บทที่ 369 เพลิงไหม้
ตอนนี้เถ้าแก่หลิวก็กำลังแอบยินดีอยู่จริง ๆ
โรงงานเฟอร์นิเจอร์ของเจ้าหย้าหนานถูกลอบวางเพลิงสองครั้ง ผู้อยู่เบื้องหลังคอยบงการคือเถ้าแก่หลิว เพียงแต่มันสำเร็จแค่ครั้งแรก ส่วนครั้งที่สองล้มเหลวเพราะอู๋ฝานเข้าขัดขวาง หลังรู้ว่าคนสองคนถูกจับตัวได้พร้อมหลักฐานส่งสถานีตำรวจ ในใจเขานั้นแตกตื่นอยู่พอสมควร เพราะกลัวว่าจะถูกสาวความมาถึง เถ้าแก่หลิวรู้ดีว่าคนทั้งสองจะจัดการได้ด้วยดี ไม่ขายตนเองอย่างแน่นอน
เพราะตั้งแต่แรกที่เถ้าแก่หลิวจ้างคนทั้งสองก็เพราะอาศัยเส้นสายที่รู้จักกัน ถ้าถูกจับได้ก็ขอให้พวกเขาออกหน้ารับความผิดไปก่อน หากทำสำเร็จ ภายหลังย่อมได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทั้งยังจะได้รับค่าชดเชยอย่างเหมาะสม แต่หากขายคนบงการ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับเงิน แต่เมื่อไหร่ที่ออกมาข้างนอก พวกเขาจะถูกตามล้างบัญชีหนี้แค้น
ทั้งจากคำมั่นและคำขู่ของเถ้าแก่หลิว ทำให้คนทั้งสองเลือกรับผิดชอบตามข้อตกลงเดิม เป็นเหตุให้ผู้บงการสามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้
“คิดจะจัดการไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ” เถ้าแก่หลิวเอนหลังนอนพิงเก้าอี้โยกภายในร้าน ความคิดในใจกำลังวนเวียน “แต่คนหนุ่มที่ชื่ออู๋ฝานนั่นก็เหลือเกิน ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ร้านของนางหนูนี่ได้ตกอยู่ในมือเราไปแล้ว ครั้งนี้งานผิดพลาดก็เพราะมัน ตัวบัดซบนี่โผล่หัวมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ คอยขัดแข้งขัดขาไม่จบไม่สิ้น!”
เถ้าแก่หลิวยิ่งคิดก็ยิ่งเกลียดชังอู๋ฝาน เพราะการปรากฏตัวของอีกฝ่าย ทำให้แผนการเข้ายึดร้านของเจ้าหย้าหนานต้องล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
‘ไม่ได้การแล้ว จะให้ไอ้หนูนั่นมาสร้างเรื่องอีกไม่ได้ ต้องหาคนไปสั่งสอนมัน ไม่งั้นคงไม่สามารถระบายความแค้นนี้!’ เถ้าแก่หลิวครุ่นคิดอยู่ในใจ
เถ้าแก่หลิวอย่างไรก็ไม่ใช่คนดี ขนาดมิตรสหายที่รู้จักมานาน เขายังลงมือเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ กับอู๋ฝานที่ขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่า เขาย่อมไม่ปล่อยเอาไว้รกหูรกตา โดยเฉพาะตอนนี้ที่ได้เห็นร้านของเจ้าหย้าหนานที่อยู่ข้าง ๆ นับวันยิ่งดูรุ่งเรืองมากขึ้น ในใจของเขาก็มีแต่จะยิ่งไม่ยินดี
เมื่อคิดได้ดังนั้น เถ้าแก่หลิวจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก พร้อมหันไปบอกกับผู้ช่วยในร้าน “เสี่ยวหยาง ฝากดูแลร้านด้วย ฉันจะออกไปข้างนอก”
“ครับเถ้าแก่” หลายคนในร้านตอบรับกลับมา
“ระวังเอาไว้ด้วย ไม่นานมานี้ที่ร้านเพิ่งนำเข้าไม้คุณภาพดีมา ถ้าเกิดอะไรผิดพลาด ขายชีวิตพวกแกยังไม่พอจ่าย!” เถ้าแก่หลิวเอ่ยเตือน
“ครับเถ้าแก่ พวกเราจะระวัง” คนงานภายในร้านตอบรับ
เถ้าแก่หลิวพยักหน้าตอบรับก่อนจะออกจากร้าน เพื่อเตรียมไปพบใครบางคน
“เหอะ! ไอ้แก่หลิว! สั่งได้สั่งดี”
เมื่อเห็นเถ้าแก่หลิวออกไปแล้ว กลุ่มคนที่รับคำกันเมื่อครู่ต่างเผยสีหน้าเกลียดชังและดูแคลนกันออกมา
“ไอ้แก่หลิวจอมงก คิดว่าจ่ายเงินค่าจ้างพวกเราทั้งวันเลยรึไง ครั้งก่อนเผลอหลับไปมันหักเงินฉันตั้งสองร้อย เลวเอ๊ย!”
