บทที่ 371 ต้นเพลิง

“มันเรื่องราวบ้าอะไร?” เพราะไม่เข้าใจคำตอบของเจ้าหย้าหนาน เถ้าแก่หลิวจึงหันไปมองทางคนงานของตนอีกครั้ง

“ไฟไหม้เกือบจะถึงร้านข้าง ๆ ครับ แต่ตอนนั้นฝนตกกะทันหันจนดับไฟได้” คนงานของเถ้าแก่หลิวไม่ได้หนีหายไปไกล ดังนั้นจึงเห็นเรื่องราว

“ฝน? ฝนมาจากไหน? บนฟ้าพระจันทร์ยังสว่างอยู่เลย จะมีฝนได้ยังไง? แล้วทำไมฝนตกเฉพาะฝั่งอื่น? ทำไมไม่ตกลงมาที่โรงไม้ของฉัน?” เถ้าแก่หลิวเอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่าแม้คนงานของตนเองบอกมาก็ยังไม่เชื่อ

“เรื่องนั้น… พวกเราก็ไม่รู้ครับ” เหล่าคนงานต่างอึกอัก เพราะพวกเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันเกิดเรื่องใดขึ้น

ตอนนี้เองที่เจ้าหย้าหนานสอบถามเรื่องราวจากคนงานของตนเอง ก่อนจะได้คำตอบเช่นเดียวกัน ในใจยังนึกเหมือนที่เถ้าแก่หลิวคิด ว่าหากไม่ได้พบเห็นกับตาตัวเอง เธอก็คงไม่มีทางเข้าใจว่าเกิดเรื่องประหนึ่งปาฏิหาริย์แบบนั้นได้ยังไง

แต่หลายคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาไม่มีทางรวมหัวกันโกหกเช่นนี้แน่ และนั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องเหลือเชื่อขึ้น

‘ฟ้าคงมีตา สวรรค์เป็นใจ ใช้เรื่องนี้ลงโทษไอ้เลวนี่อย่างสาสม’ เจ้าหย้าหนานคิดอยู่ในใจ

เรื่องฝนที่ตกเฉพาะที่ อย่างมากก็ได้ยินผ่านการพยากรณ์อากาศ ส่วนเรื่องฝนตกเฉพาะที่แบบเจาะจงวงแคบเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องยากเกินจำแนกและเข้าใจ

เวลาผ่านไปราวสองชั่วโมง อัคคีเพลิงที่โหมกระหน่ำโรงไม้ของเถ้าแก่หลิวจึงมอดดับ ไฟบางส่วนดับไปเพราะนักดับเพลิง ส่วนที่เหลือมอดดับเพราะไร้เชื้อเพลิงให้เผาไหม้ต่อ

เมื่อเห็นว่าควบคุมเพลิงได้แล้ว เถ้าแก่หลิวจึงรีบเข้าไปด้านในโรงไม้โดยไม่สนความร้อนที่ยังหลงเหลืออยู่ และแน่นอนว่าไม้ล้ำค่าทั้งหลายนั้นไม่มีหลงเหลือแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้แทบคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเพลิงไหม้ คือการที่โรงไม้ข้าง ๆ ไม่เกิดเรื่องใดขึ้นแม้แต่น้อย โรงไม้เพื่อนบ้านทั้งสองที่อยู่ข้างเคียง แม้ไม้มีไฟลุกลาม แต่กลับมีฝนเทกระหน่ำลงมาช่วยดับอย่างเป็นปริศนา ขณะที่โรงไม้ของเขากลายเป็นทะเลเพลิงที่ไร้ซึ่งน้ำฝนสักหยดมาช่วยเหลือ

เรื่องราวประหลาดเกินเชื่อได้เช่นนี้ มันยิ่งทำให้เถ้าแก่หลิวคลุ้มคลั่ง

หรือสวรรค์จะลงโทษเขาจริง ๆ?

ในใจของเถ้าแก่หลิวอดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดดังกล่าวขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้ว เพราะอะไรถึงมีแค่โรงไม้ของเขาที่ไม่ได้รับน้ำฝนช่วยเหลือ ขณะที่ข้าง ๆ กลับได้รับ?

