บทที่ 370 ฝนกระหน่ำอย่างกะทันหัน

ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก

บทที่ 370 ฝนกระหน่ำอย่างกะทันหัน

เพลิงลุกไหม้แผ่ขยายวงกว้างออกไปเพราะคนงานเลือกละทิ้งสถานที่ พวกเขาที่หลบหนีออกจากโรงไม้กันเรียบร้อยแล้ว ผลที่ตามมาย่อมไม่ต้องคาดเดา และพวกเขาก็ไม่คิดใส่ใจด้วยเช่นกัน

ที่นี่คือตลาดค้าไม้ เถ้าแก่หลิวเป็นหนึ่งในเถ้าแก่ของตลาดที่อาจจะครอบครองส่วนแบ่งของตลาดใหญ่ไปบ้าง ทว่าสองฟากก็คือโรงไม้อื่น ๆ และข้าง ๆ ย่อมเป็นร้านที่เถ้าแก่หลิวคิดช่วงชิงจากเจ้าหย้าหนาน ซึ่งปัจจุบันมีเจ้าของเป็นอู๋ฝาน

เพลิงลุกไหม้โหมกระหน่ำ โรงไม้ของเถ้าแก่หลิวถูกเผาวอดวาย ร้านข้างเคียงก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้ คนงานของร้านเจ้าหย้าหนานก็เห็นสถานการณ์นี้นานแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงโทรแจ้งสถานีดับเพลิง แต่กว่าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจะมาถึงก็ต้องใช้เวลา และตอนนี้เพลิงก็ลุกลามจนไม้บางส่วนในพื้นที่เริ่มไหม้ไปบ้างแล้ว

สองคนงานในโรงไม้ของเจ้าหย้าหนานไม่ได้หนีเช่นคนงานของเถ้าแก่หลิว พวกเขากำลังต่อสู้ด้วยการดับเพลิง แต่ไฟโหมกระหน่ำรุนแรงเกินไป แม้พวกเขาทั้งสองจะพยายามดับเพลิงอย่างเต็มความสามารถ ทว่าผลที่ได้กลับเล็กน้อย และการจะเคลื่อนย้ายทรัพย์สินหลบหนีก็สายเกินไปแล้วเช่นกัน ทำให้ตอนนี้ไม้บางส่วนเริ่มโดนเผาไหม้แล้ว

“ทำยังไงดี? ต้องทำยังไง?” คนทั้งสองต่างก็ร้อนใจ แต่ไม่อาจคิดหาทางออกอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาตรงหน้าได้

อย่างไรสถานการณ์นี้ก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน มันเกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมได้ ทำให้ตอนนี้ทั้งสองต้องตัดสินใจอย่างกล้ำกลืนภายใต้หายนะที่คืบคลานเข้ามา

ขณะคนทั้งสองไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับเพลิงที่ลุกไหม้ตรงหน้าอย่างไร ทันใดนั้นเอง ฝนก็เริ่มกระหน่ำเทลงมาจากเบื้องบน น้ำฝนร่วงหล่นประหนึ่งน้ำตกที่ไหลหลาก เพียงแค่ชั่วพริบตา น้ำฝนจำนวนมากก็เริ่มร่วงหล่นไปยังไฟที่โหมกระหน่ำ ไม่นานเพลิงอันร้อนแรงก็มอดดับลง

“นี่มัน… เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” คนทั้งสองที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนด้วยเขม่าควันมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อาจเชื่อสายตา พวกเขาราวกับยังไม่รู้ตัวว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ฝนตก?

ทั้งสองคนมองรอบข้าง ก่อนจะตระหนักว่ารอบข้างหรือด้านหลังของตนเองนั้นไม่มีฝนตก มีเพียงแค่ตำแหน่งที่ไฟไหม้ตรงหน้าเท่านั้นที่มีฝนตกกระหน่ำอยู่ สถานที่ซึ่งเดิมถูกอัคคีเพลิงลุกไหม้จึงถูกสายฝนชะล้าง

ฝนอะไรกำหนดตำแหน่งได้แม่นยำขนาดนี้?

