บทที่ 372 ผู้จ้างวานคือใคร
“เถ้าแก่ พวกเราผิดไปแล้วครับที่ไม่ฟังคำเตือนห้ามสูบบุหรี่ แต่พวกเราไม่ได้โยนก้นบุหรี่ไปทั่วนะครับ นับประสาอะไรกับการไปจุดไฟเผา!”
“ใช่แล้วครับเถ้าแก่ พวกเราผิดจริง แต่ต้นเพลิงนั่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเรานะครับ พวกเราไปห้องน้ำแล้วก็ตรงกลับมากันเลย!”
คนงานทั้งสองรีบอธิบายด้วยอาการแตกตื่น เพราะจากหลักฐานวงจรปิด พวกเขาถือเป็นผู้ต้องสงสัยที่สุด แต่พวกเขาก็รู้ดีแก่ใจว่าพวกตนไม่ได้จุดไฟเผา สาเหตุที่พวกตนสูบบุหรี่ในเวลานั้นก็เพราะดื่มกันจนมึนเมา สมองต้องการกระตุ้น ดังนั้นจึงไม่ทันคิดไปบ้าง
“ยังคิดปฏิเสธความจริงอีกงั้นสิ?” เถ้าแก่หลิวไม่เชื่อคำพูดของคนทั้งสองแม้แต่น้อย ไฟจะไม่ติดหากไม่มีคนจุด ในความเห็นของเขา มันต้องเป็นฝีมือคนที่ทำเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งช่วงเวลาที่เกิดเหตุยังบังเอิญจนเกินไป เขาจึงมองว่ามันจะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องดังกล่าว
เหมือนที่เขาสั่งคนอื่นให้ไปจุดไฟเผาโรงงานเฟอร์นิเจอร์ของเจ้าหย้าหนานก่อนหน้านี้ เพราะมันก็เป็นช่วงจังหวะเวลาที่แม่นยำ ในฐานะผู้มีประสบการณ์ เขาจึงตั้งข้อสงสัยว่ามีคนอื่นทำเช่นเดียวกันใส่ตนเอง
และเป็นไปได้มากว่าเจ้าหย้าหนานคือคนบงการ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เถ้าแก่หลิวจึงมองหน้าเจ้าหย้าหนานที่มาชมเรื่องสนุกอยู่ไม่ไกล ในใจพลันแค่นเสียง ‘คิดจะเล่นกับฉันคนนี้งั้นเหรอ ยังเร็วไป!’
เถ้าแก่หลิวมองทางคนงานทั้งสอง “ขอแค่บอกมาว่าใครเป็นคนบงการพวกแก แล้วฉันจะไม่เอาความอะไรกับคนที่ถูกบีบบังคับให้ต้องทำ ถ้ายังไม่บอก ค่าเสียหายก็เรียกเก็บจากพวกแกก็แล้วกัน!”
ทว่าคนงานทั้งสองไม่ได้ถูกใครจ้างวานหรือบงการ ดังนั้นพวกเขาจึงเอาแต่ร้องปฏิเสธ จนเถ้าแก่หลิวต้องเป็นฝ่ายร้อนใจเอ่ยคำแทน “ฉันให้โอกาสแล้วพวกแกไม่ยอมรับ งั้นก็ไปร้องไห้ในโลงศพ! ไปให้ปากคำกับตำรวจก็แล้วกัน”
หลังสิ้นคำ เถ้าแก่หลิวจึงเรียกตำรวจมาโดยไม่ลังเล พร้อมทั้งเมินเฉยเสียงร่ำร้องขอความอยุติธรรมของคนทั้งสอง
“เถ้าแก่หลิว โรงไม้ไฟไหม้รู้สึกยังไงบ้างคะ? ฉันว่าสมควรแล้ว! ทำชั่วไว้มากก็ต้องรับผลกรรมของการกระทำไป” เจ้าหย้าหนานที่เห็นเถ้าแก่หลิวเผยสีหน้าไม่สู้ดีจึงเอ่ยสำทับ
เรื่องที่เธอได้เห็นในคืนนี้ มันทำเอารู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ ช่วงกลางวัน เธอยังโมโหเถ้าแก่หลิวและคนทั้งสองที่กลับคำให้การ ไม่ได้คิดว่าคืนนี้โรงไม้ของเถ้าแก่หลิวจะเกิดไฟไหม้ เรื่องราวพลิกกลับไปมาเช่นนี้ มันมากพอที่จะทำให้เธออารมณ์ดี
“ยัยหนูเจ้า อย่าเพิ่งได้ใจไป เธออย่าคิดว่าจะรอด!” เถ้าแก่หลิวตอบกลับ
ไม้มูลค่าหลายสิบล้าน ทั้งหมดกลายเป็นเถ้าถ่าน ใจเขาย่อมไม่มีทางแบกรับหรือกล้ำกลืน เพราะทำธุรกิจมาหลายปี ก้าวหน้าด้วยดีมาโดยตลอด ทว่าทรัพย์สินที่มีทั้งหมดก็ราวสามสิบล้าน ครั้งนี้สูญหายไปกับเปลวเพลิงเกือบครึ่งหนึ่ง มันเปรียบดังหัวใจถูกกรีดเอาเลือดออกไป เจ็บแทบตายก็ไม่ปาน!