แต่ความคิดเหล่านั้นก็สลายหายไปภายในเวลาสั้น ๆ เขาไม่เชื่อเรื่องเทพหรือภูตผี เชื่อแค่ตนเอง กระทั่งรู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้บังเอิญจนเกินไป

เพราะอะไรโรงไม้ของเขาจึงไฟไหม้อย่างกะทันหัน เรื่องนี้ยิ่งชวนให้สงสัย ทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่เพราะไปติดต่อหาคนทั้งสองที่จ้างวานไปวางเพลิงโรงงานเฟอร์นิเจอร์ของเจ้าหย้าหนาน เรื่องเหล่านี้ดูบังเอิญเกินไปหรือไม่?

เถ้าแก่หลิวไม่นิ่งนอนใจ เขารีบไปหานักดับเพลิงเพื่อสอบถามถึงเรื่องราวดังกล่าว

“พวกเราตรวจสอบที่เกิดเหตุเบื้องต้นแล้วครับ และพบขวดเหล้ากับก้นบุหรี่จำนวนหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นต้นเหตุเพลิงไหม้ครับ” หัวหน้าหน่วยดับเพลิงที่รับผิดชอบงานครั้งนี้บอกกับเถ้าแก่หลิว

“ขวดเหล้ากับบุหรี่? จะบอกว่ามีคนจงใจวางเพลิงเหรอครับ?” เถ้าแก่หลิวทวนคำ ขณะเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องมันบังเอิญเกินไปจนน่าสงสัย

“เรื่องนั้นพวกเราตอบไม่ได้ครับ จำเป็นต้องตรวจสอบต่อไป” หัวหน้าหน่วยดับเพลิงตอบกลับ

ตอนนี้เองที่เถ้าแก่หลิวเห็นสายตาหลบเลี่ยงจากคนงานของตน ทั้งเท้าก็ก้าวถอยหลังไปทีละน้อย เมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็ตระหนักได้แล้วว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ดังนั้นจึงถามออกไป “พวกแกพูดออกมาว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? เหล้ากับก้นบุหรี่พวกนี้มาจากไหน?”

“เถ้าแก่ พวกเราไม่ได้ดื่มในที่ทำงานนะ ไม่ใช่พวกเรา!” หลังได้ยินคำถามของเถ้าแก่หลิว หนึ่งในคนงานก็เกิดหวาดกลัวจนรีบตอบกลับมา

คนงานคนอื่นต่างหันไปจ้องหน้าคนปากพล่อยอย่างดุดัน ไม่มีเงินสามร้อยฝังอยู่ที่นี่*[1] ตอบแบบนี้เถ้าแก่หลิวจะหยุดสงสัยรึไง?

แน่นอนว่า เถ้าแก่หลิวย่อมรู้ถึงความผิดปกติ เขาเดินเข้าไปใกล้คนงาน ก่อนจะเริ่มดมกลิ่นอีกฝ่าย และกลิ่นที่รับรู้ได้ก็เป็นกลิ่นแอลกอฮอล์

“ไอ้เวรบัดซบ! ฉันบอกแล้วไงว่าให้เฝ้าที่นี่เอาไว้ ใครให้พวกแกดื่มเวลาทำงาน? แล้วยังสูบบุหรี่ด้วย? ไม่รู้รึไงว่าที่นี่มีแต่ไม้แห้ง? พวกแกบ้ากันไปแล้วเหรอ? ฉันบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าไม่ให้ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ในบริเวณนี้ พวกแกไม่ฟังคำพูดของฉันเลยรึไง? หา!?” หลังได้กลิ่นที่ยืนยันได้แน่ชัด เถ้าแก่หลิวจึงยิ่งเดือดดาล

เขารู้แล้วว่าเหตุเพลิงไหม้โรงไม้ครั้งนี้ เป็นเพราะคนงานของตนเองดื่มสุราและสูบบุหรี่ภายในพื้นที่ เดาว่าคงไม่ได้ดับก้นบุหรี่ให้ดี ทำให้บังเอิญไปติดไฟกับอะไรเข้า จากนั้นก็อาจมีสุราหกตามพื้นบ้าง จนสุดท้ายเกิดเพลิงไหม้ที่รุนแรงขึ้น ทำให้ทั้งโรงไม้วอดวาย

ข้อสรุปคือ เพลิงไหม้เพราะคนจริง แต่ไม่ใช่เจ้าหย้าหนานที่ส่งคนมาลงมือ แต่เป็นคนงานของตัวเองที่ขาดความระมัดระวัง!