“ถ้าไม่ชั่วพอจะเปิดโรงไม้ใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง? กระทั่งจัดฉากเล่นงานเพื่อนเก่า นับประสาอะไรกับพวกเรา?”
“ไอ้เลวใจคด!”
เถ้าแก่หลิวตระหนี่และมักจะใช้สารพัดข้ออ้างลดเงินลูกจ้าง ดังนั้นจึงไม่มีลูกจ้างคนใดชอบเขา กระทั่งทราบกันดีว่าอีกฝ่ายจัดฉากเล่นงานพ่อของเจ้าหย้าหนานอย่างไร เพราะทั้งสองร้านอยู่ใกล้กันขนาดนี้ เถ้าแก่หลิวมักจะจ้องร้านของหญิงสาวตาเป็นมัน คนงานทุกคนต่างก็เห็น เมื่อรวมเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน จึงไม่มีใครชอบเถ้าแก่เช่นนี้ ลับหลังพวกเขาก็พร้อมจะสบถคำก่นด่าหยาบคายมากมายออกมา
“พอก่อน ไม่ต้องพูดถึงไอ้แก่หลิวให้อารมณ์เสียแล้ว มาเล่นไพ่กันดีกว่า”
“มา มา หายากที่ไอ้แก่หลิวจะรีบออกไปตายที่ไหนก็ไม่รู้ มาเล่นไพ่กันดีกว่า คนชนะต้องเลี้ยงนะ”
“เอาสิ!”
คนงานเหล่านี้ไม่มีใครประทับใจหรือชื่นชอบอะไรในตัวเถ้าแก่หลิวแม้แต่คนเดียว รวมกับที่เถ้าแก่หลิวไม่เคยทำดีอะไรกับพวกตน ทั้งยังเล่นแง่ใส่อยู่บ่อยครั้ง พวกเขาจึงยิ่งมองว่าหากเกียจคร้านได้ก็จงทำ ไม่ได้มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งหรือส่วนใดของโรงไม้ทั้งสิ้น
เมื่อเถ้าแก่หลิวไม่อยู่ กลุ่มคนจึงเริ่มเล่นไพ่ จนกระทั่งช่วงเย็นใกล้พลบค่ำ ตอนที่ผู้ชนะต้องจ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มคนจึงเริ่มกินดื่มจนมึนเมาอยู่ภายในโรงไม้
โรงไม้แห่งนี้มีคนรับหน้าที่เปลี่ยนกะทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อคอยดูแลสถานที่ ปกติแล้วจะมีคนอยู่โยงเพียงแค่หนึ่งหรือว่าสองคน แต่ตอนนี้มีหลายคนยังอยู่เพราะนั่งเล่นไพ่ พวกเขาที่ไม่ได้เร่งรีบจะกลับบ้าน จึงตั้งวงร่ำสุรากันซะที่นี่
ส่วนเรื่องของโรงไม้ พวกเขาไม่มีใครเป็นห่วงหรือกังวลอะไร เพราะในอดีตไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้น อีกทั้งพวกเขายังอยู่กันเยอะแยะ จึงเชื่อว่าจะไม่มีหัวขโมยคนใดกล้าดีมาก่อเหตุ
แต่ขณะที่กลุ่มคนดื่มจนเมามาย และไม่ได้ตระหนักว่ามีร่างดำมืดแฝงตัวเข้ามาในโรงไม้ ฝ่ายนั้นจงใจหลบเลี่ยงระยะการมองเห็นของกล้องวงจรปิด เพื่อลักลอบเข้าถึงด้านนอกห้องที่กลุ่มคนกำลังตั้งวงร่ำสุรา และตอนนี้เองที่ร่างปริศนาดังกล่าวนำขวดใบหนึ่งออกมา ก่อนจะราดวัตถุไวไฟที่มีกลิ่นฉุนไปทั่ว จากนั้นจึงจุดไฟเผา
เมื่อเห็นไฟเริ่มก่อตัว ร่างนั้นพึมพำอะไรเล็กน้อยออกจากปาก และเพียงชั่วพริบตาก็เลือนหายไปจากสถานที่
“เฮ้ย ทำไมข้างนอกสว่างจัง?”