“เถ้าแก่หลิวจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้ออะไรขนาดนั้นกันคะ? ถ้ายกเรื่องความชั่วขึ้นมา จะมีใครสู้เถ้าแก่ได้อีก? ถ้าโรงงานเฟอร์นิเจอร์ของฉันถูกไฟไหม้ คุณคงยังไม่เห็นมาดูดำดูดีอะไรเลยมั้ง?” เจ้าหย้าหนานตอบกลับ “อย่าคิดว่าอุบายต่ำช้านั่นจะไม่มีใครรู้ เรื่องวันนี้ถือว่าสมควรโดนแล้ว!”
“เหอะ! เด็กน้อยอย่างเธอกล้าดียังไงมาเล่นกับคนอย่างฉัน! พ่อเธอยังทำอะไรฉันไม่ได้ นับประสาอะไรกับเธอ?” เถ้าแก่หลิวตอบกลับอย่างดูหมิ่น เพราะได้ยินเจ้าหย้าหนานเอ่ยถึงเรื่องโรงงานเฟอร์นิเจอร์ เขาจึงยิ่งมั่นใจว่าเหตุการณ์ไฟไหม้โรงไม้ของตนเองจะต้องเป็นฝีมืออีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเธอโกรธแค้นถึงขนาดไม่สนอะไรและจัดฉากหาทางจัดการเขา
แน่นอนว่าเขาจะไม่ปล่อยให้เธอได้ทำสำเร็จ!
“ว่าอะไรนะคะ โรงไม้ถูกไฟไหม้ ตอนนี้เลยอยากให้คนมาหาหลักฐานวางเพลิงรึยังไง?” เจ้าหย้าหนานเอ่ยถาม
“จะวางเพลิงรึเปล่า พวกเราก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ” เถ้าแก่หลิวตอบกลับ
“ค่ะ เดี๋ยวก็ได้รู้เอง” เจ้าหย้าหนานตอบกลับ
หลังจากนั้น เจ้าหย้าหนานก็เดินออกจากโรงไม้ของเถ้าแก่หลิว อย่างไรเธอก็ไม่ได้ทำ แม้อีกฝายจะขู่แบบนั้น ใจเธอก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด กระทั่งว่าผ่อนคลายซะด้วยซ้ำ
เถ้าแก่หลิวมองเจ้าหย้าหนานที่เดินกลับ ตอนนี้สายตาเขากลายเป็นดำมืด เขาย่อมได้เห็นอาการสงบของอีกฝ่าย เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นความสงบจอมปลอม หรือว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอจริง ๆ ทว่าหากอ้างอิงจากเรื่องราวที่ผ่านมา และเขาคือเจ้าหย้าหนาน ก็คงมีแรงจูงใจให้เคลื่อนไหว เพราะตนมองว่าหญิงสาวจะต้องเป็นเหมือนที่ตัวเองคิด ดังนั้นเขาจึงปักใจเชื่อว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้อง
เมื่อออกจากร้านของเถ้าแก่หลิว เจ้าหย้าหนานจึงโทรหาอู๋ฝานเพื่อเตรียมบอกข่าวดีให้ทราบ
“อู๋ฝาน รู้อะไรหรือเปล่าคะ? โรงไม้ของไอ้แก่นั่นถูกไฟเผาวอดวายแล้ว ไม้ล้ำค่ากว่าสิบล้านของมันเป็นเถ้าถ่านไปหมดเรียบร้อยแล้วค่ะ” เพียงอีกฝ่ายรับสาย เจ้าหย้าหนานก็ร่ายยาวออกมา น้ำเสียงค่อนข้างตื่นเต้นและยินดี เพราะต่อหน้าอู๋ฝาน เธอไม่คิดปิดบังความคิดแท้จริงที่อยู่ภายในใจ
“ครับ? ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว คุณจะได้หายใจได้เต็มปอดสักที” อู๋ฝานตอบกลับมาผ่านโทรศัพท์
“ใช่ค่ะ เสียดายคุณไม่ได้เห็นสีหน้าไอ้แก่นั่นเมื่อกี้เขาสมควรได้รับแล้วจริง ๆ” เจ้าหย้าหนานตอบกลับมาอย่างเห็นด้วย
“ครับ” อู๋ฝานตอบกลับมาเพียงสั้น ๆ
“นี่อู๋ฝาน ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณไม่ยินดีเลยล่ะคะ” เจ้าหย้าหนานย่อมสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับเรื่องราวแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงสงสัย “หรือว่ารู้อยู่ก่อนแล้วงั้นเหรอคะ?”
