เพราะกลัวว่าเจ้าก้อนน้อยจะได้ยินเรื่องไม่ดี โจวกุ้ยหลานจึงสั่งเบาๆ ให้เจ้าก้อนน้อยเข้าไปอยู่ในห้อง ปิดหูเอาไว้ไม่ให้ออกมา

ทางด้านนี้ หลิวเซียงไม่ยอมไป ชุ่ยฮวาต้องกึ่งผลักกึ่งดันจนในที่สุดก็ลากออกไปได้

เมื่อพวกนางออกไปแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงรีบเข้าไปในห้องเพื่อเตรียมอาหารเย็น ซึ่งนับว่าเริ่มช้ากว่าวันก่อนๆ

ขณะที่เหล่าไท่ไท่จะไปช่วยก่อไฟ โจวกุ้ยหลานก็นึกถึงเจ้าก้อนน้อยที่อยู่ในห้องขึ้นมาและเดินไปที่หน้าประตู เมื่อชะโงกหน้าไปมองจึงเห็นว่าเจ้าก้อนน้อยกำลังเล่นอยู่คนเดียว

หลังจากกำชับไม่ให้เจ้าก้อนน้อยวิ่งซนไปรอบๆ โจวกุ้ยหลานจึงตามเหล่าไท่ไท่เข้าไปในครัวเพื่อเตรียมทำอาหาร

ทันทีที่เริ่มก่อไฟติด ที่ด้านนอกก็มีเสียงของชุ่ยฮวาดังขึ้นมา ทันใดนั้นนางก็วิ่งเข้ามาและตะโกนบอกสองแม่ลูกว่า “แย่แล้ว หลิวเซียงเอาหัวโขกอยู่ที่กำแพงสวนนอกเรือนของท่าน!”

“ว่าไงนะ!” เหล่าไท่ไท่อุทานและรีบลุกขึ้นวิ่งออกไป

โจวกุ้ยหลานรีบตามไปทันที ตอนนี้ไม่ทำแล้วอาหงอาหาร

ทันทีที่ออกมาข้างนอก พวกนางจึงเห็นว่าหลิวเซียงกำลังนอนกองอยู่บนพื้น และบนหน้าผากก็มีเลือดไหลออกมา

“รีบพานางเข้าไปในเรือนเร็วเข้า!” ชุ่ยฮวาตะโกนและก้าวเข้าไปหา

คราวนี้ถ้าเข้าไปแล้วก็อย่าได้คิดจะออกมาอีก!

โจวกุ้ยหลานรีบก้าวไปหาและหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในเสื้อ จากนั้นจึงกดลงบนหน้าผากที่มีเลือดออกของหลิวเซียง

และคงเป็นเพราะความเจ็บ คิ้วของหลิวเซียงจึงขมวดเข้าหากัน และเปลือกตาที่ปิดลงก็ขยับไปมาอยู่หลายครั้ง

นี่กำลังแกล้งเป็นลมงั้นหรือ

โจวกุ้ยหลานคิดคำนวณบางอย่างในใจ จากนั้นจึงรีบบอกสองคนที่อยู่รอบกายทันทีว่า “อาสะใภ้ชุ่ยฮวา ท่านรีบแบกไปที่บ้านของท่าน ข้าจะไปตามหมอเอง”

“อะไรกัน ถ้านางตายในบ้านของข้าล่ะ จะทำอย่างไร” ชุ่ยฮวาไม่เต็มใจ เรื่องมันเกิดขึ้นที่บ้านตระกูลโจวของพวกนาง จะให้หามไปที่บ้านของนางเพื่ออะไร

“เจ้าเป็นอาสะใภ้ของนาง ทั้งยังอาวุโสกว่านางด้วย ถึงขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่ช่วยอีก แบกไปบ้านข้าคนอื่นไม่นินทาครอบครัวของข้าแย่รึ” เหล่าไท่ไท่ตอกกลับทันที

ถึงอย่างไรชุ่ยฮวาก็มีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวของหลิวเซียงตรงที่อาศัยอยู่ในบ้านของนาง แบบนี้ใครก็จะเอาไปพูดผิดๆ ไม่ได้

ในที่สุดชุ่ยฮวาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแบกหลิวเซียงกลับเข้าไปในบ้านของนาง ระหว่างทาง โจวกุ้ยหลานก็นำผ้าเช็ดหน้ามากดไว้บนหน้าผากของนางไปด้วย

อีกด้านหนึ่ง เหล่าไท่ไท่หันกลับไปที่ห้องของตนและหยิบไข่ไก่สิบฟองมาจากบ้าน หลังจากสั่งห้ามไม่ให้เจ้าก้อนน้อยออกมา นางก็รีบไปที่บ้านของชุ่ยฮวาทันที

หลังจากพวกนางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหล่าไท่ไท่จึงรีบตามโจวกุ้ยหลานกลับไปที่บ้าน

“ทำไมหลิวเซียงจึงเป็นคนแบบนี้” เหล่าไท่ไท่บ่นรำพันอย่างโมโห

นางอุตส่าห์คิดจะให้ลูกชายของนางแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ แต่ที่เห็นมาวันนี้มันแย่มาก!