“มีใครจุดพลุฉลองอะไรรึไง?”
“พลุ? บ้าแล้ว! นั่นมันไฟไหม้!”
“แย่แล้ว ด้านนอกไฟไหม้!”
กลุ่มคนในห้องรักษาการณ์ที่ก่อนหน้านี้ตั้งวงดื่มกิน ตอนนี้ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัว พวกเขาถึงกับต้องหนีด้วยอาการแตกตื่น พร้อมทั้งได้เห็นว่าไม้ด้านนอกถูกเผาไฟลุกโชติช่วง กระทั่งลุกลามมาจนถึงบริเวณรอบนอกของห้องรักษาการณ์
“รีบดับไฟเร็วเข้า!” ทุกคนต่างร้องตะโกนดังออกมา
แต่ที่พวกเขาพบคือไฟที่ยิ่งโหมกระหน่ำลุกลามไปทั่วอย่างร้อนแรง อุปกรณ์ดับเพลิงที่โรงงานจัดเตรียมเอาไว้ไม่มีทางรับมือได้ไหว
“ไม่ได้แล้ว พวกเราต้องหนี ที่นี่ร้อนเกินไปแล้ว ถ้ายังอยู่พวกเราได้ถูกย่างสดแน่!”
“เออ หนีสิวะ!”
กลุ่มคนตระหนักว่าไม่อาจหยุดยั้งความร้อนแรงของๆฟที่แพร่กระจายได้ ดังนั้นความคิดแรกจึงเป็นการหาทางหนีจากที่นี่ ไม่ใช่การหาทางดับเพลิงเพื่อรักษาไม้ พวกเขาไม่ได้ผูกพันอะไรกับโรงแม้แห่งนี้ มีหรือจะยอมเอาชีวิตมาทิ้งเพราะเถ้าแก่แซ่หลิว?
หากเถ้าแก่หลิวทำดีกับพวกเขามาตลอด พวกเขาก็อาจจะมีความรับผิดชอบที่ดีกว่านี้ กระทั่งว่าอาจเห็นต้นเพลิงก่อนจะเกิดเหตุลุกลามซะด้วยซ้ำ ไม่ใช่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงและหาทางออกจากกองเพลิง
น่าเสียดายที่เถ้าแก่หลิวไม่เคยทำดีกับพวกเขา พวกเขาจึงไม่เคยใส่ใจโรงไม้นี้แม้แต่นิดเดียว มันจึงทำให้เกิดเรื่องนี้เกิดขึ้น และหลังได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ พวกเขาก็พร้อมจะหนีโดยไม่ลังเล หากต้องเสี่ยงชีวิตดับไฟ พวกเขาตัดสินใจเลือกหลบหนีดีกว่า!
ไฟเริ่มลุกลามใหญ่โตมากขึ้นและมากขึ้น เพราะกลุ่มคนทิ้งความคิดที่จะดับเพลิงเป็นที่เรียบร้อย ทำให้คนที่ดูเหตุการณ์อยู่ต้องตกใจพอสมควร เพราะเดิมนั้นคนวางเพลิงคิดเพียงแค่จุดไฟเผาไม้เล็กน้อยในโรงไม้ อย่างไรโรงไม้แห่งนี้ก็มีคนงานอยู่มาก ด้วยจำนวนคนย่อมสามารถตรวจพบต้นเพลิงและควบคุมเพลิงได้ทันเวลา เรื่องที่เกินคาดคือการที่กลุ่มคนงานตอบสนองอย่างเหนือความคาดหมาย