คนทั้งสองได้แต่ครุ่นคิดและสงสัย เพราะสิ่งที่เห็นกับตามันไม่อาจหาคำอธิบายใดออกมาได้ พวกเขาทำได้เพียงแค่รู้ว่ามันเกิดเรื่องนี้ขึ้น อีกทั้งฝนยังหยุดลงทันทีที่เพลิงมอดดับ

ราวกับเป็นปาฏิหาริย์ก็ไม่ปาน

“จะสนใจทำไม ไฟก็ดับไปแล้ว บางทีฟ้าอาจมีตาเห็นความขมขื่นที่เถ้าแก่เนี้ยของพวกเราแบกรับ ถึงได้เบิกตาน้ำแห่งสวรรค์มาช่วยดับไฟ” หนึ่งในคนงานพูดขึ้นมา

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ฟ้ามีตาสวรรค์เป็นใจ ไม่งั้นร้านข้าง ๆ มีเหรอจะไม่ปรากฏน้ำสักหยด? ฮ่า ฮ่า เถ้าแก่ร้านนั้นที่พยายามสร้างความลำบากให้เถ้าแก่เนี้ยของพวกเรามาตลอดวอดวายบ้างแล้ว โรงไม้ของมันถูกเผาไหม้สะอาดหมดจด น่าชื่นชม ๆ!” ลูกน้องอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

สองคนงานซึ่งรับหน้าที่ดูแลร้าน ต่างก็รู้ดีถึงความคับข้องระหว่างร้านทั้งสอง ดังนั้นจึงเข้าใจดีว่าอะไรเป็นอย่างไร ตอนนี้เมื่อเห็นโรงไม้ดังกล่าวถูกเผาวอดวาย ในฐานะลูกจ้างของเจ้าหย้าหนาน พวกเขาจะดีใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

จนกระทั่งผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง รถดับเพลิงจึงมาถึงคันแล้วคันเล่า บรรดาเถ้าแก่ของตลาดค้าไม้แห่งนี้ต่างก็มารวมตัวกัน เถ้าแก่หลิวกับเจ้าหย้าหนานเองก็เช่นกัน พวกเขาต่างทราบว่าเกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่นี่และกังวลว่าโรงไม้ของตนจะได้รับความเสียหาย ดังนั้นจึงเร่งรีบเดินทางมาทันทีที่ทราบข่าว

แต่หลังเร่งเดินทางมา อารมณ์ที่พวกเขาแสดงออกนั้นแตกต่างกันออกไป เถ้าแก่หลิวแทบล้มพับ ทั้งกายเย็นเยียบ ดวงตาเบิกกว้างด้วยอาการแตกตื่น หลังตรวจสอบสถานการณ์ของโรงไม้ เขายิ่งอาการทรุดลง

“เถ้าแก่หลิว ขอแสดงความเสียใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นค่ะ” เจ้าหย้าหนานเดินเข้ามาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม กระทั่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องชวนอิ่มเอม “นี่สิที่เรียกว่าผลกรรม! ทำเรื่องชั่วเอาไว้ก็เยอะ ตอนนี้ได้รับผลกรรมแล้ว สมควร!”

เถ้าแก่หลิวที่ได้ฟังคำปลอบโยนปนเย้ยหยันของเจ้าหย้าหนาน ในใจตอนนี้ประหนึ่งถูกกรีดรีดเลือด

ไม่นานมานี้เขาเพิ่งรับคำสั่งซื้อล็อตใหญ่ ทำให้ต้องนำเข้าไม้จำนวนมาก รวมถึงไม้ล้ำค่าจำนวนไม่น้อยด้วยเช่นกัน พวกมันมีมูลค่าสูง ทว่าตอนนี้กลับถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว แม้ไฟจะดับลง แต่สิ่งที่เหลือก็มีเพียงแค่เศษซากที่ไม่อาจใช้งาน ไม้เหล่านั้นถูกทำลายจนหมดสิ้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่? วันนี้ใครรับผิดชอบเฝ้าตรวจตรา!?” เถ้าแก่หลิวเผยใบหน้าดำมืดยิ่งกว่าน้ำหมึก พร้อมถามคนงานของตน

คนงานเหล่านั้นไม่ได้หนีไปไกลจากโรงไม้ ทันทีที่พวกเขาเห็นรถดับเพลิงและเถ้าแก่หลิวจึงรีบกลับมา