“ไม่ใช่ครับ ผมอยู่บ้านตลอดเลย เพิ่งได้ยินจากที่คุณโทรมาบอกนี่แหละครับ” อู๋ฝานตอบกลับ “แต่ผมเองก็แอบดีใจนะที่ไอ้เลวนั่นโดนซะบ้าง”
“ไม่เลยค่ะ ฉันรู้สึกว่าคุณไม่ได้มีอารมณ์ใดร่วมด้วยซ้ำ” เจ้าหย้าหนานไม่เชื่อคำอธิบายดังกล่าว “ตอนกลางวันคุณยังบอกฉันด้วยซ้ำว่าไอ้เวรนั่นจะต้องได้รับผลกรรมซะบ้าง สุดท้ายที่วันนี้โรงไม้ของเขาถูกไฟไหม้ กลายเป็นเถ้าถ่านชั่วข้ามคืน มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณใช่ไหมคะ?”
เจ้าหน้าหนานและเถ้าแก่หลิวก็มีความคิดเห็นคล้ายกัน นั่นคือสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้ค่อนข้างแปลก เพียงแต่เพราะไม่ใช่ร้านของตนเอง ก่อนหน้านี้หญิงสาวจึงแทบไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่เมื่อเห็นอู๋ฝานนิ่งเฉยผิดปกติ รวมกับคำพูดเมื่อช่วงกลางวัน ไม่แปลกหากใจของเธอจะสงสัยขึ้นมา
หรือว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอู๋ฝาน?
“พูดอะไรแบบนั้นครับ จะไปเกี่ยวกับผมได้ยังไง? ผมไม่ได้ไปที่นั่นซะหน่อย” อู๋ฝานตอบกลับ
เจ้าหย้าหนานคิดตาม อาศัยเรื่องราวจากหลักฐานวงจรปิด มันก็ดูเหมือนจะเป็นอุบัติเหตุ
“เราคงคิดมากไปเอง” เจ้าหย้าหนานพึมพำ “ตาแก่นั่นสงสัยว่าโรงไม้ถูกวางเพลิง แต่ยังไม่มีหลักฐานที่นำมาใช้ได้ ดังนั้นมันจึงถูกปัดไปเป็นอุบัติเหตุ เขาเลยมองว่าฉันส่งคนไปลงมือค่ะ”
“แค่ก! แค่ก!” อู๋ฝานกระแอมไอตอบกลับ “อันที่จริงเรื่องวันนี้ถือว่าสมควรโดนแล้วครับ คนเลวแบบนั้น ต่อให้ถูกเจตนาวางเพลิงจริงก็ไม่น่าแปลกใจ คนที่แค้นเขาคงมีมากมายพอให้ต่อแถวเป็นขบวนด้วยซ้ำ”
“ที่พูดมาก็ถูกค่ะ ถ้าเป็นการวางเพลิงจริง ก็คงเป็นความยุติธรรมจากสวรรค์แล้ว ตาแก่หลิวสมควรได้รับ สมควรอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!” เจ้าหย้าหนานมองว่าเหตุผลของอู๋ฝานฟังขึ้น ดังนั้นจึงเปลี่ยนความคิด