บทที่ 300 ยักษ์ทองแดงทั้งสิบสอง
แค่คิดถึงเรื่องนี้นางก็เลือดขึ้นหน้า นางกำลังจะระเบิดอารมณ์ใส่ แต่ซูอันกลับดึงนางเข้าไปตรงกลางของค่ายกลเสียก่อน จากนั้นก็มีประกายแสงระเบิดวาบและวิสัยทัศน์ในการมองเห็นของพวกเขาก็พร่ามัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นพวกเขารู้สึกเหมือนตกลงไปในหลุมในสภาพไร้น้ำหนัก
จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักว่าไม่ได้อยู่ในวังใต้ดินอีกต่อไป แต่เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่งดงาม มีกำแพงเมืองสูงตระหง่านและประตูเมืองใหญ่โต ราวกับเมืองในสมัยโบราณ
“โว้ว ๆ ช่างใหญ่โตอะไรขนาดนี้!” ซูอันอุทาน
เฉียวเสวี่ยอิงหน้าแดง
ไอ้เวรนี่ ไปมองหน้าอกใครอีก หืม? เดี๋ยวก่อน จะมีผู้หญิงหน้าอกใหญ่อยู่ในผนึกค่ายกลได้ยังไง?
นางรีบเงยหน้าขึ้น เห็นซูอันกำลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้า นางจึงรีบมองตามเขาไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็ชะงักค้างไปชั่วขณะ
ก่อนถึงประตูเมืองมียักษ์ทองแดงขนาดมหึมาสิบสองตัวสะท้อนแสงแดดเจิดจ้า นั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่หน้าประตูเมือง แบ่งออกเป็นสองแถวโดยหันหน้าเข้าหากัน พวกมันสูงเกือบสามจั้งในท่านั่ง มีเท้ายาวอย่างน้อยเจ็ดฉื่อ โดยรวมแล้วพวกมันดูน่าเกรงขามอย่างเหลือเชื่อ
เฉียวเสวี่ยอิงโน้มตัวเข้าใกล้ซูอันเล็กน้อยก่อนถามอย่างพยายามทำใจให้สงบ “เราจะทำลายผนึกนี้ได้ยังไง?”
ซูอันคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “มันได้ชื่อว่าผนึกมนุษย์ ดังนั้นมันน่าจะปลอดภัยสำหรับมนุษย์…หรือเปล่า? แต่ข้าไม่เห็นมีมนุษย์รอบ ๆ นี้เลย หรือว่าเราต้องเข้าไปในเมืองก่อน?”
เฉียวเสวี่ยอิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าเห็นด้วย “งั้นเข้าเมืองไปดูกัน!”
เมื่อพิจารณาจากความสูงและความกว้างของกำแพงเมือง พวกเขาได้จินตนาการกันไว้เรียบร้อยว่าภายในน่าจะกว้างขวางใหญ่โต
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเดินไปที่ประตูเมือง พวกเขากลับไม่สามารถเปิดได้ไม่ว่าจะออกแรงผลักอย่างไร
ความแข็งแกร่งของซูอันเทียบได้กับชายฉกรรจ์มากกว่าร้อยคนในตอนนี้ ซึ่งน่าจะมากเกินพอที่จะเปิดประตูเมืองนี้ได้ อย่างไรก็ตามแม้ว่าทั้งสองจะช่วยกัน แต่ประตูเมืองก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย พวกเขาพยายามเคาะ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน
“งั้นข้าลองขึ้นไปดูด้านบนก่อนก็แล้วกัน!”