“เถ้าแก่ วันนี้เป็นเวรรับผิดชอบของพวกเราครับ” คนงานดังกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง

ในฐานะคนงานของโรงไม้ พวกเขาทราบดีว่าครั้งนี้เถ้าแก่หลิววอดวายระดับใด ดังนั้นอีกฝ่ายจะมีโทสะออกมาขนาดไหนก็พอคาดเดาได้

“พวกแกเฝ้าอยู่ แล้วโรงไม้ไฟไหม้ได้ยังไง!? พวกแกมีกันหลายคน ตาก็มีหลายคู่ ตาบอดกันรึไง!!” เมื่อได้ยินคำตอบของคนงาน เถ้าแก่หลิวก็ยิ่งเดือดพล่าน

“พวกเรา… พวกเราไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ พวกเราอยู่ในห้องรักษาการณ์ ไม่รู้เลยว่าด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนที่รู้ตัว ไฟก็ไหม้แล้ว พวกเราพยายามดับไฟกันเต็มที่ แต่มันลุกลามไปเร็วมาก พวกเราดับไฟต่อไม่ได้ครับ” คนงานอีกคนหนึ่งตอบกลับ

ปกติพวกเขาก็ไม่เคยออกไปเดินตรวจตรานอกห้องรักษาการณ์อยู่แล้ว ซ้ำวันนี้ยังกินดื่มกันเต็มที่ จนสุดท้ายไฟไหม้ จึงหลบหนีกันออกมา

“เลี้ยงเสียข้าวสุก ไอ้พวกเศษเดน! มีคนกันเยอะแยะแต่กลับไม่รู้ตัวว่าไฟไหม้!” เถ้าแก่หลิวโพล่งโทสะออกมา เพราะไม้ที่ไหม้วอดวายมีมูลค่าหลายสิบล้านหยวน หลังนำไปจัดทำ มันจะยิ่งเพิ่มมูลค่าไปอีกหลายสิบล้าน ทว่าตอนนี้กลับถูกเผาวอดวายจนหมดสิ้น ใจเขาจะหลั่งเลือดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

เหล่าคนงานต่างก้มหน้าไม่ตอบคำ รวมถึงไม่กล้ามองตอบเถ้าแก่หลิว

ตอนนี้เองที่เถ้าแก่หลิวตระหนักว่ามีแต่โรงไม้ของตนที่เป็นทะเลเพลิง ทว่าของเจ้าหย้าหนานที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ กลับไม่เกิดปัญหาใดขึ้น แม้ไม่อาจพูดได้ว่ารอดพ้นจากไฟไหม้ แต่ความเสียหายก็น้อยนิดเกินกว่าจะมองว่าเกิดเรื่องขึ้น

“มันเรื่องบ้าอะไรกัน!? ไฟไหม้รุนแรง แต่ทำไมไฟไม่ลุกลามไปด้านนั้น พวกแกเป็นคนวางเพลิงใช่ไหม?” เถ้าแก่หลิวหันหน้าไปถามเจ้าหย้าหนานที่ดูเรื่องราวอยู่จนถึงตอนนี้

“คนแซ่หลิว มีปากก็อย่าคิดว่าจะพ่นอะไรออกมาก็ได้ ถ้าใส่ร้ายคนบริสุทธิ์ ระวังฉันจะฟ้องกลับข้อหาใส่ความโดยไม่มีมูลเหตุ!” เมื่อประจันหน้ากับข้อสงสัยของเถ้าแก่หลิว เจ้าหย้าหนานไม่คิดยอมอ่อนข้อ อย่างไรเธอก็ไม่คิดยอมอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่กลัวการต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

“งั้นทำไมฝั่งร้านนั้นไม่เป็นอะไรล่ะ?” เถ้าแก่หลิวตั้งคำถาม

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะคะ? บางทีฟ้าอาจมีตา ช่วยเบิกทัณฑ์สวรรค์ชำระล้างคนชั่ว …เช่นใครบางคนแถวนี้ เลยเกิดไฟไหม้วอดวายอยู่แค่ร้านนั้นก็ได้” เจ้าหย้าหนานตอบกลับ