โจวกุ้ยหลานยังคงเอ่ยด้วยสีหน้าปกติว่า “ตอนที่นางมาเมื่อตอนกลางวันก็ยังดูดีอยู่”

พอพูดถึงตรงนี้ เหล่าไท่ไท่ก็โกรธขึ้นมา “ทำไมเจ้าไม่รีบหาทางไล่นางออกไป ถ้าคืนนี้ข้าไม่กลับมา เจ้าไม่ปล่อยให้นางนอนที่บ้านไปแล้วรึ”

“เพราะข้ารู้ว่าท่านจะไม่ค้างคืนที่บ้านพี่สาวรอง นอกจากนี้ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านอยากได้ลูกสะใภ้คนนี้หรือว่าไม่อยากได้”

“ถ้าแต่งกับคนแบบนี้ ต่อไปพี่ชายของเจ้าจะยังมีอนาคตที่ดีอยู่อีกหรือไง แต่ก่อนเจ้าเป็นคนฉลาก เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนโง่แล้วหรือ” เหล่าไท่ไท่ว่าพลางใช้นิ้วจิ้มหัวของโจวกุ้ยหลานอย่างแรง

โจวกุ้ยหลานไม่ได้ตอบโต้อะไร นางเองก็ไม่เคยรู้ว่าแม่นางผู้นี้จะเป็นคนแบบนี้ ตอนแรกนางก็คิดไว้ว่าแม่นางผู้นี้กล้าหาญน่าชื่นชม ไม่ใช่เพิ่งมาตระหนักได้ภายหลัง

“ถึงอย่างไรนางก็ทำงานให้ท่านตลอดทั้งบ่าย!” โจวกุ้ยหลานอดพึมพำไม่ได้

เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้ว “ทำงานได้ก็ดีแล้ว ดูแล้วก็เป็นคนขยันคนหนึ่ง สมองก็ถือว่าดี ทั้งยังรู้วิธีที่จะอยู่ในบ้านของเรา เพียงแต่วิธีที่ทำมันน่ารังเกียจเกินไป พูดหรือทำอะไรก็ไม่ค่อยคิด”

ที่พูดมานี้ก็ถูก หลิวเซียงผู้นี้ยังมีข้อดีอยู่บ้าง และข้อไม่ดีก็มีมิใช่น้อย เพียงแต่ครอบครัวของพวกนางไม่อยากสร้างปัญหา

โจวกุ้ยหลานมุ่ยปาก “แล้วท่านใจแข็งพอจะปล่อยให้พ่อแม่ของนางผลักนางลงไปในขุมนรกหรือ”

“ตอนนั้นเจ้าก็ไม่อยากแต่งงานจนเอาหัวโขกกำแพงเหมือนกันมิใช่รึ” เหล่าไท่ไท่ถามกลับ

โจวกุ้ยหลานเบ้ปาก “ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ผ่านมาได้ด้วยดี ท่านเองก็คงไม่คิดหรอกว่าการให้ข้าแต่งงานกับเฉินโหยวซวนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง!”

เหล่าไท่ไท่ไม่พูดอะไร

เมื่อกลับไปถึงบ้าน ทั้งสองคนจึงพบว่าโจวต้าไห่กับสวีฉางหลินกลับมาแล้ว

จากนั้นทุกคนจึงรีบกินและรีบเข้านอน

คืนนั้นที่บ้านของชุ่ยฮวา

หลิวเซียงเล่าเรื่องข้าวกลางวันที่กินในบ้านโจวให้ชุ่ยฮวาฟัง ชุ่ยฮวาฟังแล้วถึงกับชะงัก

“ยังมีข้าวขาวกับเนื้อด้วยหรือ” ชุ่ยฮวาอุทาน

“ใช่เจ้าค่ะ อาสะใภ้ ท่านไม่รู้อะไร นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าเห็น ท่านคิดดูสิว่าครอบครัวของนางต้องรวยขนาดไหนถึงได้มีข้าวขาวกับเนื้อกิน ขนาดตอนฉลองปีใหม่ ครอบครัวเรายังไม่ได้กินเลยด้วยซ้ำ!”

