิงใหญ่เองก็แล้วกัน

“ตามข้าไปต้อนรับท่านข่าน”

ให้เขารอก็รอไม่ไหวอยู่ดี ไม่สู้ไปหาด้วยตัวเองเสียยังดีกว่า

ฉินเถี่ยซานบทจะไปก็ไป เขาควบม้านำคนไปรอต้อนรับ ก่อนจะเห็นว่ามีทหารม้ากลุ่มหนึ่งอยู่ไกลออกไป ท่าทางน่าเกรงขาม ชายร่างกำยำสองคนที่เป็นผู้นำยืนอยู่คนละด้าน มือถือค้อนเหล็ก ด้านหลังตามมาด้วยชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมเสื้อผ้าหรูหราและดูแปลกตา ผมยาวของเขาถูกถักเป็นเปียเส้นเล็ก ๆ สองด้าน มีต่างหูยาวห้อยอยู่ที่หูของเขา และกำลังหยอกล้อกับนกเหยี่ยวล่าเหยื่อตัวอ้วนกลมที่เกาะอยู่บนบ่า

.