เฉียวเสวี่ยอิงถอยหลังไปหลายก้าวก่อนที่จะวิ่งและกระโดดไต่ขึ้นไปบนกำแพงเมือง
ถึงแม้ว่าผู้บ่มเพาะระดับห้าจะไม่สามารถบินได้ แต่พวกเขาสามารถเคลื่อนที่ในระยะทางไกลได้อย่างง่ายดายด้วยการก้าวกระโดด ซึ่งชวนให้นึกถึงทักษะชิงกง*[1] ที่มักพบเห็นในนวนิยายกำลังภายใน ซึ่งมันควรทำให้นางสามารถขึ้นไปบนยอดกำแพงเมืองได้อย่างง่ายดาย
แต่ในความเป็นจริงนางกลับกระโดดไปได้เพียงครึ่งระยะทางของความสูงของกำแพงเมือง แม้จะพยายามกระโดดให้สูงที่สุด
เมื่อเห็นเช่นนี้นางจึงเตะเท้าของนางไปที่กำแพงเมืองเพื่อกระโดดจังหวะที่สอง พร้อมกับการที่นางเรียกใช้เถาวัลย์พุ่งออกมาจากแขนเสื้อไปยึดที่ด้านบนของกำแพงเมือง
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนมันก็เหมือนกับว่ากำแพงเมืองสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ว่านางจะพยายามกระโดดขึ้นไปสูงแค่ไหน นางก็ไปได้แค่กึ่งกลางของกำแพงเมืองตลอดเวลา
ในท้ายที่สุด นางทำได้เพียงยอมแพ้และกระโดดกลับลงมา “กำแพงเมืองนี้มีบางอย่างผิดปกติ”
ซูอันเข้าใจว่านางหมายถึงอะไร เขาใช้เวลาคิดไตร่ตรองก่อนจะพูดว่า “เราลองกระแทกประตูเมืองดูมั้ย?”
ด้วยความแข็งแกร่งที่รวมกันของพวกเขา น่าจะเทียบได้กับเครื่องกระทุ้งประตูเมืองแบบโบราณที่ใช้กันทั่วไป
“ได้ ข้าจะลองดู!”
หลังจากความล้มเหลวในการปีนกำแพงเมืองก่อนหน้านี้ เฉียวเสวี่ยอิง กระตือรือร้นที่จะขอแก้มือ ผมของนางเริ่มยาวขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนพุ่งเข้าหาประตูเมืองอย่างรุนแรง
ซูอันได้ลิ้มรสความรุนแรงของ ‘แส้ผม’ มาก่อนแล้ว มันมีพลังมากพอที่จะฉีกกำแพงบ้านของเขาออกเป็นชิ้น ๆ ราวกับว่าพวกมันทำมาจากกระดาษ ซึ่งมันน่าจะมากเกินพอที่จะเจาะเข้าไปในประตูเมือง
แต่จู่ ๆ เมื่อผมของนางไปกระแทกกับประตูเมือง ก็มีเสียง ‘เคร้ง’ ก้องกังวาน แต่ประตูเมืองไม่ขยับเขยื้อนใด ๆ ทั้งสิ้น..
“หืม?” หญิงสาวตกตะลึง
นางกำลังพยายามลองอีกครั้ง
“หยุด! ดูข้างหลัง” เสียงของซูอันร้องเตือน
เฉียวเสวี่ยอิงหันกลับมาอย่างรวดเร็ว จึงได้เห็นว่ายักษ์ทองแดงทั้งสิบสองตัวที่นั่งอยู่ทั้งสองแถวซึ่งหันหน้าเข้าหากันก่อนหน้านี้ต่างก็หันมามองพวกนาง
ยักษ์ทองแดงเหล่านี้เริ่มลุกขึ้นยืน ซึ่งทำให้ความสูงของพวกมันเพิ่มขึ้นเป็นประมาณไม่ต่ำกว่าหกจั้งเศษ พวกมันเริ่มเดินมาหาทั้งสองคน
ภายใต้ฝีเท้าอันหนักหน่วงจนพื้นดินสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว ซูอัน กลืนน้ำลายในขณะที่เขากล่าวว่า “บัดซบ…ไอ้ยักษ์ทองแดงพวกนี้ถือว่าเป็น ‘มนุษย์’ ด้วยหรือไง?”
ซูอันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงประวัติศาสตร์ ว่ากันว่าหลังจากที่จิ๋นซีฮ่องเต้รวมพื้นที่ตอนกลางเข้าด้วยกัน เขาได้รวบรวมอาวุธทั้งหมดของศัตรูในเสียนหยางมาหลอมและสร้างรูปปั้นทองแดงขนาดมหึมาสิบสองตัว แต่ละตัวมีน้ำหนักมากกว่าแสนชั่ง และนำพวกมันไปไว้ในพระราชวัง
ในประเทศจีนโบราณ ทองแดงและทองคำถูกใช้สลับกัน ดังนั้นประติมากรรมทองแดงจึงถือเป็นประติมากรรมทองคำเช่นกัน ดังนั้นไอ้คำที่บอกว่า ‘น้ำหนักมากกว่าแสนชั่ง’ มันน่าจะเกินจริงเกินไป แต่ดูเหมือนว่าในโลกนี้มันอาจจะเป็นไปได้เพราะไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร ยักษ์ทองแดงที่อยู่ข้างหน้าเขาต้องมีน้ำหนักอย่างน้อยตัวละหลายหมื่นชั่งแน่นอน
“ระวัง!” เมื่อเห็นว่าซูอันยังคงนิ่งเฉย ในขณะที่ยักษ์ทองแดงกำลังจะพุ่งเข้ามาแล้ว เฉียวเสวี่ยอิงก็ดึงเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
เกิดเสียงดังสนั่น พื้นที่ที่พวกเขาสองคนยืนอยู่ก่อนหน้านี้ถูกยักษ์ทองแดงตัวหนึ่งเหยียบจนพังยับเยิน เมื่อมันยกเท้าออก พื้นดินก็ปรากฏเป็นรอยเท้าขนาดใหญ่หลงเหลืออยู่ หากซูอันและเฉียวเสวี่ยอิง หนีออกมาไม่ทันในชั่วอึดใจนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะมีระดับการบ่มเพาะที่ระดับสามหรือระดับที่ห้า พวกเขาจะถูกเหยียบจมดินอย่างแน่นอน
“เจ้าเป็นหนี้ข้าอีกครั้งแล้ว!” เฉียวเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้น
“นี่ไม่นับ! ข้าหลบเองได้แม้ว่าเจ้าจะไม่ดึงข้าออกมา!” ซูอันโต้กลับ
“เจ้านี่มันไร้ยางอายจริง ๆ!” เฉียวเสวี่ยอิงก่นด่า
ในขณะที่พวกเขากำลังเถียงกัน ยักษ์ทองแดงอีกตัวเริ่มพุ่งเข้าหาพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงรีบหลบอีกครั้ง
ยักษ์ทองแดงทั้งหลายเปล่งประกายเจิดจ้า และดวงตาเล็กหรี่ของพวกมันก็แฝงแววน่าเกรงขามที่อธิบายไม่ได้ มีสัญลักษณ์แปลกๆ อยู่บนหน้าผากของพวกมัน ซึ่งคล้ายกับตัวเลข ‘1’ ถึง ’12’
เราจะเรียกยักษ์ทองแดงพวกนี้ว่า ยักษ์ทองแดงหนึ่ง ยักษ์ทองแดงสอง เรื่อยไปจนถึง ยักษ์ทองแดงสิบสองได้รึเปล่าหว่า? หืม เรียกแบบนี้ฟังดูเหมือนสำนักดอกบ๊วยเลยนี่นา
ขณะที่ใจของเขาล่องลอยไป เขาก็รีบวิ่งไปที่ด้านหลังของยักษ์ทองแดงที่อยู่ใกล้ที่สุด ซูอันรู้ว่าถึงแม้พวกยักษ์ทองแดงเหล่านี้จะดูน่ากลัว แต่การเคลื่อนที่ไปมาย่อมถูกจำกัด อิริยาบถเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การหันไปมาย่อมเชื่องช้าและงก ๆ เงิ่น ๆ
ซูอันใช้ความได้เปรียบจากความเชื่องช้าของยักษ์แล้วเตะไปที่ส้นเท้าของมัน
ยักษ์ทองแดงเหล่านี้มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าร่างกายที่ใหญ่โตของพวกมันกำลังหมุนอยู่บนส้นเท้า ทำให้เป็นหนึ่งในจุดอ่อนของพวกมัน หากทำให้มันเสียสมดุลย์การทรงตัวได้ มันย่อมล้มลงกับพื้น
แต่น่าเสียดายที่มีความแตกต่างระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติอยู่เสมอ
แม้จะจู่โจมอย่างเต็มกำลัง ยักษ์ทองแดงที่เขาโจมตีก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนใด ๆ ที่ส้นเท้าของมัน มิหนำซ้ำมันกลับมีแรงสะท้อนกลับซึ่งทำให้ขาของเขาแทบหักและปวดร้าวไปถึงกระดูก!
ทันใดนั้น เขาจำเรื่องตลกที่เคยอ่านในชีวิตก่อนหน้านี้ได้
มดเห็นช้างจมอยู่ในดินโดยเหลือเพียงขาเดียว กระต่ายที่เดินผ่านมาเห็นแล้วถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้าเงื้อขาขึ้นมาทำไม?”
มดจึงตอบว่า “ชิ! อย่าส่งเสียงดัง ข้าจะกระทืบขาช้าง!”
[1] คำศัพท์ที่ใช้ในนวนิยายกำลังภายใน หมายถึงทักษะการเคลื่อนไหวเหนือมนุษย์