เรื่องนี้ทำให้เถ้าแก่หลิวยิ่งเดือดจัด ทั้งที่เขาคอยย้ำเตือนว่าให้ระวังเรื่องฟืนไฟและสั่งห้ามปัจจัยเสี่ยงอย่างเข้มมงวดแล้ว ทว่าคนเหล่านี้กลับแสนดี ไม่เพียงสูบบุหรี่ แต่ยังดื่มสุรากัน เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจคำเตือนของเขาแม้แต่น้อย

“เถ้าแก่ พวกเราบริสุทธิ์นะครับ พวกเราแค่ดื่มกันในโรงงาน ไม่ได้จุดไฟเผาอะไรสักหน่อย!”

“ใช่แล้ว พวกเราดื่มกันอยู่แต่ในห้องรักษาการณ์ ไม่ได้ออกมาข้างนอก แล้วจะทำไม้ด้านนอกไหม้ได้ยังไง!”

เหล่าคนงานที่เห็นเถ้าแก่หลิวสอบหาความรับผิดชอบเรื่องไฟไหม้จากตนเอง ตอนนี้จึงรีบตะโกนกันออกมา ในใจพวกเขานึกเสียใจที่เรื่องราวมันบังเอิญเกิดในวันที่พวกตนดื่มในโรงไม้ซะได้

“ไอ้พวกเวร จนถึงขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมรับกันใช่ไหม?” เถ้าแก่หลิวที่แน่ใจแล้วจึงไม่เชื่อคำอธิบายของกลุ่มคน “ฉันจะไปดูกล้องวงจรปิดเอง ถ้าเห็นว่าพวกแกคนไหนเป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้ ฉันจะถลกหนังพวกแกออกมาด้วยตัวเอง!”

เถ้าแก่หลิวไปตรวจสอบวิดีโอบันทึก ส่วนเจ้าหย้าหนานติดตามไปชมเรื่องราวต่อ ชายชราคิดแต่เรื่องไฟไหม้โรงไม้ของตน จึงไม่ได้สนใจหญิงสาวที่ตามมาด้วยแม้แต่น้อย

วิดีโอที่บันทึกจากกล้องทั้งหมดยังคงอยู่ แต่จุดที่เป็นต้นเพลิงบังเอิญเป็นจุดบอดที่กล้องวงจรปิดมองไม่เห็น ดังนั้นเถ้าแก่หลิวจึงไม่อาจเห็นว่าเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างไร แต่วิดีโอดังกล่าว ทำให้เขาเห็นคนงานสองคนออกจากห้องรักษาการณ์ไปห้องน้ำ ยิ่งไปกว่านั้น คนงานทั้งสองยังถือบุหรี่เอาไว้ในมือ!

“พวกแกสองคนอธิบายมาให้ชัด ๆ ว่าไฟไหม้ครั้งนี้เป็นผลงานของพวกแกใช่ไหม มีใครใช้ให้พวกแกมาลงมือหรือเปล่า!?” เถ้าแก่หลิวที่เดือดจัดหันไปมองคนงานทั้งสอง

แม้ไม่ได้เห็นว่าคนทั้งสองวางเพลิงอย่างชัดเจน แต่อาศัยเพียงแค่หลักฐานที่มี รวมถึงบุหรี่ที่ปรากฏในมือของพวกเขา ก็มากพอจะได้ข้อสรุปของต้นเหตุไฟไหม้โรงไม้ครั้งนี้แล้ว คนทั้งสองจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่ ๆ

และบางทีไฟไหม้ครั้งนี้อาจไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการจงใจทำให้เหมือน!

[1] ไม่มีเงินสามร้อยฝังอยู่ที่นี่ หมายถึง การโกหกที่เปิดเผยความจริง