หลิวเซียงนึกถึงอาหารกลางวันเหล่านั้นและอดจุ๊ปากไม่ได้

นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้กินอิ่ม ทั้งยังเป็นอาหารที่อร่อยมากๆ อีกด้วย

“หรือว่าเรื่องที่ครอบครัวนางดิ้นรนขายถ่านหารายได้จะเป็นเรื่องจริง” ชุ่ยฮวาว่าแล้วก็นึกถึงเรื่องที่ผู้หญิงคนอื่นๆ พูดขึ้นมาตอนกำลังซักผ้าเมื่อตอนกลางวัน

“ท่านก็รู้เหมือนกันหรือ” หลิวเซียงถามทันที

ทันใดนั้นชุ่ยฮวาจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองได้ยินมาให้หลิวเซียงฟัง “เจ้าคิดดูสิ ใครๆ ในหมู่บ้านก็บอกว่าครอบครัวของพวกนางขายถ่านหาเงินได้ มันต้องเป็นความจริงแน่ วันนี้ข้าเห็นนะว่าพวกนางสวมเสื้อผ้าใหม่กันทั้งนั้น เสื้อบุนวมราคาตั้งเท่าไหร่!”

เมื่อนึกถึงเสื้อนวมบุฝ้ายสีน้ำเงินตัวใหม่ที่กุ้ยหลานสวม ชุ่ยฮวาก็รู้สึกคันยุบยิบอยู่ในใจ เสื้อนวมตัวใหม่หรือ? นางไม่ได้สวมเสื้อนวมตัวใหม่มาหลายปีแล้ว

“วันนี้ต้าไห่กับผู้ชายของกุ้ยหลานยังไปเผาถ่านอยู่บนภูเขาด้วย นั่นจะต้องทำกำไรได้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นชายร่างใหญ่สองคนจะไปอยู่บนภูเขาตลอดทั้งวันโดยไม่กลับออกมาทำไม” ดวงตาของหลิวเซียงจับจ้องอยู่ที่สีหน้าของชุ่ยฮวา ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมาล้วนกระทบใจชุ่ยฮวาอย่างแรง

ตอนนี้นางมีแค่ตัวคนเดียว เหล่าไท่ไท่กับโจวกุ้ยหลานทั้งยอดเยี่ยม จะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็จัดการได้ยาก คงไม่ง่ายที่นางจะแต่งงานเข้าไป นางต้องหาใครสักคนมาสนับสนุน และชุ่ยฮวาก็พยายามนำมันมาให้นางได้

“โอ้โฮ ผู้ชายของโจวกุ้ยหลานเป็นพวกมากเรื่อง! กลัวว่าจะหาเงินได้จริงๆ นะสิ!” ดวงตาของชุ่ยฮวาเป็นประกาย

ยิ่งคิดก็ยิ่งตระหนักได้ว่าสีหน้าของคนในบ้านโจวดีขึ้นมากแล้ว กุ้ยหลานนั่นน่ะ แค่ไม่กี่เดือนก็ดูขาวขึ้น ใบหน้าก็มีน้ำมีนวล ดูดีกว่าสาวๆ ส่วนมากในหมู่บ้านเสียอีก

“โถ่ พวกนางมีลู่ทางหาเงินแต่ไม่ยอมบอกพวกเรา!” ชุ่ยฮวาหน้าคว่ำและเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีนักภายในใจ

“ถ้าข้าได้แต่งงานกับต้าไห่และรู้วิธีเผาถ่าน ข้าจะต้องทำให้อาสะใภ้ชุ่ยฮวารวยขึ้นได้แน่นอน!” หลิวเซียงรีบตอบสนองทันที

และความคิดของชุ่ยฮวาสั่นคลอนขึ้นมาทันทีที่ได้ยินดังนั้น…

ที่บ้านอีกหลังหนึ่งในหมู่บ้าน

จางเสี่ยวจุ๋ยกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของชายคนหนึ่ง นางเอ่ยกับชายผู้นั้นทั้งที่มีเหงื่อโทรมกายว่า “เจ้าบอกเรื่องนี้กับคนอื่นงั้นหรือ”

“เรื่องที่เจ้าบอกข้า ข้าจะไปบอกคนอื่นได้อย่างไร”

“แล้วเหตุใดคนในหมู่บ้านถึงรู้ว่าบ้านพี่สะใภ้รองของข้าหาเงินได้” จางเสี่ยวจุ๋ยถามอย่างกระเง้ากระงอด ท่าทางนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมาในหัวใจ